วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
2 posters
หน้า 1 จาก 1
วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/sakaew/walailuk_r/dramatic-art/p01.html
การจัดการแสดงวิพิธทัศนา
วิพิธ แปลว่า หลายๆอย่าง ทัศนา แปลว่า ดู หมายถึง การแสดงหลายๆอย่าง
วัตถุประสงค์ของการจัดวิพิธทัศนา
เป็นการแสดงจัดการแสดงชุดสั้นๆ ที่ต่อเนื่องกัน เื่พื่อวัตถุประสงค์ ด ังนี้
1. เพื่อให้มีการแสดงหลายๆชุดที่เหมาะกับเวลา
2. เกิดความเพลิดเพลินไม่น่าเบื่อ
3.เพื่อให้ผู้ดู ดูชุดการแสดงของนาฏศิลป์ไทยหลายๆชุด เช่น ก่อนจะมีการแสดงโขน
เราอาจจะมีชุดรำอวยพรบ้าง ชุดหนุมานจับนางสุพรรณมัจฉาบ้างและมีโขนต่อเลย
จัดทำโดย คุณครูวลัยลักษณ์ รูปสม โรงเรียนบ้านนางามมิตรภาพที่ 131
อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว
COPYright ( c ) 2006 Ms.Walailuk Roopsom
. All rights reserved.
วิพิธทัศนา ความรู้ ความหมายของ วิพิธทัศนา จากสนุก! กูรู
แปลภาษา ไทย-อังกฤษ
วิพิธทัศนา (วิพิดทัดสะนา)
คำแปล
n. a revue
วิพิธทัศนา
พจนานุกรม ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร
วิพิธทัศนาคำแปล
[วิ-พิด-ทัด-สะ-นา] น. การแสดงการเล่นต่างๆ ติดต่อกันในคราวเดียวกัน.
http://www.finearts.go.th/th/indexOriginal.php
http://news.sanook.com/social/social_223920.php
หนังสือเล่มโปรด-ปาริชาติ ช้วนรักธรรม หนังสือวิพิธทัศนา
โดย คม ชัด ลึก วัน เสาร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2550 02:01 น.
เพราะเป็นคนที่ชื่นชอบทางด้านนาฏศิลป์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงไม่แปลกที่ ปลา ปาริชาติ ช้วนรักธรรม
นักศึกษาชั้นปีที่4 คณะบริหารธุรกิจ สาขาระบบสารสนเทศ ม.เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
หนึ่งในตัวแทนนักศึกษาที่ได้ร่วมเผยแพร่วัฒนธรรมไทยในงานครัวไทยสู่ครัวโลก
ณ ประเทศเยอรมนี ครั้งล่าสุด จะมีหนังสือเล่มโปรด คือ หนังสือวิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
ปลา เล่าว่า ที่ชอบอ่านหนังสือประเภทนี้ เพราะเป็นคนที่มีใจรักและชื่นชอบทางด้าน
ศิลปวัฒนธรรมไทยประเภทนาฏศิลป์ ประกอบกับทางบ้านส่งเสริมให้ลูกๆ หลานๆ
ได้เรียนรู้นาฏศิลป์และดนตรีไทย ทำให้ชื่นชอบการฟ้อนรำมาตั้งแต่เด็กๆ
เลยต้องหมั่นศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแสดงรำไทยประเภทต่างๆ
หนังสือเล่มนี้จะรวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติการแสดงนาฏศิลป์ประเภทต่างๆ
เอาไว้มากมาย เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ทำให้ตัวเองได้รับความรู้ต่างๆ มากมาย เช่น
ทำให้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของการแสดงฟ้อนรำแต่ละชุด และหนังสือยังอธิบายถึง
ความหมายของเนื้อเพลงในการแสดงแต่ละชุด เมื่อเวลาแสดงทำให้เข้าใจท่ารำของ
การแสดงแต่ละชุดมากยิ่งขึ้น
http://www.lks.ac.th/thaidance/WATANA08.htm
http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.com/cafe/library/topic/K2721998/K2721998.html
หนังสือวิพิธทัศนา ของกรมศิลปากร หาซื้อได้ที่ไหนบ้างค่ะ
รบกวนถามเพื่อนๆ ว่าหนังสือชื่อวิพิธทัศนา(พร้อมคำอธิบายชุดการแสดงและภาพประกอบ)
ของกรมศิลปากร หาซื้อได้ที่ไหนบ้างค่ะ หาในเมืองไทยไม่ได้เลย คงเพราะตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2542
เมื่อวานบังเอิญ search เจอทางเน็ตเวบไซต์หนึ่งของอเมริกาค่ะ www.paragonbook.com
เขายังมีขายทางเวบอยู่ แต่จะสั่งหนังสือไทยผ่านเวบต่างประเทศมันคงดูแปลกๆ เนอะ
ทั้งๆที่ตีพิมพ์ในเมืองไทย
รบกวนบอกแหล่งซื้อหน่อยนะค่ะ อยากได้มากค่ะ แต่ถ้าไม่ได้จริงก็คงต้องสั่งผ่านเวบนี้ล่ะค่ะ
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
จากคุณ : ดารา- [19 มี.ค. 47 11:34:25 A:203.152.20.98 X:]
http://view.gprocurement.go.th/01_procure/view_online_notice.php?id=78042&display_status=A
การจัดการแสดงวิพิธทัศนา
วิพิธ แปลว่า หลายๆอย่าง ทัศนา แปลว่า ดู หมายถึง การแสดงหลายๆอย่าง
วัตถุประสงค์ของการจัดวิพิธทัศนา
เป็นการแสดงจัดการแสดงชุดสั้นๆ ที่ต่อเนื่องกัน เื่พื่อวัตถุประสงค์ ด ังนี้
1. เพื่อให้มีการแสดงหลายๆชุดที่เหมาะกับเวลา
2. เกิดความเพลิดเพลินไม่น่าเบื่อ
3.เพื่อให้ผู้ดู ดูชุดการแสดงของนาฏศิลป์ไทยหลายๆชุด เช่น ก่อนจะมีการแสดงโขน
เราอาจจะมีชุดรำอวยพรบ้าง ชุดหนุมานจับนางสุพรรณมัจฉาบ้างและมีโขนต่อเลย
จัดทำโดย คุณครูวลัยลักษณ์ รูปสม โรงเรียนบ้านนางามมิตรภาพที่ 131
อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว
COPYright ( c ) 2006 Ms.Walailuk Roopsom
. All rights reserved.
วิพิธทัศนา ความรู้ ความหมายของ วิพิธทัศนา จากสนุก! กูรู
แปลภาษา ไทย-อังกฤษ
วิพิธทัศนา (วิพิดทัดสะนา)
คำแปล
n. a revue
วิพิธทัศนา
|
วิพิธทัศนาคำแปล
[วิ-พิด-ทัด-สะ-นา] น. การแสดงการเล่นต่างๆ ติดต่อกันในคราวเดียวกัน.
http://www.finearts.go.th/th/indexOriginal.php
http://news.sanook.com/social/social_223920.php
หนังสือเล่มโปรด-ปาริชาติ ช้วนรักธรรม หนังสือวิพิธทัศนา
โดย คม ชัด ลึก วัน เสาร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2550 02:01 น.
เพราะเป็นคนที่ชื่นชอบทางด้านนาฏศิลป์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงไม่แปลกที่ ปลา ปาริชาติ ช้วนรักธรรม
นักศึกษาชั้นปีที่4 คณะบริหารธุรกิจ สาขาระบบสารสนเทศ ม.เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
หนึ่งในตัวแทนนักศึกษาที่ได้ร่วมเผยแพร่วัฒนธรรมไทยในงานครัวไทยสู่ครัวโลก
ณ ประเทศเยอรมนี ครั้งล่าสุด จะมีหนังสือเล่มโปรด คือ หนังสือวิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
ปลา เล่าว่า ที่ชอบอ่านหนังสือประเภทนี้ เพราะเป็นคนที่มีใจรักและชื่นชอบทางด้าน
ศิลปวัฒนธรรมไทยประเภทนาฏศิลป์ ประกอบกับทางบ้านส่งเสริมให้ลูกๆ หลานๆ
ได้เรียนรู้นาฏศิลป์และดนตรีไทย ทำให้ชื่นชอบการฟ้อนรำมาตั้งแต่เด็กๆ
เลยต้องหมั่นศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแสดงรำไทยประเภทต่างๆ
หนังสือเล่มนี้จะรวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติการแสดงนาฏศิลป์ประเภทต่างๆ
เอาไว้มากมาย เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ทำให้ตัวเองได้รับความรู้ต่างๆ มากมาย เช่น
ทำให้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของการแสดงฟ้อนรำแต่ละชุด และหนังสือยังอธิบายถึง
ความหมายของเนื้อเพลงในการแสดงแต่ละชุด เมื่อเวลาแสดงทำให้เข้าใจท่ารำของ
การแสดงแต่ละชุดมากยิ่งขึ้น
http://www.lks.ac.th/thaidance/WATANA08.htm
http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.com/cafe/library/topic/K2721998/K2721998.html
หนังสือวิพิธทัศนา ของกรมศิลปากร หาซื้อได้ที่ไหนบ้างค่ะ
รบกวนถามเพื่อนๆ ว่าหนังสือชื่อวิพิธทัศนา(พร้อมคำอธิบายชุดการแสดงและภาพประกอบ)
ของกรมศิลปากร หาซื้อได้ที่ไหนบ้างค่ะ หาในเมืองไทยไม่ได้เลย คงเพราะตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2542
เมื่อวานบังเอิญ search เจอทางเน็ตเวบไซต์หนึ่งของอเมริกาค่ะ www.paragonbook.com
เขายังมีขายทางเวบอยู่ แต่จะสั่งหนังสือไทยผ่านเวบต่างประเทศมันคงดูแปลกๆ เนอะ
ทั้งๆที่ตีพิมพ์ในเมืองไทย
รบกวนบอกแหล่งซื้อหน่อยนะค่ะ อยากได้มากค่ะ แต่ถ้าไม่ได้จริงก็คงต้องสั่งผ่านเวบนี้ล่ะค่ะ
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
จากคุณ : ดารา- [19 มี.ค. 47 11:34:25 A:203.152.20.98 X:]
http://view.gprocurement.go.th/01_procure/view_online_notice.php?id=78042&display_status=A
ประกาศ กรมศิลปากร เรื่อง สอบราคาจ้าง จ้างพิมพ์หนังสือ “การแสดงนาฎศิลป์ไทย : กรณีศึกษา หนังสือวิพิธทัศนาชุดระบำ รำ ฟ้อน เล่ม ๒ ” จำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม และจัดทำดีวีดี E-book ต้นฉบับ จำนวน ๓ ชุด | |||||||||||
กรมศิลปากร มีความประสงค์จะสอบราคาจ้าง จ้างพิมพ์หนังสือ “การแสดงนาฎศิลป์ไทย : กรณีศึกษา หนังสือวิพิธทัศนาชุดระบำ รำ ฟ้อน เล่ม ๒ ” จำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม และจัดทำดีวีดี E-book ต้นฉบับ จำนวน ๓ ชุด เพื่อใช้ในราชการสำนักการสังคีต โดยมีรายละเอียดดังนี้ ผู้มีสิทธิเสนอราคาจะต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ 1. ต้องเป็นผู้มีอาชีพขายพัสดุที่สอบราคาจ้างดังกล่าว 2. ต้องไม่เป็นผู้ที่ถูกระบุชื่อไว้ในบัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงานของทางราชการและได้แจ้งเวียนชื่อแล้ว 3. ต้องไม่เป็นผู้ได้รับเอกสิทธิ์หรือความคุ้มกันซึ่งอาจปฏิเสธไม่ยอมขึ้นศาลไทย เว้นแต่รัฐบาลของผู้เสนอราคาได้มีคำสั่งให้สละสิทธิ์ความคุ้มกันนั้น 4. ต้องไม่เป็นผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันกับผู้เสนอราคารายอื่นที่เข้าเสนอราคาให้แก่ กรมศิลปากร ณ วันประกาศสอบราคาจ้างหรือไม่เป็นผู้กระทำการอันเป็นการขัดขวาง การแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมในการสอบราคาจ้างครั้งนี้ กำหนดยื่นซองสอบราคาตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2549 ถึง 21 กันยายน 2549 เวลา 08.30 - 16.30 น. ณ กลุ่มคลังและพัสดุ ฝ่ายพัสดุ และคณะกรรมการเปิดซองสอบราคาจะดำเนินการตรวจสอบเอกสารหลักฐานส่วนที่ 1 ในวันที่ 22 กันยายน 2549 เวลา 9.30 น. ณ ห้องประชุม 2 กรมศิลปากร และกำหนดเปิดซอง ใบเสนอราคาในวันที่ 26 กันยายน 2549 เวลา 9.30 น. ณ ห้องประชุม 2 กรมศิลปากร ผู้สนใจติดต่อขอซื้อเอกสารสอบราคาในราคาชุดละ 100.-บาท ( หนึ่งร้อยบาทถ้วน) ได้ที่กรมศิลปากร กลุ่มคลังและพัสดุ ฝ่ายพัสดุ ระหว่างวันที่ 7 กันยายน 2549 ถึง วันที่ 20 กันยายน 2549 หรือสอบถามทางโทรศัพท์ หมายเลข 02 - 221 -4443 , 02 -225- 4534 ตั้งแต่เวลา 8.30 - 16.30 น. ในวันและเวลาราชการ หรือทางเว็บไซด์ของศูนย์จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ www.gprocurement.go.th และทางเว็บไซด์ของกรมศิลปากร www.finearts.go.th อนึ่ง กรมศิลปากรขอสงวนสิทธิที่จะยกเลิกการสอบราคา โดยไม่จัดซื้อก็ได้ หากไม่ได้รับอนุมัติงบประมาณทั้งรายการและ / หรือบางส่วน หรือมีการเปลี่ยนแปลงอื่นใด | |||||||||||
ประกาศ ณ วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2549
|
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
ระบำกฤดาภินิหาร
http://video.yahoo.com/watch/951702/3703605
เป็นการแสดงชุดหนึ่งที่นำมาจากละครเรื่อง "เกียรติศักดิ์ทหารไทย"
บทร้องกล่าวถึงเทพบุตร นางฟ้า เมื่อทราบถึงกฤดาภินิหารของชาติไทย
จึงเกิดความชื่นชมโสมนัส ชวนกันจัดระบำโปรยปรายดอกไม้อวยพรให้เมืองไทย
การแสดงชุดนี้จะมีท่ารำที่เป็นแบบแผนในลีลานาฏศิลป์แบบดั้งเดิม แต่จะมีคำร้อง
และการเอื้อนทำนองเพลงที่เป็นแบบสมัยใหม่ คือ จะไม่ร้องเอื้อนมาก
http://video.yahoo.com/watch/951702/3703605
http://www.thaidances.com/poster/index.asp |
คำร้อง: สุดา บุษปฤกษ์ | |
ปราโมทย์แสน | ดังอัปสรอมรแมนแดนสวรรค์ |
ยินกฤดาภินิหารมหัศจรรย์ | เกียรติไทยลือลั่นเรืองรูจี |
ต่างเต็มตื้นชื่นชมโสมนัส | โอษฐ์เอื้อนอรรถอวยพรสุนทรศรี |
แจ้วจำเรียงเสียงเพลงสดุดี | ดนตรีรี่เรื่อยประโคมประโลมลาน |
แล้วลีลาศเริงรำระบำร่าย | กรกรีดกรายโปรยมาลีสีประสาน |
พรมน้ำทิพย์ปรุงปนสุคนธาร | จักรวาลฉ่ำชื่นรื่นรมย์ครัน |
บทร้องกล่าวถึงเทพบุตร นางฟ้า เมื่อทราบถึงกฤดาภินิหารของชาติไทย
จึงเกิดความชื่นชมโสมนัส ชวนกันจัดระบำโปรยปรายดอกไม้อวยพรให้เมืองไทย
การแสดงชุดนี้จะมีท่ารำที่เป็นแบบแผนในลีลานาฏศิลป์แบบดั้งเดิม แต่จะมีคำร้อง
และการเอื้อนทำนองเพลงที่เป็นแบบสมัยใหม่ คือ จะไม่ร้องเอื้อนมาก
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
ระบำดาวดึงส์
http://video.yahoo.com/watch/951854/3703987
http://www.thaidances.com/poster/index.asp
เป็น ระบำที่ใช้ประกอบการแสดงในละครดึกดำบรรพ์เรื่อง "สังข์ทอง" ตอนตีคลี
บทร้องพรรณาถึงความสวยงามของเทพบุตร เทพธิดา ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และทิพยสมบัติ
อันมโหฬารตระการตาขององค์อมรินทร์ ทรงพระนิพนธ์คำร้องและทำนองโดย
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้แสดงจะมีจำนวนตั้งแต่ 2 คู่ขึ้นไป ท่ารำในระบำชุดนี้เป็นท่ารำที่ปรับปรุงจากท่ารำของแขกเจ้าเซ็น
ซึ่งได้ประดิษฐ์ปรับปรุงขึ้นไว้เมื่อสมัยรัชกาลที่ 2 นาฏศิลป์ชุดนี้เป็นศิลปะที่มีความสวยงาม
เป็นแบบแผนได้อีกชุดหนึ่ง
http://video.yahoo.com/watch/951854/3703987
http://www.thaidances.com/poster/index.asp
คำร้อง: สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ | |
ดาวดึงส์เทวโลกมโหฬาร | เป็นที่อยู่สำราญฤทัยหรรษ์ |
สารพัดงามจริงทุกสิ่งอัน | สารพันอุดมสมใจปอง |
เทพบุตรผุดพรรณโฉมยง | งามทรงอาภรณ์ไม่มีหมอง |
นางอัปสรงอนสงวนนวลละออง | งามทรงเครื่องทองและเพชรนิล |
สมเด็จพระอัมรินทร์ปิ่นมงกุฎ | ทรงวชิราวุธธนูศิลป์ |
รักษาเทวสีมาเป็นอาจิณ | อสุรินทร์อรีไม่บีฑา |
อันอินทรปราสาททั้งสาม | ทรงงามสูงเงื้อมกลางเวหา |
สี่มุขหุ้มมาศสะอาดตา | ใบระกาแกมแก้วประกอบกัน |
ช่อฟ้าช้อยเฟื้อยเฉี่อยชด | บราลีที่ลดมุขกระสัน |
มุขเด็ดทองคาดกนกพัน | บุษบกสุวรรณชามพูนุท |
ราชยานเวชยันต์รถแก้ว | เพริศแพร้วกำกงอลงกต |
แอกงอนอ่อนสลวยชวยชด | เครือขดช่อตั้งบัลลังก์ลอย |
รายรูปสิงห์อัดหยัดยัน | สุบรรณจับนาคหิ้วเศียรห้อย |
ดุมพราววาววับประดับพลอย | แปรกแก้วกาบช้อยสะบัดบัง |
เทียมด้วยสินธพเทพบุตร | ทั้งสี่บริสุทธิ์ดั่งสีสังข์ |
มาตลีอาจขี่ขับประดัง | ให้รีบรุดสุดกำลังดังลมพา |
บทร้องพรรณาถึงความสวยงามของเทพบุตร เทพธิดา ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และทิพยสมบัติ
อันมโหฬารตระการตาขององค์อมรินทร์ ทรงพระนิพนธ์คำร้องและทำนองโดย
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ผู้แสดงจะมีจำนวนตั้งแต่ 2 คู่ขึ้นไป ท่ารำในระบำชุดนี้เป็นท่ารำที่ปรับปรุงจากท่ารำของแขกเจ้าเซ็น
ซึ่งได้ประดิษฐ์ปรับปรุงขึ้นไว้เมื่อสมัยรัชกาลที่ 2 นาฏศิลป์ชุดนี้เป็นศิลปะที่มีความสวยงาม
เป็นแบบแผนได้อีกชุดหนึ่ง
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
ระบำเทพบันเทิง
http://video.yahoo.com/watch/952171/3705319
http://www.thaidances.com/poster/index.asp
คำร้อง: นายมนตรี ตราโมท
เหล่าข้าพระบาท ขอวโรกาสเทวฤทธิ์อดิศร
ขอฟ้อนกราย รำร่ายถวายกร
บำเรอปิ่นอมร ปะตาระกาหลา
ผู้ทรงพระคุณ ยิ่งบุญบารมี
เพื่อเทวบดี สุขสมรมยา
เถลิงเทพสิมา พิมานสำราญฤทัย
สุรศักดิ์ประสิทธิ์ สุรฤทธิ์กำจาย
ทรงสราญพระกาย ทรงสบายพระทัย
ถวายอินทรีย์ ต่างมาลีบูชา
ถวายดวงตา ต่างประทีปจำรัสไข
ถ้อยคำอำไพ ต่างธูปหอมจุณจันทน์
ถวายดวงจิต อัญชลิตวรคุณ
ที่ทรงการุณย์ ผองข้ามาแต่บรรพ์
ถวายชีวัน รองบาทจนบรรลัย
ร่วมกันร้องทำนองลำนำ มาฟ้อนมารำให้รื่นเริงใจ (ซ้ำ)
ให้พร้อมให้เพรียงเรียงระดับ เปลี่ยนสับท่วงทีหนีไล่
เวียนไป ได้จังหวะกัน
อัปสรฟ้อนส่าย กรีดกรายออกมา
ฝ่ายฝูงเทวา ทำท่ากางกั้น (ซ้ำ)
เข้าทอดสนิท ไม่บิดไม่ผัน (ซ้ำ)
ผูกพันสุดเกษม ปลื้มเปรมปรีดา
เป็น ระบำเทพบุตร และนางฟ้า ฟ้อนรำบำเรอองค์ปะตาระกาหลาในละครเรื่องอิเหนา
ตอน ลมหอบ เพลงที่ใช้ในระบำเทพบันเทิง คือ เพลงแขกเชิญเจ้ากับเพลงยะวาเร็ว
อาจารย์มนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทย ของกรมศิลปากร เป็นผู้แต่งบทร้อง
http://video.yahoo.com/watch/952171/3705319
http://www.thaidances.com/poster/index.asp
คำร้อง: นายมนตรี ตราโมท
เหล่าข้าพระบาท ขอวโรกาสเทวฤทธิ์อดิศร
ขอฟ้อนกราย รำร่ายถวายกร
บำเรอปิ่นอมร ปะตาระกาหลา
ผู้ทรงพระคุณ ยิ่งบุญบารมี
เพื่อเทวบดี สุขสมรมยา
เถลิงเทพสิมา พิมานสำราญฤทัย
สุรศักดิ์ประสิทธิ์ สุรฤทธิ์กำจาย
ทรงสราญพระกาย ทรงสบายพระทัย
ถวายอินทรีย์ ต่างมาลีบูชา
ถวายดวงตา ต่างประทีปจำรัสไข
ถ้อยคำอำไพ ต่างธูปหอมจุณจันทน์
ถวายดวงจิต อัญชลิตวรคุณ
ที่ทรงการุณย์ ผองข้ามาแต่บรรพ์
ถวายชีวัน รองบาทจนบรรลัย
ร่วมกันร้องทำนองลำนำ มาฟ้อนมารำให้รื่นเริงใจ (ซ้ำ)
ให้พร้อมให้เพรียงเรียงระดับ เปลี่ยนสับท่วงทีหนีไล่
เวียนไป ได้จังหวะกัน
อัปสรฟ้อนส่าย กรีดกรายออกมา
ฝ่ายฝูงเทวา ทำท่ากางกั้น (ซ้ำ)
เข้าทอดสนิท ไม่บิดไม่ผัน (ซ้ำ)
ผูกพันสุดเกษม ปลื้มเปรมปรีดา
เป็น ระบำเทพบุตร และนางฟ้า ฟ้อนรำบำเรอองค์ปะตาระกาหลาในละครเรื่องอิเหนา
ตอน ลมหอบ เพลงที่ใช้ในระบำเทพบันเทิง คือ เพลงแขกเชิญเจ้ากับเพลงยะวาเร็ว
อาจารย์มนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทย ของกรมศิลปากร เป็นผู้แต่งบทร้อง
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
ระบำพรหมาสตร์
http://video.yahoo.com/watch/952363/3705018
http://www.student.chula.ac.th/~46850741/thai_doc/rabammatrathan.htm
ระบำหน้าช้าง หรือ ระบำพรหมาสตร์
เป็น เพลงระบำซึ่งแทรกอยู่ในบทคอนเสิต เรื่อง รามเกียรติ์ ตอนอินทรชิตแผลงศรพรหมาศ
(ตัวสะกดตามหนังสือชุมนุมบทละคอนและบทคอนเสิต, 2506) นิพนธ์โดย
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ เดิมใช้เป็นเพลงขับร้องใน
บทคอนเสิต ยังมิได้มีการบรรจุท่ารำประกอบ ใช้ขับร้องด้วยเพลงสร้อยสน บทร้อง
มีความคล้ายคลึงกับบทระบำใหญ่หรือระบำสี่บท ต่อมาเมื่อบทคอนเสิตนี้ได้รับความนิยมมากเข้า
จึงได้นำมาทำเป็น การแสดงโขน โดยยึดเอาเพลงที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระยานริศฯ
ทรงนิพนธ์ไว้เป็นแกน แล้วแทรกหน้าพาทย์ กับทั้งคำพากย์เข้าไว้ เรียกชื่อโขนตอนนี้ว่า
"ศึกพรหมาสตร์" ที่เรียกว่าระบำหน้าช้างนั้น เพราะแต่เดิมไม่มีชื่อระบำนี้ เป็นระบำของ
เหล่าเทพบุตรนางฟ้าแปลงที่รำนำขบวนของอินทรชิดที่แปลงเป็นพระอินทร์มาลวง
พระลักษมณ์ให้ทำศึก เทพบุตรนางฟ้านี้ ต้องรำนำหน้าช้างทรงของพระอินทร์ จึงเป็นเหตุให้
มีชื่อเรียกกันติดปากต่อมาว่า "ระบำหน้าช้าง"
http://video.yahoo.com/watch/952363/3705018
http://www.student.chula.ac.th/~46850741/thai_doc/rabammatrathan.htm
ระบำหน้าช้าง หรือ ระบำพรหมาสตร์
เป็น เพลงระบำซึ่งแทรกอยู่ในบทคอนเสิต เรื่อง รามเกียรติ์ ตอนอินทรชิตแผลงศรพรหมาศ
(ตัวสะกดตามหนังสือชุมนุมบทละคอนและบทคอนเสิต, 2506) นิพนธ์โดย
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ เดิมใช้เป็นเพลงขับร้องใน
บทคอนเสิต ยังมิได้มีการบรรจุท่ารำประกอบ ใช้ขับร้องด้วยเพลงสร้อยสน บทร้อง
มีความคล้ายคลึงกับบทระบำใหญ่หรือระบำสี่บท ต่อมาเมื่อบทคอนเสิตนี้ได้รับความนิยมมากเข้า
จึงได้นำมาทำเป็น การแสดงโขน โดยยึดเอาเพลงที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระยานริศฯ
ทรงนิพนธ์ไว้เป็นแกน แล้วแทรกหน้าพาทย์ กับทั้งคำพากย์เข้าไว้ เรียกชื่อโขนตอนนี้ว่า
"ศึกพรหมาสตร์" ที่เรียกว่าระบำหน้าช้างนั้น เพราะแต่เดิมไม่มีชื่อระบำนี้ เป็นระบำของ
เหล่าเทพบุตรนางฟ้าแปลงที่รำนำขบวนของอินทรชิดที่แปลงเป็นพระอินทร์มาลวง
พระลักษมณ์ให้ทำศึก เทพบุตรนางฟ้านี้ ต้องรำนำหน้าช้างทรงของพระอินทร์ จึงเป็นเหตุให้
มีชื่อเรียกกันติดปากต่อมาว่า "ระบำหน้าช้าง"
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
ระบำย่องหงิด
http://video.yahoo.com/watch/952455/3705238
http://www.anurakthai.com/encyclopaedia/default.asp?rid=1&pageno=4
ระบำย่องหงิด
http://video.yahoo.com/watch/952455/3705238
http://www.anurakthai.com/encyclopaedia/default.asp?rid=1&pageno=4
ระบำย่องหงิด
ระบำย่องหงิด เป็นระบำที่อยู่ในละครในเรื่องอุณรุท ตอนศุภลักษณ์วาดรูป
ซึ่งมีเนื้อเรื่องกล่าวถึงนางศุภลักษณ์พี่เลี้ยงของนางอุษา ได้ขออาสาขึ้นไปวาดรูป
เทพบุตรบนสวรรค์ ขณะที่นางศุภลักษณ์ขึ้นไปบนสวรรค์นั้น ได้พบกับเหล่าเทพบุตร
เทพธิดาจับระบำกันด้วยความรื่นเริง บันเทิงใจ
ซึ่งมีเนื้อเรื่องกล่าวถึงนางศุภลักษณ์พี่เลี้ยงของนางอุษา ได้ขออาสาขึ้นไปวาดรูป
เทพบุตรบนสวรรค์ ขณะที่นางศุภลักษณ์ขึ้นไปบนสวรรค์นั้น ได้พบกับเหล่าเทพบุตร
เทพธิดาจับระบำกันด้วยความรื่นเริง บันเทิงใจ
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
ระบำวีรชัยยักษ์
http://video.yahoo.com/watch/952519/3705503
http://www.anurakthai.com/encyclopaedia/default.asp?rid=1&pageno=3
ระบำวีรชัยยักษ์
http://video.yahoo.com/watch/952519/3705503
http://www.anurakthai.com/encyclopaedia/default.asp?rid=1&pageno=3
ระบำวีรชัยยักษ์
ระบำวีรชัยยักษ์ เป็นระบำชุดหนึ่งที่ใช้ในการรำตรวจพลของกองทัพยักษ์
ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อครั้งที่นายธนิต อยู่โพธิ์ ขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองการสังคีต
มอบให้ นายอร่าม อินทรนัฏ นาฏศิลปินเอกของกรมศิลปากร เป็นการประดิษฐ์ท่ารำ
ซึ่งแสดงถึงลีลาท่าเต้นที่สง่างามน่าเกรงขาม จัดเป็นการแสดงที่น่าชมอีกชุดหนึ่ง
ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อครั้งที่นายธนิต อยู่โพธิ์ ขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองการสังคีต
มอบให้ นายอร่าม อินทรนัฏ นาฏศิลปินเอกของกรมศิลปากร เป็นการประดิษฐ์ท่ารำ
ซึ่งแสดงถึงลีลาท่าเต้นที่สง่างามน่าเกรงขาม จัดเป็นการแสดงที่น่าชมอีกชุดหนึ่ง
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
ระบำวีรชัยลิง
http://video.yahoo.com/watch/952584/3705732
http://www.anurakthai.com/encyclopaedia/default.asp?rid=1&pageno=3
ระบำวีรชัยลิง
http://video.yahoo.com/watch/952584/3705732
http://www.anurakthai.com/encyclopaedia/default.asp?rid=1&pageno=3
ระบำวีรชัยลิง
ระบำวีรชัยลิง เป็นระบำชุดหนึ่งที่กรมศิลปากรมอบให้ นายกรี วรศะริน
ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์โขนและศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำ
เป็นระบำในการยกทัพตรวจพลของตัวลิง ตั้งแต่ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น
ก่อนที่จะยกทัพออกสู่สนามรบ การแสดงชุดนี้ได้สอดแทรกลีลาท่าทางอันพลิกแพลง
โลดโผนต่าง ๆ ของพลลิงทั้งหลาย ที่น่าชมอีกชุดหนึ่ง
ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์โขนและศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำ
เป็นระบำในการยกทัพตรวจพลของตัวลิง ตั้งแต่ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น
ก่อนที่จะยกทัพออกสู่สนามรบ การแสดงชุดนี้ได้สอดแทรกลีลาท่าทางอันพลิกแพลง
โลดโผนต่าง ๆ ของพลลิงทั้งหลาย ที่น่าชมอีกชุดหนึ่ง
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
ระบำทวารวดี
http://video.yahoo.com/watch/952636/3705871
http://www.banramthai.com/html/tawarawadee.html
http://www.culture.go.th/knowledge/dance/rabam14.htm
ระบำทวารวดี
ทวารวดีี
เป็นยุคที่นักวิชาการทางโบราณคดีประมาณว่าอยู่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑–๑๖
ระบำทวารวดีนี้เป็นระบำชุดที่ ๑ ในระบำโบราณคดีซึ่งมีทั้งหมดด้วยกันรวม ๕ ชุด
นายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ได้ริเริ่มขึ้นโดยทำการสอบสวนค้นคว้าจาก
หลักฐานภาพปั้นและภาพจำหลักที่ขุดค้นพบ ณ โบราณสถานสมัยทวารวดี เช่นที่ คูบัว อู่ทอง นครปฐม
โคกไม้เดนและจันเสน หลังจากนั้น นายมนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญด้านดุริยางค์ไทย กรมศิลปากร
และศิลปินแห่งชาติ ได้สร้างสรรค์ทำนองเพลง และมอบหมายให้นายสนิท ดิษฐ์พันธ์ เป็นผู้ออกแบบ
เครื่องแต่งกาย นางลมุล ยมะคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป กรมศิลปากร และนางเฉลย ศุขะวณิช
ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร และศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้ประดิษฐ์
ลีลาท่ารำตามทำนองเพลงที่นายมนตรี ตราโมท ได้สร้างสรรค์ขึ้น นักปราชญ์ทางโบราณคดี
ได้วินิจฉัยไว้ตามหลักฐานที่พบว่าประชาชนชาวทวารวดีเป็นมอญหรือเผ่าชนที่พูดจาภาษามอญ
เพราะฉะนั้น ดนตรีและลีลาท่ารำในระบำชุดนี้จึงมีสำเนียงและท่ารำเป็นแบบมอญ ระบำชุดนี้
ได้จัดแสดงถวายทอดพระเนตรเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๐ ในงานเปิด
อาคารสร้างใหม่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
เครื่องดนตรี
ที่ใช้ประกอบการแสดงระบำชุดนี้ ประกอบด้วย พิณ ๕ สาย จะเข้ ขลุ่ย ระนาดตัด
ตะโพนมอญ ฉิ่ง ฉาบ และกรับคู่ การแสดงชุดนี้ใช้เวลาแสดงประมาณ ๕ นาที
http://video.yahoo.com/watch/952636/3705871
http://www.banramthai.com/html/tawarawadee.html
http://www.culture.go.th/knowledge/dance/rabam14.htm
ระบำทวารวดี
ทวารวดีี
เป็นยุคที่นักวิชาการทางโบราณคดีประมาณว่าอยู่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑–๑๖
ระบำทวารวดีนี้เป็นระบำชุดที่ ๑ ในระบำโบราณคดีซึ่งมีทั้งหมดด้วยกันรวม ๕ ชุด
นายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ได้ริเริ่มขึ้นโดยทำการสอบสวนค้นคว้าจาก
หลักฐานภาพปั้นและภาพจำหลักที่ขุดค้นพบ ณ โบราณสถานสมัยทวารวดี เช่นที่ คูบัว อู่ทอง นครปฐม
โคกไม้เดนและจันเสน หลังจากนั้น นายมนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญด้านดุริยางค์ไทย กรมศิลปากร
และศิลปินแห่งชาติ ได้สร้างสรรค์ทำนองเพลง และมอบหมายให้นายสนิท ดิษฐ์พันธ์ เป็นผู้ออกแบบ
เครื่องแต่งกาย นางลมุล ยมะคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป กรมศิลปากร และนางเฉลย ศุขะวณิช
ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร และศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้ประดิษฐ์
ลีลาท่ารำตามทำนองเพลงที่นายมนตรี ตราโมท ได้สร้างสรรค์ขึ้น นักปราชญ์ทางโบราณคดี
ได้วินิจฉัยไว้ตามหลักฐานที่พบว่าประชาชนชาวทวารวดีเป็นมอญหรือเผ่าชนที่พูดจาภาษามอญ
เพราะฉะนั้น ดนตรีและลีลาท่ารำในระบำชุดนี้จึงมีสำเนียงและท่ารำเป็นแบบมอญ ระบำชุดนี้
ได้จัดแสดงถวายทอดพระเนตรเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๐ ในงานเปิด
อาคารสร้างใหม่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
เครื่องดนตรี
ที่ใช้ประกอบการแสดงระบำชุดนี้ ประกอบด้วย พิณ ๕ สาย จะเข้ ขลุ่ย ระนาดตัด
ตะโพนมอญ ฉิ่ง ฉาบ และกรับคู่ การแสดงชุดนี้ใช้เวลาแสดงประมาณ ๕ นาที
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
ระบำศรีวิชัย
http://video.yahoo.com/watch/952682/3705977
http://www.banramthai.com/html/srivichai.html
http://www.culture.go.th/knowledge/dance/rabam14.htm
ระบำศรีวิชัย
ระบำศรีวิชัย
เป็นระบำชุดที่ ๒ ของระบำโบราณคดีซึ่งมีทั้งหมดด้วยกันรวม ๕ ชุด
โดยความคิดริเริ่มของนายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐
มีนางลมุล ยมะคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร
และนางเฉลย ศุขะวนิช ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร
และศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำ โดยอาศัยท่าทางของนาฏศิลป์ชวามาผสมผสานเข้าด้วยกัน
และมีนายมนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญด้านดุริยางค์ไทย กรมศิลปากรและศิลปินแห่งชาติ
เป็นผู้ประดิษฐ์ทำนองเพลงจากหลักฐาน ซึ่งนักปราชญ์ทางโบราณคดีส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า
สมัยศรีวิชัยอยู่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๓–๑๘ มีอาณาเขตตั้งแต่ตอนใต้ของประเทศไทย
ลงไปจรดดินแดนมาเลเซียและอินโดนีเซียบางส่วนในปัจจุบัน การสร้างสรรค์ระบำชุดนี้
อาศัยการสอบหลักฐานจากศิลปกรรมภาพจำหลักที่พระสถูปโรพุทโธในเกาะชวา ซึ่งเชื่อว่า
อยู่ในสมัยราชวงศ์ไศเลนทร รวมกับศิลปะวัตถุสมัยศรีวิชัยและศิลปกรรมอื่น ๆ ประกอบกัน
ส่วนทำนองเพลงก็แต่งให้ใกล้ไปทางสำเนียงชวา
เครื่องดนตรี
ซึ่งใช้บรรเลงเพลงชุดศรีวิชัย ประกอบด้วย กระจับปี่ ๓ ตัว ซอสามสาย ขลุ่ยเพียงออ
ตะโพน กลองแขก ฉิ่ง ฉาบเล็ก และกรับ นายสนิท ดิษฐ์พันธ์ เป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย
ตามหลักฐานศิลปกรรมภาพจำหลักที่พระสถูปบุโรพุทโธ ในเกาะชวา
http://video.yahoo.com/watch/952682/3705977
http://www.banramthai.com/html/srivichai.html
http://www.culture.go.th/knowledge/dance/rabam14.htm
ระบำศรีวิชัย
ระบำศรีวิชัย
เป็นระบำชุดที่ ๒ ของระบำโบราณคดีซึ่งมีทั้งหมดด้วยกันรวม ๕ ชุด
โดยความคิดริเริ่มของนายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐
มีนางลมุล ยมะคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร
และนางเฉลย ศุขะวนิช ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร
และศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำ โดยอาศัยท่าทางของนาฏศิลป์ชวามาผสมผสานเข้าด้วยกัน
และมีนายมนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญด้านดุริยางค์ไทย กรมศิลปากรและศิลปินแห่งชาติ
เป็นผู้ประดิษฐ์ทำนองเพลงจากหลักฐาน ซึ่งนักปราชญ์ทางโบราณคดีส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า
สมัยศรีวิชัยอยู่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๓–๑๘ มีอาณาเขตตั้งแต่ตอนใต้ของประเทศไทย
ลงไปจรดดินแดนมาเลเซียและอินโดนีเซียบางส่วนในปัจจุบัน การสร้างสรรค์ระบำชุดนี้
อาศัยการสอบหลักฐานจากศิลปกรรมภาพจำหลักที่พระสถูปโรพุทโธในเกาะชวา ซึ่งเชื่อว่า
อยู่ในสมัยราชวงศ์ไศเลนทร รวมกับศิลปะวัตถุสมัยศรีวิชัยและศิลปกรรมอื่น ๆ ประกอบกัน
ส่วนทำนองเพลงก็แต่งให้ใกล้ไปทางสำเนียงชวา
เครื่องดนตรี
ซึ่งใช้บรรเลงเพลงชุดศรีวิชัย ประกอบด้วย กระจับปี่ ๓ ตัว ซอสามสาย ขลุ่ยเพียงออ
ตะโพน กลองแขก ฉิ่ง ฉาบเล็ก และกรับ นายสนิท ดิษฐ์พันธ์ เป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย
ตามหลักฐานศิลปกรรมภาพจำหลักที่พระสถูปบุโรพุทโธ ในเกาะชวา
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
ระบำลพบุรี
http://video.yahoo.com/watch/952758/3706204
http://www.banramthai.com/html/lopburi.html
http://www.nairobroo.com/76/modules.php?name=News&file=article&sid=259
วังนารายณ์... ทานตะวัน... ระบำลพบุรี
น้องเบลล์ (แชมป์ขิม 5 สมัย) ขอชวนเชิญทุกคนไปเที่ยว “พระราชวัง นารายณ์ราชนิเวศน์”
จังหวัดลพบุรี โดยใช้ เสียงขิม บรรเลงเพลง “ระบำลพบุรี” เพราะ “ชื่อเพลงก็มีความเกี่ยวเนื่องกับ
สถานที่ และเป็นเพลงที่ใช้ประกอบ การระบำลพบุรี ซึ่งเป็นเพลงประจำสมัยลพบุรี ฟังแล้วทำให้นึกถึง
วังนารายณ์ นึกถึงประวัติศาสตร์ สมัยลพบุรี” น้องเบลล์กล่าว
พระราชวัง นารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่น้องเบลล์ ประทับใจ
เพราะคุณพ่อเป็นคนชอบประวัติศาสตร์ สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ที่น้องเบลล์เคยไปคือ
อุทยานประวัติศาสตร์ ตามจังหวัดต่าง ๆ ส่งผลให้ หลงใหลใน ประวัติศาสตร์ไทยไปด้วย
น้องเบลล์บอกว่า “คุณพ่อชอบพาไป แล้วเบลล์ก็ชอบ เพราะทำให้ รู้เรื่องราว ประวัติศาสตร์
ของไทยมากขึ้น”
ลองฟังเพลงประกอบไปด้วย อาจจะช่วยให้ผู้อ่าน อยากไปเที่ยวชม ที่แห่งนี้กันมากขึ้น
คลิกฟังที่นี่ (wav-mp3 file 329 KB)
“พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์”
ตั้งอยู่ที่ ถ. สรศักดิ์ อ. เมือง จ. ลพบุรี เป็นที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของ จ. ลพบุรี
เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองแห่งนี้ พระราชวังมีรูปแบบผสมผสานระหว่าง
ศิลปะไทยและตะวันตกในอดีตมีความยิ่งใหญ่ทันสมัยและงดงามมาก จนชาวต่างชาติยกย่อง
ให้เป็น “แวร์ซายแห่งลพบุรี” แม้ปัจจุบันจะเหลือเพียงซากปรักหักพังก็ยังคงมีเค้าของความงามอยู่
ปัจจุบัน พระที่นั่งบางองค์ใช้เป็นอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์
จัดแสดงโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่พบในลพบุรี เพื่อให้ผู้มาเยี่ยมชมเข้าใจประวัติศาสตร์ของเมืองลพบุรี
ได้กระจ่างขึ้น
ภายในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์มีสถานที่น่าสนใจ อาทิ หมู่ตึกสิบสองท้องพระคลัง
ตึกเลี้ยงต้อนรับแขกเมือง ตึกพระเจ้าเหา พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท
พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ ฯลฯ
นอกจาก “พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์” ที่น้องเบลล์แนะนำให้ไปเที่ยวกันแล้ว
“ลพบุรี” ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีก อาทิ ศาลพระกาฬ พระปรางค์สามยอด
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเดือนพฤศจิกายน ก็จะเป็นเทศกาลดอกทานตะวันบาน
ใครที่เคยขับรถผ่านจังหวัดนี้ไป หากคุณลองแวะเข้าไปสักนิด ก็จะรู้ว่า “ลพบุรี”
ยังมีอะไรที่คุณไม่รู้อีกมากมาย
เรื่อง : ทีมงาน "นายรอบรู้" (น้อย)
ภาพ : ทีมงาน "นายรอบรู้" (น้อย) และสำนักพิมพ์สารดค
http://video.yahoo.com/watch/952758/3706204
http://www.banramthai.com/html/lopburi.html
http://www.nairobroo.com/76/modules.php?name=News&file=article&sid=259
วังนารายณ์... ทานตะวัน... ระบำลพบุรี
น้องเบลล์ (แชมป์ขิม 5 สมัย) ขอชวนเชิญทุกคนไปเที่ยว “พระราชวัง นารายณ์ราชนิเวศน์”
จังหวัดลพบุรี โดยใช้ เสียงขิม บรรเลงเพลง “ระบำลพบุรี” เพราะ “ชื่อเพลงก็มีความเกี่ยวเนื่องกับ
สถานที่ และเป็นเพลงที่ใช้ประกอบ การระบำลพบุรี ซึ่งเป็นเพลงประจำสมัยลพบุรี ฟังแล้วทำให้นึกถึง
วังนารายณ์ นึกถึงประวัติศาสตร์ สมัยลพบุรี” น้องเบลล์กล่าว
พระราชวัง นารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่น้องเบลล์ ประทับใจ
เพราะคุณพ่อเป็นคนชอบประวัติศาสตร์ สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ที่น้องเบลล์เคยไปคือ
อุทยานประวัติศาสตร์ ตามจังหวัดต่าง ๆ ส่งผลให้ หลงใหลใน ประวัติศาสตร์ไทยไปด้วย
น้องเบลล์บอกว่า “คุณพ่อชอบพาไป แล้วเบลล์ก็ชอบ เพราะทำให้ รู้เรื่องราว ประวัติศาสตร์
ของไทยมากขึ้น”
ลองฟังเพลงประกอบไปด้วย อาจจะช่วยให้ผู้อ่าน อยากไปเที่ยวชม ที่แห่งนี้กันมากขึ้น
คลิกฟังที่นี่ (wav-mp3 file 329 KB)
“พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์”
ตั้งอยู่ที่ ถ. สรศักดิ์ อ. เมือง จ. ลพบุรี เป็นที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของ จ. ลพบุรี
เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองแห่งนี้ พระราชวังมีรูปแบบผสมผสานระหว่าง
ศิลปะไทยและตะวันตกในอดีตมีความยิ่งใหญ่ทันสมัยและงดงามมาก จนชาวต่างชาติยกย่อง
ให้เป็น “แวร์ซายแห่งลพบุรี” แม้ปัจจุบันจะเหลือเพียงซากปรักหักพังก็ยังคงมีเค้าของความงามอยู่
ปัจจุบัน พระที่นั่งบางองค์ใช้เป็นอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์
จัดแสดงโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่พบในลพบุรี เพื่อให้ผู้มาเยี่ยมชมเข้าใจประวัติศาสตร์ของเมืองลพบุรี
ได้กระจ่างขึ้น
ภายในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์มีสถานที่น่าสนใจ อาทิ หมู่ตึกสิบสองท้องพระคลัง
ตึกเลี้ยงต้อนรับแขกเมือง ตึกพระเจ้าเหา พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท
พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ ฯลฯ
นอกจาก “พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์” ที่น้องเบลล์แนะนำให้ไปเที่ยวกันแล้ว
“ลพบุรี” ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีก อาทิ ศาลพระกาฬ พระปรางค์สามยอด
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเดือนพฤศจิกายน ก็จะเป็นเทศกาลดอกทานตะวันบาน
ใครที่เคยขับรถผ่านจังหวัดนี้ไป หากคุณลองแวะเข้าไปสักนิด ก็จะรู้ว่า “ลพบุรี”
ยังมีอะไรที่คุณไม่รู้อีกมากมาย
น้องเบลล์ มีชื่อจริงว่า ปิยธิดา เค้ามูลคดี เป็นลูกสาวคนเดียวของคุณกษมล และคุณดุษฎี เค้ามูลคดี ซึ่งเป็นน้องชายของคุณรอง เค้ามูลคดี ด้วยความที่คุณพ่อเป็นคนชอบขิม จึงให้น้องเบลล์หัดตีขิมตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ควบคู่ไปกับการเรียนรำไทย ในระดับชั้นประถมนั้น น้องเบลล์เรียนที่โรงเรียนประถมทวีธาภิเษก และเคยได้รับรางวัลจากการประกวดขิม ต่อมาย้ายมาเรียนที่วิทยาลัยนาฏศิลป์จนจบระดับมัธยมต้น ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สาขาศิลป์ - ภาษา (ฝรั่งเศส) โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา นอกจากการตีขิมและรำไทยแล้ว ความสามารถพิเศษของน้องเบลล์อีกอย่างคือ การสีซออู้ ซึ่งเพิ่งมาฝึกเล่นในระยะหลังนี้เอง ระหว่างขิมกับรำไทยนั้นเธอบอกว่า “คิดว่ารำไทยได้ดีกว่า เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทิ้งขิมไป แต่พอไปออกรายการ คุณพระช่วย ก็ต้องซ้อมหนักกว่าเดิม เพราะจะได้พัฒนาฝีมือตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ สรุปแล้วเดี๋ยวนี้ก็ซ้อมขิมตกวันละ 6-7 ชม แต่ก็ดีนะคะ เพราะถ้าไม่ซ้อมเนี่ย มือจะแข็ง” เพลงที่ชอบที่สุดตั้งแต่ตีขิมมา คือ “ชอบตอนที่ไปออกช่วง คุณพระโชว์ ที่มีการนำ วงดนตรีไทยซึ่งเป็นแชมป์ในแต่ละประเภทและวงดนตรีสากลของกองทัพบก มาบรรเลงร่วมกันเพลง รากไทย ซึ่งเป็นเพลงที่เพราะมาก เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะได้ร่วมเล่นกับวงดนตรีขนาดใหญ่” ความใฝ่ฝันของเด็กคนนี้อยากเรียนต่อที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย น้องเบลล์บอกว่า “อยากเป็นผู้กำกับ อยากทำงานเบื้องหลังเหมือนคุณพ่อ ส่วนการเล่นขิมนั้นคงจะทำเป็นงานอดิเรก อย่างเปิดโรงเรียนสอนดนตรีไทย” |
ข้อมูลเพิ่มเติม เพลงระบำลพบุรี เป็นเพลงประกอบระบำชุดหนึ่งที่สร้างขึ้นโดยการค้นคว้าจากภาพจำหลักปูนและศิลปะขอม ซึ่งมีอยู่ทั้งในประเทศกัมพูชาและประเทศไทย โดยเฉพาะพระปรางค์สามยอด จ. ลพบุรี ปราสาทหินพิมาย จ. นครราชสีมา ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง จ. บุรีรัมย์ ฯลฯ เนื่องจาก ศิลปะแบบลพบุรีเป็นศิลปะแบบขอม ดังนั้นลีล่าท่ารำ ทำนองเพลงและเครื่องแต่งกาย จึงมีลักษณะแบบเขมร พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ - เปิดเวลา 07.00-17.30 น. - พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ เปิดวันพุธ-วันอาทิตย์ เวลา 09.00-16.00 น. - ค่าเข้าชม คนไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 30 บาท - โทร. 0-3641-1458 การเดินทาง รถยนต์ส่วนตัว จากย่านการค้าปรางค์แขก ตรงไปทางธนาคารไทยพาณิชย์ตาม ถ. สรศักดิ์ จะเห็นกำแพงอิฐใหญ่อยู่ขวา รถประจำทาง นั่งรถที่เข้าเมืองได้ทุกสาย ทุ่งทานตะวัน การเดินทาง รถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ผ่าน จ. สระบุรี เมื่อถึงแยกพุแคแล้วเข้าทางหลวงหมายเลข 21 ประมาณ 20 กม. จะถึงสี่แยกที่ตัดกับทางหลวงหมายเลข 3017 ถ้าไปทางขวาจะไปทาง อ. พัฒนานิคม และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ให้เลี้ยวซ้ายไปทางอ่างเก็บน้ำซับเหล็กและวัดเวฬุวัน หรือจะเดิน ทางโดยทางหลวงหมายเลข 1 ผ่าน อ. พระพุทธบาท เมื่อถึงสามแยกบริเวณสามแยกนิคมให้เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3017 ไปอีก 10 กม. ก็ถึงอ่างเก็บน้ำซับเหล็กได้เช่นกัน รถประจำทาง ถ้า ไปชมทุ่งทานตะวันบริเวณอ่างเก็บน้ำซับเหล็ก นั่งรถสายท่าโพธิ์-บ้านหนองถ้ำ แต่ถ้าจะไปทุ่งทานตะวันริมทางหลวงหมายเลข 21 ให้นั่งรถสายลพบุรี-ลำนารายณ์ ข้อแนะนำ ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การชมทุ่งทานตะวันคือ ช่วงเช้าตรู่ไปจน 10 โมงเช้า เพราะอากาศไม่ร้อนจนเกินไป และดอกทานตะวันจะหันไปทางทิศตะวันออก ทำให้แสงอาทิตย์ส่องเข้าหาดอกสว่างสดใส เห็นทุ่งทานตะวันเป็นสีเหลืองอร่าม |
แหล่งข้อมูล หนังสือเที่ยวทั่วไทยไปกับ "นายรอบรู้" ลพบุรี หนังสืออ้างอิง ณรงค์ชัย ปิฎกรัชต์. สารานุกรมเพลงไทย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เรือนแก้วการพิมพ์, 2542 ขอขอบคุณ - น.ส. ปิยธิดา เค้ามูลคดี (น้องเบลล์) - รายการ "คุณพระช่วย" - ผู้ให้ข้อมูลทุกท่าน |
ภาพ : ทีมงาน "นายรอบรู้" (น้อย) และสำนักพิมพ์สารดค
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
ระบำเชียงแสน
http://video.yahoo.com/watch/953850/3709381
http://www.banramthai.com/html/chiangsan.html
http://www.cdare.bpi.ac.th/Various%20Dancing/chiangsaen%20dancing.html
ระบำเชียงแสน
ระบำชุดนี้สร้างขึ้นตามศิลปโบราณสมัยเชียงแสน ซึ่งมีเมืองหลวงตั้งอยู่บนฝังขวาของแม่น้ำโขง
ทางตอนเหนือของประเทศไทย ในท้องถิ่นที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย นักปราชญ์ทางโบราณคดี
กำหนดศิลปโบราณสถานสมัยเชียงแสนไว้ระหว่างพุทธสตวรรษที่ ๒๐ – ๒๕ ศิลปแบบเชียงแสน
ได้แพร่หลายไปทั่วดินแดงภาคเหนือของไทย และต่อมาได้แพร่หลายในแถบลุ่มแม่น้ำโขง
เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลง ได้แก่ ปี่จุม แคน สะล้อ ซึง ตะโพน ฉิ่ง ฉาบ และฆ้องหุ่ย ท่วงทำนองเพลง
ระบำเชียงแสน มีสำเนียงแบบภาคเหนือ กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือผลสมผสานกัน
เครื่องแต่งกาย
ดังนั้นท่ารำและดนตรี ตลอดจนเครื่องแต่งกายของระบำชุดนี้ จึงมีลักษณะและ
ลีลาเป็นแบบภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือระคนกัน
อธิบายท่ารำ
ท่าที่ ๑ ท่าออก
ก้าวเท้าขวา อ่อนขวา เบี่ยงไหล่ขวา จีบ ๒ มือ มือซ้ายจีบหงายที่ชายพก มือขวาจีบหลัง
แล้วก้าวเทท้าซ้าย อ่อนซ้าย ปล่อยจีบมาตั้งข้างหน้า มือขวาตั้งวงสูงกว่ามือซ้าย เบี่ยงไหล่ซ้าย
แล้วเปลี่ยนก้าวเท้าซ้าย อ่อนซ้าย เบี่ยงไหล่ว้าย จีบ ๒ มือ ( หันด้านซ้าย ) ต่อจากนั้นก้าวเท้าขวา
อ่อนขวา ปล่อยจีบมาตั้งวงข้างหน้า มือซ้ายตั้งวงสูงกว่ามือขวา เบี่ยงไหล่ขวา ปฏิบัติสลับขวา ซ้าย
๘ ครั้ง ตั้งแถวปากพนัง
ท่าที่ ๒ สอดสูง จีบหลัง สลับกับตั้งวง และจีบหงายมือตึงแขน แถวขวา ก้าวเท้าซ้าย อ่อนซ้าย
จีบมือซ้ายสอดสูง ปล่อยจีบ มือขวาจีบหลังแล้วก้าวเท้าขวาไขว้ ต่อจากนั้นขยับไล่ เปลี่ยนมือซ้าย
ตั้งวงมือขวาจีบหงาย ตึงแขนระดับไหล่พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายอ่อนซ้ายเดินสวนแถวไป ๖ ครั้ง
กลับ ๖ ครั้ง แถวซ้ายซ้อนหน้าแถวขวาในจังหวะที่ ๓ แถวซ้าย ปฏิบัติตรงกันข้ามแถวขวา
ท่าที่ ๓ ๒ มือจีบหลัง สลับตั้งวงข้างหน้า ย่ำเท้าตามจังหวะ พร้อมกับ ๒ มือจีบหลัง ปล่อยมือจีบ
ตั้งวงข้างหน้าจังหวะที่ ๔ แล้วเปลี่ยนมือจีบหลังในจังหวะที่ ๔ ปฏิบัติสลับกันดังนี้ ๓ ครั้ง (๑๒ จังหวะ )
ระหว่างปฏิบัติท่านี้ คู่ที่ ๑ จะแยกออก เดินย่ำเท้าถอยหลังลงมา คู่ที่ ๒-๓ เดินตาม คู่ที่ ๑ ขึ้นไป
แล้วแยกออกเดินถอยหลังลงมาไปอยู่ที่เดิม
ท่าที่ ๔ จีบ ๒ มือ ปล่อยตั้งวงระดับไหล่ ( ท่ามยุเรศ ) หันหน้าเข้าหากันเป็นกลมใหญ่ ก้าวเท้าขวา
ปล่อยมือจีบตั้งวงระดับไหล่อ่อนว้ายแล้วก้าวเท้าซ้าย จีบหงายมือในจังหวะที่ ๒ เดินเวียนไปทางขวามือ
ปฏิบัติมือสลับกัน ๔ ครั้งต่อจากนั้นจึงเวียนกลับมาทางซ้ายมือ ปฏิบัติมือเช่นเดิม
ท่าที่ ๕ บัวชูฝัก แถวขวา วิ่งถอยมารวมกลุ่ม ๓ แถวว้ายวิ่งไปรวมกลุ่มข้างหน้าอยู่ในลักษณะเยื้องกัน
ก้าวเทาว้าย จีบมือว้ายสอดสูงปล่อยจีบ มือขวาจีบคว่ำอยู่ใต้ข้อศอกซ้าย อ่อนซ้ายก้าวเท้าเดิน
ตามจังหวะ ๒ ครั้ง แล้วปล่อยมือจีบตั้งมือแตะปลายนิ้วใต้ศอก มือซ้ายพลิกกลับตั้งวง นับเป็น ๑ จังหวะ
แล้วเปลี่ยนพลิกมือซ้ายอบหงาย มือขวาจีบคว่ำใต้ศอกในจังหวะที่ ๒ ปฏิบัติสลับกันกับจังหวะที่ ๑
จนครบ ๔ ครั้ง แล้วหมุนตัวทางซ้ายหันก้าวเท้าขวา จีบมือขวาสอดสูงปล่อยจีบ มือซ้ายจีบคว่ำใต้ศอกขวา
อ่อนขวาปฏิบัติวิธีเดียวกันท่าที่กล่าวข้างต้น
ท่าที่ ๖ ตั้งวงหน้าต่ำระดับเอว ก้าวเท้าซ้าย อ่อนขวา ทอดแขนทั้ง ๒ มือซ้ายตั้งวงข้างหน้า
มือขวาเยื้องต่ำกว่ามือซ้าย ก้าวเท้าตามจังหวะ ๔ ครั้ง เปลี่ยนมือ และอ่อนซ้าย ปฏิบัติวิธีเดียวกัน
ทำสลับกัน ๓ ครั้ง คนที่ ๑ ของแถวขวา จะเดินขึ้นไปตั้งแถวเฉียงด้านใน คนที่ ๑ ของแถวซ้าย
จะเดินลงมาตั้งแถวเฉียงด้านนอก เมื่อเปลี่ยวมือปฏิบัติครบ ๓ ครั้ง ทุกคนเดินมาแปรแถวเฉียงคู่กัน
ท่าที่ ๗ จีบมือสลับตั้งวงตั้งแถวเฉียงคู่ แถวขวาหันหน้าออกหน้าเวที แถวซ้ายหน้าเข้า ก้าวเท้าขวา
มือทั้ง ๒ จีบคว่ำ ทอดแขนขวาข้างลำตัว มือซ้ายระดับหัวเข็มขัด อ่อน โยนตัวแบบฟ้อนแล้วคืนตัว
อ่อนขวา ก้าวเท้าว้ายพร้อมกับเปลี่ยนมือขวาจีบหงาย ต่อจากนั้นเดินควงคู่ ย่ำเท้าขวา ซ้ายสลับกัน
ทุกครั้งที่ก้าวเท้าซ้าย มือขวาจะเปลี่ยนเป็นตั้งวงสลับกับจีบหงายจนครบ ๔ ครั้ง จังหวะที่ ๒ ทั้งสองแถว
จะเดินแปรแถวมาซ้อนกันเป็นแถวเฉียงเดียว แล้วแยกไปอยู่แทนที่กันในครั้งสุดท้าย ต่อหมุนตัวด้านขวา
ก้าวเท้าซ้าย ทอดแขนว้ายปฏิบัติวิธีเดียวกันกับข้างต้นกลับไปตั้งแถวเฉียงอย่างเดิม
ท่าที่ ๘ สวนแถนสลับฟันปลา ในท่ารำยั่ว คนที่ ๑ ของแถวขวา และคนสุดท้าย ( คนที่ ๑ ) ของแถวซ้าย
หมุนตัวก้าวเท้าขวาหันหน้าสวนแถวกับคู่ที่ ๒ มือขวาตั้งมือตะแคงไปข้างหน้า (ท่ารำยั่ว ) จีบซ้ายข้างหลัง
อ่อนขวา เดินสวนสลับฟันปลา เปลี่ยนมือขวาในท่ารำยั่ว ๕ครั้ง (เปลี่ยนมือย่ำเท้าครบ ๔ จังหวะและ
ให้พอดีกับคู่ ) คนที่ ๑ เดินย่ำมาตั้งแถวตรง
ท่าที่ ๙ สอดสร้อยแปลงและจีบนั่ง ท่าสอดสร้อยแปลงมือขวา มือซ้ายจีบชายพก ปฏิบัติสลับกันมือซ้าย
ย่ำเท้าครบ ๔ จังหวะจึงเปลี่ยนมือครั้งหนึ่ง คู่ที่ ๑ ย่ำเท้าอยู่กับที่ คู่ที่ ๒ และ ๓ ตั้งแถวหน้ากระดาน
โดยคู่ที่ ๒ ทอดแขนว้ายมือทั้งสองจีบหงายแล้วม้วนมือตั้งวงหน้าระดับเอว อ่อนซ้าย เบี่ยงตัวด้านขวา
กระทบจังหวะขึ้นเปลี่ยนเข่าว้ายสูงหันตัวมาด้านซ้าย แล้วอ่อนขวา ทอดแขนขวา และปฏิบัติมือวิธีเดียวกับ
ท่าที่กล่าวข้างต้น สลับกัน ๓ ครั้งแล้วลุกขึ้นยืน เปลี่ยนมือสอดสร้อยแปลงเดินย่ำเท้าถอยหลังไปอยู่
ริมนอกแถวหน้ากระดาน ระหว่างคู่ที่ ๑ ปฏิบัติท่าจีบนั่ง คู่ที่ ๒ – ๓ ทำท่าสอดสร้อยแปลงย่ำเท้าอยู่กับที่
และ๕ที่ ๒ จะเดินมาอยู่ตรงกลางแทนที่คู่ที่ ๑ เมื่อคู่ที่ ๑ เดินถอยไปอยู่ริมนอก แล้วปฏิบัติวิธีเดียวกันกับ
ที่กล่าวมาข้างต้น ต่อจากนั้นคู่ที่ ๓ จะเดินขึ้นมาแทนที่คู่ที่ ๒ เดินถอยไปอยู่ริมนอกตามแผนผัง
และปฏิบัติวิธีเดียวกันกับเดินไปถอยเรียงกระดาน
ท่าที่ ๑๐ สวนเรียงหน้ายกระดาน ทำท่าสอดสูงจีบหลัง แถวขวา ก้าวเท้าขวา มือซ้ายสอดสูง มือขวาจีบหลัง
อ่อนว้ายตะแคงตัวก้าวเดินตามจังหวะคนที่ ๑ ของแถวซ้ายและแถวขวาเดินนำสวนแถว แถวซ้ายซ้อนหน้าขวา
ขากลับแถวขวาซ้อนหน้าแถวซ้ายเดินไปและกลับ รวม ๑๔ จังหวะใหญ่ แถวซ้าย ก้าวเท้าซ้าย มือขวาสอดสูง
อ่อนขวา มือซ้ายจีบหลัง
ท่าที่ ๑๑ แถวตอนเรียงเดี่ยว ในท่ามยุเรศ มือทั้ง ๒ จีบหงายระดับหัวเข็มขัด ย่ำเท้าตามจังหวะ ๔ ครั้ง
ม้วนมือตั้งวงในท่ามยุเรศแล้วก้าวเดินมาตั้งแถวตอนเรียงเดี่ยว แถวซ้ายตั้งแถวซ้อนหน้าแถวขวา
สลับกันแต่ละคนใน ๘ จังหวะ ท่าที่ ๑๒ ท่าจีบโบก เดินถอยหลังเข้า
ปฏิบัติต่อเนื่องมาจากท่าที่ ๑๑ เดินถอยหลังเป็นแถวเฉียง ปลายแถวเฉียงไปทางขวาของเวที มือทั้ง ๒
จีบหงายระดับอก แล้วม้วนมือซ้ายตั้งวง ทอดแขนตรงหน้า มือขวาจีบหลัง อ่อนซ้าย เบี่ยงไหล่ขวา
เปลี่ยนมือปฏิบัติสลับกันทุก ๔ จังหวะ
เมือจบจังหวะสุดท้ายของท่อนเพลง ผู้ที่อยู่ปลายแถวเปลี่ยนก้าวเท้าขวาไขว้ แล้วก้าวเท้าซ้ายไขว้
พร้อมกับมือซ้ายจีบหงายทอดแขนระดับเอว มือขวาตั้งวงระดับหัวเข็มขัดอ่อนซ้าย
http://video.yahoo.com/watch/953850/3709381
http://www.banramthai.com/html/chiangsan.html
http://www.cdare.bpi.ac.th/Various%20Dancing/chiangsaen%20dancing.html
ระบำเชียงแสน
ระบำชุดนี้สร้างขึ้นตามศิลปโบราณสมัยเชียงแสน ซึ่งมีเมืองหลวงตั้งอยู่บนฝังขวาของแม่น้ำโขง
ทางตอนเหนือของประเทศไทย ในท้องถิ่นที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย นักปราชญ์ทางโบราณคดี
กำหนดศิลปโบราณสถานสมัยเชียงแสนไว้ระหว่างพุทธสตวรรษที่ ๒๐ – ๒๕ ศิลปแบบเชียงแสน
ได้แพร่หลายไปทั่วดินแดงภาคเหนือของไทย และต่อมาได้แพร่หลายในแถบลุ่มแม่น้ำโขง
เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลง ได้แก่ ปี่จุม แคน สะล้อ ซึง ตะโพน ฉิ่ง ฉาบ และฆ้องหุ่ย ท่วงทำนองเพลง
ระบำเชียงแสน มีสำเนียงแบบภาคเหนือ กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือผลสมผสานกัน
เครื่องแต่งกาย
- เสื้อสีเหลือง แขนสั้นเหนือศอก ตัวยาวคลุมสะโพก ชายเสื้อด้านหน้ามนคอแหลม
- ผ้านุ่งยาวกรอมเท้า สีเขียวและสีชมพูแก่อย่างละแถวแต่งด้วยขลิบทองลายขวาง
- เข็มขัด มีเกลียวไหมระบายรอบเอว และพ่ห้อยที่เอวด้านหน้า
- เครื่องประดับ มีสร้อยคอ กำไลข้อมือ ต่างหู ข้อเท้า
- ผมด้านหน้าเกล้าเป็นกระบัง มีขดเงินรูปหยักแหลมประดับ ด้านหลังมุ่นมวยสูงประดับดอกไม้ข้างซ้าย
ดังนั้นท่ารำและดนตรี ตลอดจนเครื่องแต่งกายของระบำชุดนี้ จึงมีลักษณะและ
ลีลาเป็นแบบภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือระคนกัน
อธิบายท่ารำ
ท่าที่ ๑ ท่าออก
ก้าวเท้าขวา อ่อนขวา เบี่ยงไหล่ขวา จีบ ๒ มือ มือซ้ายจีบหงายที่ชายพก มือขวาจีบหลัง
แล้วก้าวเทท้าซ้าย อ่อนซ้าย ปล่อยจีบมาตั้งข้างหน้า มือขวาตั้งวงสูงกว่ามือซ้าย เบี่ยงไหล่ซ้าย
แล้วเปลี่ยนก้าวเท้าซ้าย อ่อนซ้าย เบี่ยงไหล่ว้าย จีบ ๒ มือ ( หันด้านซ้าย ) ต่อจากนั้นก้าวเท้าขวา
อ่อนขวา ปล่อยจีบมาตั้งวงข้างหน้า มือซ้ายตั้งวงสูงกว่ามือขวา เบี่ยงไหล่ขวา ปฏิบัติสลับขวา ซ้าย
๘ ครั้ง ตั้งแถวปากพนัง
ท่าที่ ๒ สอดสูง จีบหลัง สลับกับตั้งวง และจีบหงายมือตึงแขน แถวขวา ก้าวเท้าซ้าย อ่อนซ้าย
จีบมือซ้ายสอดสูง ปล่อยจีบ มือขวาจีบหลังแล้วก้าวเท้าขวาไขว้ ต่อจากนั้นขยับไล่ เปลี่ยนมือซ้าย
ตั้งวงมือขวาจีบหงาย ตึงแขนระดับไหล่พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายอ่อนซ้ายเดินสวนแถวไป ๖ ครั้ง
กลับ ๖ ครั้ง แถวซ้ายซ้อนหน้าแถวขวาในจังหวะที่ ๓ แถวซ้าย ปฏิบัติตรงกันข้ามแถวขวา
ท่าที่ ๓ ๒ มือจีบหลัง สลับตั้งวงข้างหน้า ย่ำเท้าตามจังหวะ พร้อมกับ ๒ มือจีบหลัง ปล่อยมือจีบ
ตั้งวงข้างหน้าจังหวะที่ ๔ แล้วเปลี่ยนมือจีบหลังในจังหวะที่ ๔ ปฏิบัติสลับกันดังนี้ ๓ ครั้ง (๑๒ จังหวะ )
ระหว่างปฏิบัติท่านี้ คู่ที่ ๑ จะแยกออก เดินย่ำเท้าถอยหลังลงมา คู่ที่ ๒-๓ เดินตาม คู่ที่ ๑ ขึ้นไป
แล้วแยกออกเดินถอยหลังลงมาไปอยู่ที่เดิม
ท่าที่ ๔ จีบ ๒ มือ ปล่อยตั้งวงระดับไหล่ ( ท่ามยุเรศ ) หันหน้าเข้าหากันเป็นกลมใหญ่ ก้าวเท้าขวา
ปล่อยมือจีบตั้งวงระดับไหล่อ่อนว้ายแล้วก้าวเท้าซ้าย จีบหงายมือในจังหวะที่ ๒ เดินเวียนไปทางขวามือ
ปฏิบัติมือสลับกัน ๔ ครั้งต่อจากนั้นจึงเวียนกลับมาทางซ้ายมือ ปฏิบัติมือเช่นเดิม
ท่าที่ ๕ บัวชูฝัก แถวขวา วิ่งถอยมารวมกลุ่ม ๓ แถวว้ายวิ่งไปรวมกลุ่มข้างหน้าอยู่ในลักษณะเยื้องกัน
ก้าวเทาว้าย จีบมือว้ายสอดสูงปล่อยจีบ มือขวาจีบคว่ำอยู่ใต้ข้อศอกซ้าย อ่อนซ้ายก้าวเท้าเดิน
ตามจังหวะ ๒ ครั้ง แล้วปล่อยมือจีบตั้งมือแตะปลายนิ้วใต้ศอก มือซ้ายพลิกกลับตั้งวง นับเป็น ๑ จังหวะ
แล้วเปลี่ยนพลิกมือซ้ายอบหงาย มือขวาจีบคว่ำใต้ศอกในจังหวะที่ ๒ ปฏิบัติสลับกันกับจังหวะที่ ๑
จนครบ ๔ ครั้ง แล้วหมุนตัวทางซ้ายหันก้าวเท้าขวา จีบมือขวาสอดสูงปล่อยจีบ มือซ้ายจีบคว่ำใต้ศอกขวา
อ่อนขวาปฏิบัติวิธีเดียวกันท่าที่กล่าวข้างต้น
ท่าที่ ๖ ตั้งวงหน้าต่ำระดับเอว ก้าวเท้าซ้าย อ่อนขวา ทอดแขนทั้ง ๒ มือซ้ายตั้งวงข้างหน้า
มือขวาเยื้องต่ำกว่ามือซ้าย ก้าวเท้าตามจังหวะ ๔ ครั้ง เปลี่ยนมือ และอ่อนซ้าย ปฏิบัติวิธีเดียวกัน
ทำสลับกัน ๓ ครั้ง คนที่ ๑ ของแถวขวา จะเดินขึ้นไปตั้งแถวเฉียงด้านใน คนที่ ๑ ของแถวซ้าย
จะเดินลงมาตั้งแถวเฉียงด้านนอก เมื่อเปลี่ยวมือปฏิบัติครบ ๓ ครั้ง ทุกคนเดินมาแปรแถวเฉียงคู่กัน
ท่าที่ ๗ จีบมือสลับตั้งวงตั้งแถวเฉียงคู่ แถวขวาหันหน้าออกหน้าเวที แถวซ้ายหน้าเข้า ก้าวเท้าขวา
มือทั้ง ๒ จีบคว่ำ ทอดแขนขวาข้างลำตัว มือซ้ายระดับหัวเข็มขัด อ่อน โยนตัวแบบฟ้อนแล้วคืนตัว
อ่อนขวา ก้าวเท้าว้ายพร้อมกับเปลี่ยนมือขวาจีบหงาย ต่อจากนั้นเดินควงคู่ ย่ำเท้าขวา ซ้ายสลับกัน
ทุกครั้งที่ก้าวเท้าซ้าย มือขวาจะเปลี่ยนเป็นตั้งวงสลับกับจีบหงายจนครบ ๔ ครั้ง จังหวะที่ ๒ ทั้งสองแถว
จะเดินแปรแถวมาซ้อนกันเป็นแถวเฉียงเดียว แล้วแยกไปอยู่แทนที่กันในครั้งสุดท้าย ต่อหมุนตัวด้านขวา
ก้าวเท้าซ้าย ทอดแขนว้ายปฏิบัติวิธีเดียวกันกับข้างต้นกลับไปตั้งแถวเฉียงอย่างเดิม
ท่าที่ ๘ สวนแถนสลับฟันปลา ในท่ารำยั่ว คนที่ ๑ ของแถวขวา และคนสุดท้าย ( คนที่ ๑ ) ของแถวซ้าย
หมุนตัวก้าวเท้าขวาหันหน้าสวนแถวกับคู่ที่ ๒ มือขวาตั้งมือตะแคงไปข้างหน้า (ท่ารำยั่ว ) จีบซ้ายข้างหลัง
อ่อนขวา เดินสวนสลับฟันปลา เปลี่ยนมือขวาในท่ารำยั่ว ๕ครั้ง (เปลี่ยนมือย่ำเท้าครบ ๔ จังหวะและ
ให้พอดีกับคู่ ) คนที่ ๑ เดินย่ำมาตั้งแถวตรง
ท่าที่ ๙ สอดสร้อยแปลงและจีบนั่ง ท่าสอดสร้อยแปลงมือขวา มือซ้ายจีบชายพก ปฏิบัติสลับกันมือซ้าย
ย่ำเท้าครบ ๔ จังหวะจึงเปลี่ยนมือครั้งหนึ่ง คู่ที่ ๑ ย่ำเท้าอยู่กับที่ คู่ที่ ๒ และ ๓ ตั้งแถวหน้ากระดาน
โดยคู่ที่ ๒ ทอดแขนว้ายมือทั้งสองจีบหงายแล้วม้วนมือตั้งวงหน้าระดับเอว อ่อนซ้าย เบี่ยงตัวด้านขวา
กระทบจังหวะขึ้นเปลี่ยนเข่าว้ายสูงหันตัวมาด้านซ้าย แล้วอ่อนขวา ทอดแขนขวา และปฏิบัติมือวิธีเดียวกับ
ท่าที่กล่าวข้างต้น สลับกัน ๓ ครั้งแล้วลุกขึ้นยืน เปลี่ยนมือสอดสร้อยแปลงเดินย่ำเท้าถอยหลังไปอยู่
ริมนอกแถวหน้ากระดาน ระหว่างคู่ที่ ๑ ปฏิบัติท่าจีบนั่ง คู่ที่ ๒ – ๓ ทำท่าสอดสร้อยแปลงย่ำเท้าอยู่กับที่
และ๕ที่ ๒ จะเดินมาอยู่ตรงกลางแทนที่คู่ที่ ๑ เมื่อคู่ที่ ๑ เดินถอยไปอยู่ริมนอก แล้วปฏิบัติวิธีเดียวกันกับ
ที่กล่าวมาข้างต้น ต่อจากนั้นคู่ที่ ๓ จะเดินขึ้นมาแทนที่คู่ที่ ๒ เดินถอยไปอยู่ริมนอกตามแผนผัง
และปฏิบัติวิธีเดียวกันกับเดินไปถอยเรียงกระดาน
ท่าที่ ๑๐ สวนเรียงหน้ายกระดาน ทำท่าสอดสูงจีบหลัง แถวขวา ก้าวเท้าขวา มือซ้ายสอดสูง มือขวาจีบหลัง
อ่อนว้ายตะแคงตัวก้าวเดินตามจังหวะคนที่ ๑ ของแถวซ้ายและแถวขวาเดินนำสวนแถว แถวซ้ายซ้อนหน้าขวา
ขากลับแถวขวาซ้อนหน้าแถวซ้ายเดินไปและกลับ รวม ๑๔ จังหวะใหญ่ แถวซ้าย ก้าวเท้าซ้าย มือขวาสอดสูง
อ่อนขวา มือซ้ายจีบหลัง
ท่าที่ ๑๑ แถวตอนเรียงเดี่ยว ในท่ามยุเรศ มือทั้ง ๒ จีบหงายระดับหัวเข็มขัด ย่ำเท้าตามจังหวะ ๔ ครั้ง
ม้วนมือตั้งวงในท่ามยุเรศแล้วก้าวเดินมาตั้งแถวตอนเรียงเดี่ยว แถวซ้ายตั้งแถวซ้อนหน้าแถวขวา
สลับกันแต่ละคนใน ๘ จังหวะ ท่าที่ ๑๒ ท่าจีบโบก เดินถอยหลังเข้า
ปฏิบัติต่อเนื่องมาจากท่าที่ ๑๑ เดินถอยหลังเป็นแถวเฉียง ปลายแถวเฉียงไปทางขวาของเวที มือทั้ง ๒
จีบหงายระดับอก แล้วม้วนมือซ้ายตั้งวง ทอดแขนตรงหน้า มือขวาจีบหลัง อ่อนซ้าย เบี่ยงไหล่ขวา
เปลี่ยนมือปฏิบัติสลับกันทุก ๔ จังหวะ
เมือจบจังหวะสุดท้ายของท่อนเพลง ผู้ที่อยู่ปลายแถวเปลี่ยนก้าวเท้าขวาไขว้ แล้วก้าวเท้าซ้ายไขว้
พร้อมกับมือซ้ายจีบหงายทอดแขนระดับเอว มือขวาตั้งวงระดับหัวเข็มขัดอ่อนซ้าย
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
ระบำสุโขทัย
http://video.yahoo.com/watch/954037/3709810
http://www.banramthai.com/html/sukotai.html
http://www.info.ru.ac.th/province/Sukhotai/wdsukhotai.htm
ระบำสุโขทัย
http://video.yahoo.com/watch/954037/3709810
http://www.banramthai.com/html/sukotai.html
http://www.info.ru.ac.th/province/Sukhotai/wdsukhotai.htm
ระบำสุโขทัย
ระบำโบราณคดีชุดนี้เกิดจากแนวคิดริเริ่มของนายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากรได้จัดให้มีการแสดงถวายหน้าพระที่นั่งเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2510 ในงานเปิดอาคารใหม่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เป็นผู้คิดท่ารำ อาจารย์มนตรี ตราโมทเป็นผู้แต่งทำนองขึ้นใหม่ ให้มีความไพเราะเพราะพริ้ง |
เครื่องแต่งกายชุดระบำสุโขทัยนั้นได้อาศัยการศึกษาภาพลายเส้นรอบพระพุทธบาท สัมฤทธิ์สมัยสุโขทัย ส่วนทรงผมดูแนวจากภาพลายเส้นจิตรกรรมที่วัดศรีชุม การแต่งกายแบ่งออกเป็นตัวเอกและตัวรอง ดังนี้ |
ศีรษะ | ทรงยอดรัศมีสำหรับตัวเอก และทรงระฆังคว่ำสำหรับตัวรอง |
ต่างหู | เป็นดอกกลม |
เสื้อในนาง | สีชมพูอ่อน |
กรองคอ | สีดำ ปักดิ้นและเลื่อม |
ต้นแขน | ตัวรองพื้นสีดำ ปักดิ้นและเลื่อม ตัวเอกทำด้วยหนังลงรักปิดทอง |
กำไลข้อมือ | ตัวรองพื้นสีดำ ปักดิ้นและเลื่อม ตัวเอกทำด้วยหนังลงรักปิดทอง |
ข้อเท้า | ตัวรองพื้นสีดำ ปักดิ้นและเลื่อม ตัวเอกทำด้วยหนังลงรักปิดทอง |
ผ้ารัดเอว | ทำด้วยผ้าสีดำ มีลวดลายเป็นดอกไม้ประดับและห้อยที่ชายเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน มีริบบิ้นสีเขียวห้อยมาทั้งสองข้าง |
ผ้านุ่ง | เป็นกระโปรงบานจีบหน้าสีส้ม มีลูกไม้สีขาวระบายเป็นชั้น ๆ |
ทรงผม | เกล้าผม ครอบด้วยที่รัดผม |
จำนวนผู้เล่น | ผู้หญิงจำนวน 7 คน (มากกว่านั้นก็ได้แต่ผู้แสดงต้องเป็นเลขคี่) |
เครื่องดนตรี | ประกอบด้วย ปี่ใน กระจับปี่ ฆ้องวงใหญ่ ซอสามสาย ตะโพน ฉิ่งและกรับ |
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
ระบำอยุธยา
http://video.yahoo.com/watch/955545/3713763
http://culture.rmutsb.ac.th/50-10_Clip.html
http://www.banramthai.com/html/ayudhya.html
http://www.isangate.com/entertain/dance_072.html
http://www.bbacademy.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538844930&Ntype=7
ระบำอยุธยา
ระบำอยุธยา เป็นระบำชุดหนึ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙ จากความคิดริเริ่ม ของ
อาจารย์เสรี หวังในธรรม ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านสังคีตศิลป์และศิลปินแห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์
ที่จะจัดเป็นระบำโบราณคดีอีกชุดหนึ่ง อาจารย์เฉลย ศุขะวณิช ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย
และศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้ประดิษฐ์ลีลาท่ารำ อาจารย์ จรัส อาจณรงค์ ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทย
สำนักการสังคีต กรมศิลปากร เป็นผู้แต่งทำนองเพลงอยุธยา ระบำชุดนี้จัดแสดงเป็นครั้งแรก
ในงานศิลปหัตถกรรม ประจำปี ๒๕๒๙
http://video.yahoo.com/watch/955545/3713763
http://culture.rmutsb.ac.th/50-10_Clip.html
http://www.banramthai.com/html/ayudhya.html
http://www.isangate.com/entertain/dance_072.html
http://www.bbacademy.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538844930&Ntype=7
ระบำอยุธยา
ระบำอยุธยา เป็นระบำชุดหนึ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙ จากความคิดริเริ่ม ของ
อาจารย์เสรี หวังในธรรม ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านสังคีตศิลป์และศิลปินแห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์
ที่จะจัดเป็นระบำโบราณคดีอีกชุดหนึ่ง อาจารย์เฉลย ศุขะวณิช ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย
และศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้ประดิษฐ์ลีลาท่ารำ อาจารย์ จรัส อาจณรงค์ ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทย
สำนักการสังคีต กรมศิลปากร เป็นผู้แต่งทำนองเพลงอยุธยา ระบำชุดนี้จัดแสดงเป็นครั้งแรก
ในงานศิลปหัตถกรรม ประจำปี ๒๕๒๙
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
ระบำศรีชยสิงห์
http://video.yahoo.com/watch/954563/3710461
http://www.banramthai.com/html/srichaising.html
http://www.anurakthai.com/encyclopaedia/default.asp?rid=1&pageno=3
ระบำศรีชยสิงห์
http://art.culture.go.th/index.php?case=theaterDetail&side=dnc_art_th&art_id=28&dnc_art_id=88&file_dnc_art_id=129
http://video.yahoo.com/watch/954563/3710461
http://www.banramthai.com/html/srichaising.html
http://www.anurakthai.com/encyclopaedia/default.asp?rid=1&pageno=3
ระบำศรีชยสิงห์
ระบำศรีชยสิงห์ เป็นระบำที่นางเฉลย ศุขะวนิช ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย และศิลปินแห่งชาติ ประดิษฐ์ท่ารำขึ้นจากศิลปกรรมภาพจำหลักท่ารำของนางอัปสรบายน ในสมัยขอมบายน โดยจินตนการให้เป็นหมู่ระบำนางอัปสร ฟ้อนรำด้วยลีลาท่าทาง อันอ่อนช้อยงดงามตามแบบนาฏศิลป์ไทย ให้กลมกลืนกับท่วงทำนองและจังหวะเพลง ขอมชมจันทร์และเขมรเร็ว เพื่อเป็นการรำถวายพระ นางปรัชญาปารมิตา ซึ่งเป็นพระมารดาแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย |
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
http://www.banramthai.com/html/ramwong.html
รำวงมาตรฐาน
รำวงมาตรฐาน วิวัฒนาการมาจากการรำโทน เป็นการละเล่นพื้นเมืองของไทย
ต่อมาท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ได้แต่งเนื้อร้องและมอบให้กรมศิลปากรบรรจุท่ารำ
ไว้เป็นมาตรฐาน เป็นเพลงที่มีเนื้อร้องสุภาพ ใช้คำง่าย ทำนองเพลงง่าย มุ่งให้เห็นวัฒนธรรม
ของชาติเป็นส่วนใหญ่ การแสดงจะใช้ผู้แสดงหญิงชายไม่น้อยกว่า ๕ คู่
ท่ารำ
คุณครูศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก คุณครูมัลลี คงประภัศร์ และคุณครูลมุล ยมะคุปต์ ได้ร่วมกัน
ประดิษฐ์ท่ารำขึ้น ทั้งหมด ๑๔ แม่ท่า เป็นชื่อท่ารำที่อยู่ในรำแม่บท มีทั้งหมด ๑๐ เพลง ได้แก่
เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลง รำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ
เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงยอดชายใจหาญ
และเพลงบูชานักรบ
คำร้อง
จมื่นมานิตย์นเรศ (เฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร ได้ประพันธ์ขึ้น ๔ เพลง
คือ เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลง รำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย คุณหญิงละเอียด พิบูลสงคราม
ได้ประพันธ์คำร้องไว้ ๖ เพลง คือ เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงหญิงไทยใจงาม
เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงยอดชายใจหาญ และเพลงบูชานักรบ
ทำนอง
อาจารย์มนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทย กรมศิลปากร ได้แต่งทำนองไว้ ๖ เพลง คือ
เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลง รำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ
เพลงดอกไม้ของชาติ ครูเอื้อ สุนทรสนาน หัวหน้าวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ แต่งทำนองไว้ ๔ เพลง
คือ เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงยอดชายใจหาญ และเพลงบูชานักรบ
เครื่องดนตรี
เดิมนั้น รำโทนมีเครื่องดนตรีประกอบ คือ ฉิ่ง กรับ ฉาบ และโทน เมื่อมีการพัฒนาการรำขึ้น
จึงได้พัฒนาเครื่องดนตรีที่ใช้ด้วย โดยใช้วงดนตรีสากลบรรเลง
การแต่งกาย
มิได้กำหนดเฉพาะเจาะจงว่าต้องแต่งชุดไทยอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน แต่สามารถแต่งได้หลายอย่าง
เช่น แต่งชุดไทยจักรี ชุดไทยสมัย ร.๖ ชุดไทยแบบชาวบ้านคือห่มสไบ นุ่งโจงกระเบน หรือชุดไทย
สมัยใดก็ได้ ขอให้เป็นแบบไทย ขอให้ดูสุภาพ งดงาม ชายก็แต่งได้ทั้งชุดไทยแบบชาวบ้าน คือ
นุ่งโจงกระเบน ใส่เสื้อคอพวงมาลัย แขนสั้น ผ้าคาดเอว หรือชุดไทยเสื้อพระราชทาน กางเกงขายาว
ชุดราชปะแตน หรือชุดสากลใส่เสื้อสูท ผูกเนคไทก็ได้
http://www.vcharkarn.com/vcafe/126605/3
เพลงรำวงมาตรฐานทั้ง 10
วันนี้น้า (เราชื่อมิว) จะมาแบ่งบันความรู้กะเพื่อนๆกานน้า เรารักการรำวงม๊ากมาก
โตขึ้นกะทำรำวงด้วยแหละ เจ๋วดีว่ามั้ย55+ มาหุ้นกันได้นะ และอย่าลืมเราชื่อ มิว!
ประวัติ
รำวงมาตรฐาน ในปัจจุบันนี้เป็นศิลปะแห่งการรำวงที่งดงามซึ่งในสมัยก่อนยังมิได้มีคำว่า
"มาตรฐาน" จะเรียกกันเพียงว่า "รำวง"เท่านั้น การรำวงนี้เป็นการละเล่นพื้นบ้านอย่างหนึ่ง
ที่บ่อบอกถึงความสนุกสนาน การเล่นรำวงนั้นสืบเนื่องมาจากการเล่นรำโทน นั้นเพราะ
ในสมัยก่อนเครื่องดนตรีหลักที่ใช้ประกอบจังหวะก็คือ โทน ฉิ่ง และกรับ โดยจังหวะ
การฟ้อนรำจะมีเสียงโทนเป็นเสียงหลักตีตามจังหวะหน้าทับ จึงเรียกกันว่า "รำโทน"
ในด้านของบทร้องจะเป็นบทร้องที่มีภาษาเรียบง่าย ไม่พิถีพิถันในเรื่องถ้อยคำและ
สัมผัสวรรคตอนแต่อย่างใด ตามลักษณะของเพลงพื้นบ้าน เนื้อหาของเพลงจะออกมาใน
ลักษณะกระเซ้าเย้าแหย่ การเกี้ยวพาราสีหยอกล้อของหนุ่มสาว การเชิญชวน
ตลอดจนการชมโฉมความงามของหญิงสาว เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อความสนุกสนานในการเล่น
ในเรื่องของเครื่องแต่งกายในสมัยก่อนก็ไม่เน้นถึงความพิถีพิถันมากนัก
เน้นเพียงความสะดวกสบายของชาวบ้านเอง ไม่ได้ประณีตแต่อย่างใด
เมื่อประมาณ พ.ศ. 2488 ชาวบ้านนิยมเล่นรำโทนกันอย่างแพร่หลาย ด้วยเหตุความนิยม
เป็นอย่างมากนี้เองจึงได้มีผู้คิดแต่งบทร้องและทำนองขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก
แต่ทั้งนี้ก็ยังคงจังหวะหน้าทับของโทนไว้เช่นเดิม ส่วนเนื้อร้องใดที่นิยมก็จะร้องกันอยู่ได้นาน
เพลงใดเนื้อร้องไม่เป็นที่นิยมก็จะไม่นำมาร้องเท่าใดนักและก็จะเป็นที่ลืม
เลือนไปในที่สุด จากนั้นก็จะมีเนื้อเพลงใหม่ ๆ ขึ้นมาแทนที่
ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2484 - 2488 เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นที่
ตำบลบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484 เพื่อเจรจาขอตั้งกองทัพ
ในประเทศไทย โดยใช้เส้นทางต่าง ๆ ในแผ่นดินไทยลำเรียงเสบียงอาหาร อาวุธและกำลังพล
เพื่อใช้ในการต่อสู้ กับประเทศสัมพันธมิตร ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยมี
จอม พล ป. (แปลก) พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ตัดสินใจยอมให้ประเทศญี่ปุ่นเข้ามา
ตั้งฐานทัพในประเทศไทย เพราะเกรงว่า หากปฏิเสธ คงจะถูกปราบปรามแน่ ด้วยเหตุนี้เอง
ประเทศไทยจึงได้รับผลกระทบจากการรุกรานของ ฝ่ายสัมพันธมิตรที่ส่งกองทัพเข้ามาโจมตี
ฐานทัพญี่ปุ่นทางอากาศโดยเฉพาะในยามที่เป็นคืนเดือนหงาย จะมองเห็นจุดยุทธศาสตร์ได้ง่าย
ข้าศึกมักจะเข้ามาโจมตีอย่างหนักด้วยการทิ้งระเบิด ซึ่งสร้างความเสียหายทำลายชีวิต
และทรัพย์สินบ้านเรือนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบ้านเรือนที่อยู่ใกล้กับฐานทัพญี่ปุ่น
เมื่อช่วงคืนเดือนหงายผ่านไป คืนเดือนมืดเข้ามา ข้าศึกจะมองเห็นจุดยุทธศาสตร์ไม่ชัดเจน
จึงพักการรุกราน ประชาชนชาวไทย ได้รับความเดือนร้อน ต่างอยู่ในสถานการณ์ที่หวาดกลัว
เป็นอย่างมาก จึงได้หาวิธีการผ่อนคลายความตึงเคลียด ความหวาดผวา ด้วยการนำศิลปะพื้นบ้าน
ที่ซบเซาไป กลับมาร้องรำทำเพลง นั้นก็คือ "การเล่นรำโทน" คำร้อง ทำนองและการแต่งกาย
ก็ยังคงเรียบง่ายเน้นความสะดวกสบาย สนุกสนาน เช่นเดิม เพลงที่นิยมได้แก่
เพลงใกล้เข้าไปอีกนิด ช่อมาลี ตามองตา ยวนยาเหล เป็นต้น
ต่อมารัฐบาลได้เล็งเห็นศิลปะพื้นบ้านอันสวยงามของไทยที่มีอยู่อย่างแพร่หลาย ควรที่จะเชิดชู
ให้มีระเบียบแบบแผนตามแบบนาฏศิลป์ไทย เพราะหากชาวต่างชาติมาพบเห็นจะตำหนิได้ว่า
ศิลปะการฟ้อนรำของไทยนี้มิได้มี ความสวยงาม ประณีตแต่อย่างใด รวมถึงไม่มีศิลปะที่
แสดงออกว่าเป็นชาติที่มีวัฒนธรรม จึงได้มอบให้ กรมศิลปากรเป็นผู้รับผิดชอบในการปรับปรุง
และพัฒนาการรำ (รำโทน) ขึ้นใหม่ให้มีระเบียบ แบบแผน มีความงดงามมากยิ่งขึ้น
ทั้งทางด้านเนื้อร้อง ทำนอง ตลอดจนเครื่องแต่งกาย
เมื่อประมาณ พ.ศ. 2487 กรมศิลปากรได้แต่งบทร้องขึ้นมาใหม่ 4 บทคือ " เพลงงามแสงเดือน"
"เพลงชาวไทย" "เพลงรำซิมารำ" "เพลงคืนเดือนหงาย" ต่อมาท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม
ได้แต่งบทร้องขึ้นมาใหม่อีก 6 บท คือ " เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ" "เพลงดอกไม้ของชาติ"
"เพลงหญิงไทยใจงาม" "เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า" "เพลงยอดชายในหาญ" "เพลงบูชานักรบ"
ในด้านทำนองนั้นรับผิดชอบโดยกรมศิลปากรและกรมประชาสัมพันธ์ ส่วนท่ารำนั้นนาฏศิลปิน
อาวุโสของกรมศิลปากร คือ จมื่นมานิตย์นเรศ (เฉลิม เศวตนันท์) และนางลมุล ยมะคุปต์
ร่วมกันคิดท่ารำขึ้นประกอบการรำโดยนำท่ารำมาจากการรำ "แม่บท" และต่อมาได้มีการ
เปลี่ยนชื่อเรียกการ "รำโทน" เป็น "รำวง" ตามลักษณะของการเล่น ซึ่งวิธีการเล่นนั้นจะเล่น
รวมกันเป็นวงและเคลื่อนย้ายเวียนกันไปเป็นวงทวนเข็มนาฬิกา เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2
สิ้นสุดลง ชาวไทยก็ยังคงให้ความนิยมการเล่นรำวง สืบมาจนถึงปัจจุบันและชาวต่างชาติ
ก็นิยมเล่นกันอย่างแพร่หลาย ทั้งในงานเต้นรำต่าง ๆ จนกระทั้งมีนักประพันธ์ผู้หนึ่งเป็นชาวอเมริกัน
ที่ชื่อว่า Foubion Bowers ที่ได้มาพบเห็นศิลปะการรำวงของไทย และนำไปกล่าวไว้ในหนังสือ
Theatre in the East ซึ่งมีสำเนียงการเรียก "รำวง" เพี้ยนไปบ้างเล็กน้อยเป็น "รำบอง"
(Rombong) ( อมรา กล่ำเจริญ , 2531 : 111)
แต่อย่างไรก็ดี วัตถุประสงค์ของกรมศิลปากร ในการปรับปรุงศิลปะการรำวงทั้งหมด 10 เพลง
ก็เพื่อเป็นศิลปะการรำวงที่มีระเรียบแบบแผน ทั้งคำร้อง ทำนอง ท่ารำ ตลอดจนการแต่งกาย
ให้เป็นแบบฉบับมาตรฐาน สะดวกในการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของไทยและสืบสานต่อไป
ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงเรียก "รำวง" ที่มีศิลปะเป็นแบบฉบับมาตรฐาน ว่า "รำวงมาตรฐาน"
สืบมาจนถึงปัจจุบันนี้
เพลงรำวงมาตรฐาน
1.เพลงงามแสงเดือน-ท่าสอดสร้อยมาลา
2.เพลงชาวไทย-ท่าชักแป้งผักหน้า
3.เพลงรำมาซิมารำ-ท่ารำส่าย
4.เพลงคืนเดือนหงาย-ท่าสอดสร้อยมาลาแปลง
5.เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ-ท่าแขกเต้าเข้ารัง-ท่าผาลาเพียงไหล่
6.เพลงดอกไม้ของชาติ-ท่ารำยั่ว
7.เพลงหญิงไทยใจงาม-ท่าพรหมสี่หน้า-ท่ายูงฟ้อนหาง
8.เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า-ท่าช้างประสานงา-ท่าจันทร์ทรงกลด
9.เพลงยอดชายใจหาญ-ท่าชะนีร่ายไม้-ท่าจ่อเพลิงกาฬ
10.เพลงบูชานักรบ-ท่าขัดจางนาง-ท่าจันทร์ทรงกลด
เพลงงามแสงเดือน
คำร้อง จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร
(ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร) ทำนอง อาจารย์มนตรี ตราโมท
งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า งามใบหน้าเมื่ออยู่วงรำ (ซ้ำ)
เราเล่นเพื่อสนุก เปลื้องทุกข์วายระกำ
ขอให้เล่นฟ้อนรำ เพื่อสามัคคีเอย
ความหมาย ยามที่แสงจันทร์ส่องมายังโลกทำให้โลกนี้ดูสวยงาม ผู้คนที่มาเล่นรำวง
ยามที่แสงจันทร์ส่อง ก็มีความงดงามด้วย การรำวงนี้เพื่อให้มีความสนุกสนาน
มีความสามัคคีกัน และละทิ้งความทุกข์ให้หมดสิ้นไป
เพลงชาวไทย
คำร้อง จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร
(ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร) ทำนอง อาจารย์มนตรี ตราโมท
ชาวไทยเจ้าเอ๋ย ขออย่าละเลยในการทำหน้าที่
การที่เราได้เล่นสนุก เปลื้องทุกข์สบายอย่างนี้
เพราะชาติเราได้เสรี มีเอกราชสมบูรณ์
เราจึงควรช่วยชูชาติ ให้เก่งกาจเจิดจำรูญ
เพื่อความสุขเพิ่มพูน ของชาวไทยเรา เอย
ความหมาย หน้าที่ที่ชาวไทยพึงมีต่อประเทศชาตินั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนควรกระทำ
อย่าได้ละเลยไปเสีย ในการที่เราได้มาเล่นรำวงกันอย่างสนุกสนาน ปราศจากทุกข์โศก
ทั้งปวงนี้ก็เพราะว่าประเทศไทยเรามีเอกราช ประชาชนมีเสรีในการคิดจะทำสิ่งใดๆ
ดังนั้น เราจึงควรช่วยกันเชิดชูชาติไทยให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป เพื่อความสุขยิ่งๆ ขึ้น
ของไทยเราตลอดไป
เพลงรำซิมารำ
คำร้อง จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร
(ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร) ทำนอง อาจารย์มนตรี ตราโมท
รำซิมารำ เริงระบำกันให้สนุก
ยามงานเราทำงานจริง ๆ ไม่ละไม่ทิ้งจะเกิดเข็ญขลุก
ถึงยามว่างเราจึงรำเล่น ตามเชิงเช่นเพื่อให้สร่างทุกข์
ตามเยี่ยงอย่างตามยุค เล่นสนุกอย่างวัฒนธรรม
เล่นอะไรให้มีระเบียบ ให้งามให้เรียบจึงจะคมขำ
มาซิมาเจ้าเอ๋ยมาฟ้อนรำ มาเล่นระบำของไทยเราเอย
ความหมาย ขอพวกเรามาเล่นรำวงกันให้สนุกสนานเถิดในยามว่างเช่นนี้จะได้คลายทุกข์
ถึงเวลางานเราก็จะทำงานกันจริงๆ เพื่อจะได้ไม่ลำบาก และการรำก็จะรำอย่างมี
ระเบียบแบบแผน ตามวัฒนธรรมไทยของเราแล้วจะดูงดงามยิ่ง
เพลงคืนเดือนหงาย
คำร้อง จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร
(ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร) ทำนอง อาจารย์มนตรี ตราโมท
ยามกลางคืนเดือนหงาย เย็นพระพายโบกพริ้วปลิวมา
เย็นอะไรก็ไม่เย็นจิต เท่าเย็นผูกมิตรไม่เบื่อระอา
เย็นร่มธงไทยปกไปทั่วหล้า เย็นยิ่งน้ำฟ้ามาประพรมเอย
ความหมาย เวลา กลางคืน เป็นคืนเดือนหงาย มีลมพัดมาเย็นสบายใจ แต่ก็ยังไม่สบายใจ
เท่ากับการที่ได้ผูกมิตรกับผู้อื่น และที่ร่มเย็นไปทั่ว ทุกแห่งยิ่งกว่าน้ำฝนที่โปรยลงมา
ก็คือการที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นเอกราช มีธงชาติไทยเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ร่มเย็นทั่วไป
เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ
คำร้อง ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม
ทำนอง อาจารย์มนตรี ตราโมท
ดวงจันทร์วันเพ็ญ ลอยเด่นอยู่ในนภา
ทรงกลดสดสี รัศมีทอแสงงามตา
แสงจันทร์อร่าม ฉายงามส่องฟ้า
ไม่งามเท่าหน้า นวลน้องยองใย
งามเอยแสนงาม งามจริงยอดหญิงชาติไทย
งามวงพักตร์ยิ่งดวงจันทรา จริตกิริยานิ่มนวลละไม
วาจากังวาน อ่อนหวานจับใจ
รูปทรงสมส่วนยั่วยวนหทัย สมเป็นดอกไม้ขวัญใจชาติเอย
ความหมาย พระจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่บนท้องฟ้านั้นช่างดูสวยงาม เพราะเป็น
พระจันทร์ทรงกลด คือมีแสงเลื่อมกระจายออกรอบดวงจันทร์ทั้งดวง แต่ถึงจะงามอย่างไร
ก็ยังไม่เท่าความงามของดวงหน้าหญิงสาว ที่ดูผุดผ่องมีน้ำมีนวล อีกทั้งรูปร่างก็ดูสมส่วน
กิริยาวาจาก็อ่อนหวานไพเราะ สมแล้วกับที่เปรียบว่าหญิงไทยนี้คือดอกไม้
เพลงดอกไม้ของชาติ
(สร้อย) ขวัญใจดอกไม้ของชาติ งามวิลาสนวยนาดร่ายรำ (ซ้ำ)
เอวองค์อ่อนงาม ตามแบบนาฎศิลป์
ชี้ชาติไทยเนาว์ถิ่น เจริญวัฒนธรรม
(สร้อย)
งานทุกสิ่งสามารถ สร้างชาติช่วยชาย
ดำเนินตามนโยบาย สู้ทนเหนื่อยยากตรากตรำ
รำวงมาตรฐาน
เพลงงามแสงเดือน | เพลงดอกไม้ของชาติ |
เพลงชาวไทย | เพลงหญิงไทยใจงาม |
เพลงรำซิมารำ | เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า |
เพลงคืนเดือนหงาย | เพลงยอดชายใจหาญ |
เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ | เพลงบูชานักรบ |
รำวงมาตรฐาน วิวัฒนาการมาจากการรำโทน เป็นการละเล่นพื้นเมืองของไทย
ต่อมาท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ได้แต่งเนื้อร้องและมอบให้กรมศิลปากรบรรจุท่ารำ
ไว้เป็นมาตรฐาน เป็นเพลงที่มีเนื้อร้องสุภาพ ใช้คำง่าย ทำนองเพลงง่าย มุ่งให้เห็นวัฒนธรรม
ของชาติเป็นส่วนใหญ่ การแสดงจะใช้ผู้แสดงหญิงชายไม่น้อยกว่า ๕ คู่
ท่ารำ
คุณครูศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก คุณครูมัลลี คงประภัศร์ และคุณครูลมุล ยมะคุปต์ ได้ร่วมกัน
ประดิษฐ์ท่ารำขึ้น ทั้งหมด ๑๔ แม่ท่า เป็นชื่อท่ารำที่อยู่ในรำแม่บท มีทั้งหมด ๑๐ เพลง ได้แก่
เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลง รำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ
เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงยอดชายใจหาญ
และเพลงบูชานักรบ
คำร้อง
จมื่นมานิตย์นเรศ (เฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร ได้ประพันธ์ขึ้น ๔ เพลง
คือ เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลง รำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย คุณหญิงละเอียด พิบูลสงคราม
ได้ประพันธ์คำร้องไว้ ๖ เพลง คือ เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงหญิงไทยใจงาม
เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงยอดชายใจหาญ และเพลงบูชานักรบ
ทำนอง
อาจารย์มนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทย กรมศิลปากร ได้แต่งทำนองไว้ ๖ เพลง คือ
เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลง รำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ
เพลงดอกไม้ของชาติ ครูเอื้อ สุนทรสนาน หัวหน้าวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ แต่งทำนองไว้ ๔ เพลง
คือ เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงยอดชายใจหาญ และเพลงบูชานักรบ
เครื่องดนตรี
เดิมนั้น รำโทนมีเครื่องดนตรีประกอบ คือ ฉิ่ง กรับ ฉาบ และโทน เมื่อมีการพัฒนาการรำขึ้น
จึงได้พัฒนาเครื่องดนตรีที่ใช้ด้วย โดยใช้วงดนตรีสากลบรรเลง
การแต่งกาย
มิได้กำหนดเฉพาะเจาะจงว่าต้องแต่งชุดไทยอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน แต่สามารถแต่งได้หลายอย่าง
เช่น แต่งชุดไทยจักรี ชุดไทยสมัย ร.๖ ชุดไทยแบบชาวบ้านคือห่มสไบ นุ่งโจงกระเบน หรือชุดไทย
สมัยใดก็ได้ ขอให้เป็นแบบไทย ขอให้ดูสุภาพ งดงาม ชายก็แต่งได้ทั้งชุดไทยแบบชาวบ้าน คือ
นุ่งโจงกระเบน ใส่เสื้อคอพวงมาลัย แขนสั้น ผ้าคาดเอว หรือชุดไทยเสื้อพระราชทาน กางเกงขายาว
ชุดราชปะแตน หรือชุดสากลใส่เสื้อสูท ผูกเนคไทก็ได้
http://www.vcharkarn.com/vcafe/126605/3
เพลงรำวงมาตรฐานทั้ง 10
วันนี้น้า (เราชื่อมิว) จะมาแบ่งบันความรู้กะเพื่อนๆกานน้า เรารักการรำวงม๊ากมาก
โตขึ้นกะทำรำวงด้วยแหละ เจ๋วดีว่ามั้ย55+ มาหุ้นกันได้นะ และอย่าลืมเราชื่อ มิว!
ประวัติ
รำวงมาตรฐาน ในปัจจุบันนี้เป็นศิลปะแห่งการรำวงที่งดงามซึ่งในสมัยก่อนยังมิได้มีคำว่า
"มาตรฐาน" จะเรียกกันเพียงว่า "รำวง"เท่านั้น การรำวงนี้เป็นการละเล่นพื้นบ้านอย่างหนึ่ง
ที่บ่อบอกถึงความสนุกสนาน การเล่นรำวงนั้นสืบเนื่องมาจากการเล่นรำโทน นั้นเพราะ
ในสมัยก่อนเครื่องดนตรีหลักที่ใช้ประกอบจังหวะก็คือ โทน ฉิ่ง และกรับ โดยจังหวะ
การฟ้อนรำจะมีเสียงโทนเป็นเสียงหลักตีตามจังหวะหน้าทับ จึงเรียกกันว่า "รำโทน"
ในด้านของบทร้องจะเป็นบทร้องที่มีภาษาเรียบง่าย ไม่พิถีพิถันในเรื่องถ้อยคำและ
สัมผัสวรรคตอนแต่อย่างใด ตามลักษณะของเพลงพื้นบ้าน เนื้อหาของเพลงจะออกมาใน
ลักษณะกระเซ้าเย้าแหย่ การเกี้ยวพาราสีหยอกล้อของหนุ่มสาว การเชิญชวน
ตลอดจนการชมโฉมความงามของหญิงสาว เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อความสนุกสนานในการเล่น
ในเรื่องของเครื่องแต่งกายในสมัยก่อนก็ไม่เน้นถึงความพิถีพิถันมากนัก
เน้นเพียงความสะดวกสบายของชาวบ้านเอง ไม่ได้ประณีตแต่อย่างใด
เมื่อประมาณ พ.ศ. 2488 ชาวบ้านนิยมเล่นรำโทนกันอย่างแพร่หลาย ด้วยเหตุความนิยม
เป็นอย่างมากนี้เองจึงได้มีผู้คิดแต่งบทร้องและทำนองขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก
แต่ทั้งนี้ก็ยังคงจังหวะหน้าทับของโทนไว้เช่นเดิม ส่วนเนื้อร้องใดที่นิยมก็จะร้องกันอยู่ได้นาน
เพลงใดเนื้อร้องไม่เป็นที่นิยมก็จะไม่นำมาร้องเท่าใดนักและก็จะเป็นที่ลืม
เลือนไปในที่สุด จากนั้นก็จะมีเนื้อเพลงใหม่ ๆ ขึ้นมาแทนที่
ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2484 - 2488 เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นที่
ตำบลบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484 เพื่อเจรจาขอตั้งกองทัพ
ในประเทศไทย โดยใช้เส้นทางต่าง ๆ ในแผ่นดินไทยลำเรียงเสบียงอาหาร อาวุธและกำลังพล
เพื่อใช้ในการต่อสู้ กับประเทศสัมพันธมิตร ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยมี
จอม พล ป. (แปลก) พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ตัดสินใจยอมให้ประเทศญี่ปุ่นเข้ามา
ตั้งฐานทัพในประเทศไทย เพราะเกรงว่า หากปฏิเสธ คงจะถูกปราบปรามแน่ ด้วยเหตุนี้เอง
ประเทศไทยจึงได้รับผลกระทบจากการรุกรานของ ฝ่ายสัมพันธมิตรที่ส่งกองทัพเข้ามาโจมตี
ฐานทัพญี่ปุ่นทางอากาศโดยเฉพาะในยามที่เป็นคืนเดือนหงาย จะมองเห็นจุดยุทธศาสตร์ได้ง่าย
ข้าศึกมักจะเข้ามาโจมตีอย่างหนักด้วยการทิ้งระเบิด ซึ่งสร้างความเสียหายทำลายชีวิต
และทรัพย์สินบ้านเรือนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบ้านเรือนที่อยู่ใกล้กับฐานทัพญี่ปุ่น
เมื่อช่วงคืนเดือนหงายผ่านไป คืนเดือนมืดเข้ามา ข้าศึกจะมองเห็นจุดยุทธศาสตร์ไม่ชัดเจน
จึงพักการรุกราน ประชาชนชาวไทย ได้รับความเดือนร้อน ต่างอยู่ในสถานการณ์ที่หวาดกลัว
เป็นอย่างมาก จึงได้หาวิธีการผ่อนคลายความตึงเคลียด ความหวาดผวา ด้วยการนำศิลปะพื้นบ้าน
ที่ซบเซาไป กลับมาร้องรำทำเพลง นั้นก็คือ "การเล่นรำโทน" คำร้อง ทำนองและการแต่งกาย
ก็ยังคงเรียบง่ายเน้นความสะดวกสบาย สนุกสนาน เช่นเดิม เพลงที่นิยมได้แก่
เพลงใกล้เข้าไปอีกนิด ช่อมาลี ตามองตา ยวนยาเหล เป็นต้น
ต่อมารัฐบาลได้เล็งเห็นศิลปะพื้นบ้านอันสวยงามของไทยที่มีอยู่อย่างแพร่หลาย ควรที่จะเชิดชู
ให้มีระเบียบแบบแผนตามแบบนาฏศิลป์ไทย เพราะหากชาวต่างชาติมาพบเห็นจะตำหนิได้ว่า
ศิลปะการฟ้อนรำของไทยนี้มิได้มี ความสวยงาม ประณีตแต่อย่างใด รวมถึงไม่มีศิลปะที่
แสดงออกว่าเป็นชาติที่มีวัฒนธรรม จึงได้มอบให้ กรมศิลปากรเป็นผู้รับผิดชอบในการปรับปรุง
และพัฒนาการรำ (รำโทน) ขึ้นใหม่ให้มีระเบียบ แบบแผน มีความงดงามมากยิ่งขึ้น
ทั้งทางด้านเนื้อร้อง ทำนอง ตลอดจนเครื่องแต่งกาย
เมื่อประมาณ พ.ศ. 2487 กรมศิลปากรได้แต่งบทร้องขึ้นมาใหม่ 4 บทคือ " เพลงงามแสงเดือน"
"เพลงชาวไทย" "เพลงรำซิมารำ" "เพลงคืนเดือนหงาย" ต่อมาท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม
ได้แต่งบทร้องขึ้นมาใหม่อีก 6 บท คือ " เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ" "เพลงดอกไม้ของชาติ"
"เพลงหญิงไทยใจงาม" "เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า" "เพลงยอดชายในหาญ" "เพลงบูชานักรบ"
ในด้านทำนองนั้นรับผิดชอบโดยกรมศิลปากรและกรมประชาสัมพันธ์ ส่วนท่ารำนั้นนาฏศิลปิน
อาวุโสของกรมศิลปากร คือ จมื่นมานิตย์นเรศ (เฉลิม เศวตนันท์) และนางลมุล ยมะคุปต์
ร่วมกันคิดท่ารำขึ้นประกอบการรำโดยนำท่ารำมาจากการรำ "แม่บท" และต่อมาได้มีการ
เปลี่ยนชื่อเรียกการ "รำโทน" เป็น "รำวง" ตามลักษณะของการเล่น ซึ่งวิธีการเล่นนั้นจะเล่น
รวมกันเป็นวงและเคลื่อนย้ายเวียนกันไปเป็นวงทวนเข็มนาฬิกา เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2
สิ้นสุดลง ชาวไทยก็ยังคงให้ความนิยมการเล่นรำวง สืบมาจนถึงปัจจุบันและชาวต่างชาติ
ก็นิยมเล่นกันอย่างแพร่หลาย ทั้งในงานเต้นรำต่าง ๆ จนกระทั้งมีนักประพันธ์ผู้หนึ่งเป็นชาวอเมริกัน
ที่ชื่อว่า Foubion Bowers ที่ได้มาพบเห็นศิลปะการรำวงของไทย และนำไปกล่าวไว้ในหนังสือ
Theatre in the East ซึ่งมีสำเนียงการเรียก "รำวง" เพี้ยนไปบ้างเล็กน้อยเป็น "รำบอง"
(Rombong) ( อมรา กล่ำเจริญ , 2531 : 111)
แต่อย่างไรก็ดี วัตถุประสงค์ของกรมศิลปากร ในการปรับปรุงศิลปะการรำวงทั้งหมด 10 เพลง
ก็เพื่อเป็นศิลปะการรำวงที่มีระเรียบแบบแผน ทั้งคำร้อง ทำนอง ท่ารำ ตลอดจนการแต่งกาย
ให้เป็นแบบฉบับมาตรฐาน สะดวกในการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของไทยและสืบสานต่อไป
ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงเรียก "รำวง" ที่มีศิลปะเป็นแบบฉบับมาตรฐาน ว่า "รำวงมาตรฐาน"
สืบมาจนถึงปัจจุบันนี้
เพลงรำวงมาตรฐาน
1.เพลงงามแสงเดือน-ท่าสอดสร้อยมาลา
2.เพลงชาวไทย-ท่าชักแป้งผักหน้า
3.เพลงรำมาซิมารำ-ท่ารำส่าย
4.เพลงคืนเดือนหงาย-ท่าสอดสร้อยมาลาแปลง
5.เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ-ท่าแขกเต้าเข้ารัง-ท่าผาลาเพียงไหล่
6.เพลงดอกไม้ของชาติ-ท่ารำยั่ว
7.เพลงหญิงไทยใจงาม-ท่าพรหมสี่หน้า-ท่ายูงฟ้อนหาง
8.เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า-ท่าช้างประสานงา-ท่าจันทร์ทรงกลด
9.เพลงยอดชายใจหาญ-ท่าชะนีร่ายไม้-ท่าจ่อเพลิงกาฬ
10.เพลงบูชานักรบ-ท่าขัดจางนาง-ท่าจันทร์ทรงกลด
เพลงงามแสงเดือน
คำร้อง จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร
(ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร) ทำนอง อาจารย์มนตรี ตราโมท
งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า งามใบหน้าเมื่ออยู่วงรำ (ซ้ำ)
เราเล่นเพื่อสนุก เปลื้องทุกข์วายระกำ
ขอให้เล่นฟ้อนรำ เพื่อสามัคคีเอย
ความหมาย ยามที่แสงจันทร์ส่องมายังโลกทำให้โลกนี้ดูสวยงาม ผู้คนที่มาเล่นรำวง
ยามที่แสงจันทร์ส่อง ก็มีความงดงามด้วย การรำวงนี้เพื่อให้มีความสนุกสนาน
มีความสามัคคีกัน และละทิ้งความทุกข์ให้หมดสิ้นไป
เพลงชาวไทย
คำร้อง จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร
(ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร) ทำนอง อาจารย์มนตรี ตราโมท
ชาวไทยเจ้าเอ๋ย ขออย่าละเลยในการทำหน้าที่
การที่เราได้เล่นสนุก เปลื้องทุกข์สบายอย่างนี้
เพราะชาติเราได้เสรี มีเอกราชสมบูรณ์
เราจึงควรช่วยชูชาติ ให้เก่งกาจเจิดจำรูญ
เพื่อความสุขเพิ่มพูน ของชาวไทยเรา เอย
ความหมาย หน้าที่ที่ชาวไทยพึงมีต่อประเทศชาตินั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนควรกระทำ
อย่าได้ละเลยไปเสีย ในการที่เราได้มาเล่นรำวงกันอย่างสนุกสนาน ปราศจากทุกข์โศก
ทั้งปวงนี้ก็เพราะว่าประเทศไทยเรามีเอกราช ประชาชนมีเสรีในการคิดจะทำสิ่งใดๆ
ดังนั้น เราจึงควรช่วยกันเชิดชูชาติไทยให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป เพื่อความสุขยิ่งๆ ขึ้น
ของไทยเราตลอดไป
เพลงรำซิมารำ
คำร้อง จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร
(ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร) ทำนอง อาจารย์มนตรี ตราโมท
รำซิมารำ เริงระบำกันให้สนุก
ยามงานเราทำงานจริง ๆ ไม่ละไม่ทิ้งจะเกิดเข็ญขลุก
ถึงยามว่างเราจึงรำเล่น ตามเชิงเช่นเพื่อให้สร่างทุกข์
ตามเยี่ยงอย่างตามยุค เล่นสนุกอย่างวัฒนธรรม
เล่นอะไรให้มีระเบียบ ให้งามให้เรียบจึงจะคมขำ
มาซิมาเจ้าเอ๋ยมาฟ้อนรำ มาเล่นระบำของไทยเราเอย
ความหมาย ขอพวกเรามาเล่นรำวงกันให้สนุกสนานเถิดในยามว่างเช่นนี้จะได้คลายทุกข์
ถึงเวลางานเราก็จะทำงานกันจริงๆ เพื่อจะได้ไม่ลำบาก และการรำก็จะรำอย่างมี
ระเบียบแบบแผน ตามวัฒนธรรมไทยของเราแล้วจะดูงดงามยิ่ง
เพลงคืนเดือนหงาย
คำร้อง จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร
(ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร) ทำนอง อาจารย์มนตรี ตราโมท
ยามกลางคืนเดือนหงาย เย็นพระพายโบกพริ้วปลิวมา
เย็นอะไรก็ไม่เย็นจิต เท่าเย็นผูกมิตรไม่เบื่อระอา
เย็นร่มธงไทยปกไปทั่วหล้า เย็นยิ่งน้ำฟ้ามาประพรมเอย
ความหมาย เวลา กลางคืน เป็นคืนเดือนหงาย มีลมพัดมาเย็นสบายใจ แต่ก็ยังไม่สบายใจ
เท่ากับการที่ได้ผูกมิตรกับผู้อื่น และที่ร่มเย็นไปทั่ว ทุกแห่งยิ่งกว่าน้ำฝนที่โปรยลงมา
ก็คือการที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นเอกราช มีธงชาติไทยเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ร่มเย็นทั่วไป
เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ
คำร้อง ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม
ทำนอง อาจารย์มนตรี ตราโมท
ดวงจันทร์วันเพ็ญ ลอยเด่นอยู่ในนภา
ทรงกลดสดสี รัศมีทอแสงงามตา
แสงจันทร์อร่าม ฉายงามส่องฟ้า
ไม่งามเท่าหน้า นวลน้องยองใย
งามเอยแสนงาม งามจริงยอดหญิงชาติไทย
งามวงพักตร์ยิ่งดวงจันทรา จริตกิริยานิ่มนวลละไม
วาจากังวาน อ่อนหวานจับใจ
รูปทรงสมส่วนยั่วยวนหทัย สมเป็นดอกไม้ขวัญใจชาติเอย
ความหมาย พระจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่บนท้องฟ้านั้นช่างดูสวยงาม เพราะเป็น
พระจันทร์ทรงกลด คือมีแสงเลื่อมกระจายออกรอบดวงจันทร์ทั้งดวง แต่ถึงจะงามอย่างไร
ก็ยังไม่เท่าความงามของดวงหน้าหญิงสาว ที่ดูผุดผ่องมีน้ำมีนวล อีกทั้งรูปร่างก็ดูสมส่วน
กิริยาวาจาก็อ่อนหวานไพเราะ สมแล้วกับที่เปรียบว่าหญิงไทยนี้คือดอกไม้
เพลงดอกไม้ของชาติ
(สร้อย) ขวัญใจดอกไม้ของชาติ งามวิลาสนวยนาดร่ายรำ (ซ้ำ)
เอวองค์อ่อนงาม ตามแบบนาฎศิลป์
ชี้ชาติไทยเนาว์ถิ่น เจริญวัฒนธรรม
(สร้อย)
งานทุกสิ่งสามารถ สร้างชาติช่วยชาย
ดำเนินตามนโยบาย สู้ทนเหนื่อยยากตรากตรำ
แก้ไขล่าสุดโดย hacksecret เมื่อ Thu Jun 03, 2010 2:35 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
hacksecret- จำนวนข้อความ : 1111
Registration date : 02/03/2010
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
เพลงหญิงไทยใจงาม
คำร้อง ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม
ทำนอง ครูเอื้อ สุนทรสนาน
เดือนพราว ดาวแวววาวระยับ
แสงดาวประดับ ส่องให้เดือนงามเด่น
ดวงหน้า โสภาเพียงเดือนเพ็ญ
คุณความดีที่เห็น เสริมให้เด่นเลิศงาม
ขวัญใจ หญิงไทยส่งศรีชาติ
รูปงามวิลาส ใจกล้ากาจเรืองนาม
เกียรติยศ ก้องปรากฎทั่วคาม
หญิงไทยใจงาม ยิ่งเดือนดาวพราวแพรว
ความหมาย ดวง จันทร์ที่ส่องแสงอยู่บนท้องฟ้ามีความงดงามมาก และยิ่งได้แสง
อันระยิบระยับของดวงดาวด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ดวงจันทร์นั้นงามเด่นยิ่งขึ้น
เปรียบเหมือนกับดวงหน้าของหญิงสาวที่มีความงดงามอยู่แล้ว
ถ้ามีคุณความดีด้วย ก็จะทำให้หญิงนั้นงามเป็นเลิศ ผู้หญิงไทยนี้เป็นขวัญใจของชาติ
เป็นที่เชิดหน้าชูตาของชาติ รูปร่างก็งดงาม จิตใจก็กล้าหาญ ดังที่มีชื่อเสียงปรากฏอยู่ทั่วไป
เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า
คำร้อง ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม
ทำนอง ครูเอื้อ สุนทรสนาน
ดวงจันทร์ขวัญฟ้า ชื่นชีวาขวัญพี่
จันทร์ประจำราตรี แต่ขวัญพี่ประจำใจ
ที่เทิดทูนคือชาติ เอกราชอธิปไตย
ถนอมแนบสนิทใน คือขวัญใจพี่เอย
ความหมาย ในเวลาค่ำคืนท้องฟ้ามีดวงจันทร์ประจำอยู่ ในใจของชายก็มีหญิง
อันเป็นสุดที่รักประจำอยู่เช่นกัน สิ่งที่เทิดทูนยกย่องไว้ก็คือชาติไทยที่เป็นเอกราช
มีอิสระแก่ตนไม่ขึ้นกับใคร และสิ่งที่แนบสนิทอยู่ในใจของชายก็คือหญิงอันเป็นสุดที่รัก
เพลงยอดชายใจหาญ
คำร้อง ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม
ทำนอง ครูเอื้อ สุนทรสนาน
โอ้ยอดชายใจหาญ ขอสมานไมตรี
น้องขอร่วมชีวี กอบกรณีย์กิจชาติ
แม้สุดยากลำเค็ญ ไม่ขอเว้นเดินตาม
น้องจักสู้พยายาม ทำเต็มความสามารถ
ความหมาย ขอผูกมิตรไมตรีกับชายผู้กล้าหาญ และจะขอมีส่วนในการทำประโยชน์
ทำหน้าที่ของชาวไทย แม้จะลำบากยากแค้น ก็จะขอช่วยเหลือจนเต็มความสามารถ
เพลงบูชานักรบ
คำร้อง ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม
ทำนอง ครูเอื้อ สุนทรสนาน
น้องรักรักบูชาพี่ ที่มั่นคงที่มั่นคงกล้าหาญ
เป็นนักสู้เชี่ยวชาญ สมศักดิ์ชาตินักรบ
น้องรักรักบูชาพี่ ที่มานะที่มานะอดทน
หนักแสนหนักพี่ผจญ เกียรติพี่ขจรจบ
น้องรักรักบูชาพี่ ที่ขยันที่ขยันกิจการ
บากบั่นสร้างหลักฐาน ทำทุกด้านทำทุกด้านครันครบ
น้องรักรักบูชาพี่
http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/art04/15/htmls/index17.html
เพลงบูชานักรบ
เนื้อเพลงบูชานักรบ
น้องรักรักบูชาพี่ ที่มั่นคงที่มั่นคงกล้าหาญ
เป็นนักสู้เชี่ยวชาญ สมศักดื์ชาตินักรบ
น้องรักรักบูชาพี่ ที่มานะที่มานะอดทน
หนักแสนหนักพี่ผจญ เกียรติพี่ขจรจบ
น้องรักรักบูชาพี่ ที่ขยันที่ขยันกิจการ
บากบั่นสร้างหลักฐาน ทำทุกด้านทำทุกด้านครันครบ
น้องรักรักบูชาพี่ ที่รักชาติที่รักชาติยิ่งชีวิต
เลือดเนื้อพี่พลีอุทิศ ชาติยงอยู่ยงอยู่คู่พิภพ.
ท่าหญิง "ขัดจางนาง" ท่าชาย "จันทร์ทรงกลด" อธิบายท่ารำ | |
เที่ยวที่ ๑ท่าหญิง"ขัดจางนาง"ท่าชาย"จันทร์ทรงกลด" (หญิง)มือทั้งสองจีบคว่ำ (ชาย)มือทั้งสองจีบคว่ำระดับวงกลาง | |
(หญิง)พลิกข้อมือเป็นจีบหงายไขว้กันมือขวาทับซ้ายอยู่ระดับ วงล่างเอียงล่าง (ชาย)พลิกข้อมือเป็นจีบหงายระดับวงกลางงอแขนเล็กน้อย | |
(หญิง)สลัดจีบเป็นมือแบหงายปลายนิ้วตก (ชาย)สลัดจีบเป็นมือแบหงายปลายนิ้วตกระดับวงกลาง | |
(หญิง)พลิกมือขึ้นตั้งวงล่าง มือยังไขว้กันอยู่เอียงซ้ายเป็นท่า "ขัดจางนาง" (ชาย)พลิกมือขึ้นตั้งวงกลางเป็นท่า"จันทร์ทรงกลด" การก้าวเท้าเท้าขวาก้าวข้างก้าวเท้าซ้ายไขว้ก้าวเท้าขวา แล้วจรดจมูกเท้าซ้ายย่อเข่าลงจากนั้นเท้าซ้ายก้าวข้างเท้าขวา ก้าวไขว้เท้าขวาจรดจมูกเท้าแล้วย่อเข่าทำเช่นนี้สลับกันตาม จังหวะจนจบหนึ่งรอบ | |
เที่ยวที่ ๒ ท่าหญิง"ล่อแก้ว"ท่าชาย"ขอแก้ว" (หญิง)จังหวะที่๑มือซ้ายเลื่อนขึ้นไปตั้งวงบนมือขวาจีบล่อ แก้วคว่ำแล้วเปลี่ยนเป็นจีบล่อแก้วหงายหักข้อมือเข้าลำแขน แขนตึงต่ำกว่าไหล่เล็กน้อยการก้าวเท้าเหมือนกันโดยเท้าขวา หนักหลังก่อนเริ่มก้าวเท้าซ้าย ก้าวเท้าขวา เท้าซ้ายวางหลัง (หญิง)จังหวะที่๒ปล่อยจีบล่อแก้วลงเป็นแบมือหงาย ปลายนิ้วตกแล้วยกขึ้นตั้งวงบนมือซ้ายจีบล่อแก้วคว่ำ ระดับวงบนแล้วเปลี่ยนเป็นจีบล่อแก้วหงาย (ชาย)มือขวาเปลี่ยนไปเป็นตั้งวงบนมือซ้ายแบมือยื่นออก ไปรับแก้วของหญิงและดำเนินการรำไปเช่นนี้จนจบเพลง การก้าวเท้า เท้าซ้ายหนักหลังก่อนแล้วก้าวเท้าขวา ก้าวเท้าซ้ายเท้าขวาวางหลัง |
hacksecret- จำนวนข้อความ : 1111
Registration date : 02/03/2010
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
รำแม่บท
รำแม่บท เป็นรำมาตรฐาน ผู้แสดงจะรำตามบทขับร้องอีกทั้งต้องใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้าให้สอดคล้องกลมกลืนไปกับท่วงทำนอง จังหวะของเพลงใช้เป็น
การปฏิบัติฝึกหัดเบื้องต้นการเรียนวิชานาฏศิลป์ละคร ที่โบราณจารย์ด้านนาฏศิลป์ไทย
ได้ประดิษฐ์ขึ้นให้สอดคล้องกับบทร้องที่กำหนด การเรียกชื่อท่ารำต่าง ๆ ไว้อย่างชัดเจน
ท่าส่วนใหญ่จะเลียนแบบท่าธรรมชาติของมนุษย์ หากแต่นำมาปรับปรุงให้สวยงามอ่อนช้อย
ตามแบบนาฏศิลป์ไทย ส่วนบทขับร้องนั้น มีทั้งอย่างเต็มและอย่างย่อที่เรียกกันว่า แม่บทใหญ่
และแม่บทเล็ก สำหรับแม่บทเล็กนั้น จะเป็นบทร้องอยู่ในเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ใน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตอนนารายณ์ปราบนนนทุก นิยมนำมาใช้ใน
การแสดงชุดวิพิธทัศนา
http://www.fabeta.finearts.go.th/node/349
รำแม่บทถือได้ว่าเป็นแม่แบบของกระบวนท่าในรูปแบบการแสดงของนาฏศิลป์ไทย ที่มีหลักฐานว่ามีการสืบทอดกันมาแต่ครั้งโบราณ แต่ในกระบวนการสืบทอดทาง การปฏิบัตินั้นไม่ปรากฏผู้สืบทอดกระบวนท่ารำที่ชัดเจน ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๘ เมื่อกรมศิลปากรเรียนเชิญท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี มาเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านนาฏศิลป์ไทย ท่านเป็นบุคคลหนึ่งที่มีบทบาทในการประดิษฐ์กระบวนท่ารำ สำหรับการแสดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรำแม่บทนั้น ท่านได้เรียบเรียง และประดิษฐ์กระบวนท่ารำประกอบบทขับร้องได้อย่างสอดคล้องเหมาะสม แต่ยังคงท่ารำตามรูปแบบมาตรฐานที่สวยงามไว้ | ||||||||||||||||||||
รูปแบบ และลักษณะการแสดง รำแม่บท เป็นการรวบรวมท่ารำในเพลงช้า เพลงเร็ว ซึ่งเป็นแม่แบบของ การฝึกหัดมาเรียงร้อยให้เป็นกระบวน โดยการตั้งชื่อท่ารำและผูกเป็นบทกลอน นับเป็นขั้นตอนที่ต่อจากการเรียนเพลงช้า เพลงเร็ว เพื่อให้ผู้เขียนมีความคล่องแคล่ว ชำนิชำนาญ นอกจากใช้เป็นแบบฝึกหัดแล้ว เขามักจัดให้ละครตัวเอก เช่น ตัวนายโรง และตัวนาง คือ พระหนึ่ง นางหนึ่ง ของคณะละครโรงนั้น ๆ ออกมารำอวดให้ดูเป็นแบบฉบับ เพื่อดูว่าศิลปินคนใดในคณะใดจะแสดงท่ารำนั้น ๆ ได้ถูกต้องสวยงาม และถูกต้องตามแบบแผน ตลอดจนความสามารถเชื่อมท่า จากท่าหนึ่งไปสู่ทาหนึ่งได้อย่างละเมียดละไมกลมกล่อม ตัวละครผู้ใดรำแม่บทนี้ได้ดี ก็ยกย่องกันว่าเป็นศิลปินผู้มีฝีมือเอก ท่ารำแม่บทนี้มีบทร้องอยู่ ๒ อย่าง บทร้องที่ใช้รำดูกันโดยทั่วไปอย่างย่อนั้นมีอยู่ ๑๘ ท่าด้วยกัน ดังนี้
| ||||||||||||||||||||
ในการรำแม่บทนี้ เมื่อผู้แสดงรำตามบทร้องจนจบแล้ว ดนตรีจะบรรเลงเพลง หน้าพาทย์อื่น ๆ ต่อไปโดยไม่จำกัด เช่น ต่อท้ายบทร้อง เพลงรัว เพลงเร็ว สีนวล เชิดฉิ่งหรือเชิดจีน เป็นต้น “แม่บทนางนารายณ์ เมื่อพิจารณาในวรรคต้น ของกลอน ที่ว่า “เทพนม ปฐม พรหมสี่หน้า “ ซึ่งอาจตีความได้ว่า เทพน้อมไหว้คารวะเป็นเบื้องต้นแด่พระพรหม ซึ่งอาจเป็นแนวทางการวิเคราะห์ ที่มาของท่ารำแม่ท่ารำ นาฏศิลป์ไทยได้รับอิทธิพลศิลปวัฒนธรรมการฟ้อนรำ จากอินเดีย โดยพวกพราหมณ์ที่นับถือพระพรหมเป็นใหญ่ เป็นผู้สร้างโลก และสร้างนาฏยเวท และมีบัญชาให้พระภรตมุนีจดจำบันทึกท่ารำสร้างตำรา นาฏยศาสตร์ มาสอนศิษย์ และมวลมนุษย์ ดนตรี และเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ใช้วงปี่พาทย์ไม้แข็ง เพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ได้แก่ เพลงรัว เพลงชมตลาด และเพลงเร็ว – ลา เครื่องแต่งกาย ผู้แสดงแต่งกายยืนเครื่อง พระสวมเสื้อแขนยาว ศิราภรณ์ชฎายอดชัย นางศิราภรณ์รัดเกล้ายอด หรือสวมมงกุฎกษัตรีย์ | ||||||||||||||||||||
บทร้องรำแม่บท - ปี่พาทย์ทำเพลงรัว – - ร้องเพลงชมตลาด –
-ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว-ลา- | ||||||||||||||||||||
โอกาสที่ใช้แสดง เผยแพร่แลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม และเผยแพร่ให้ประชาชนชม |
hacksecret- จำนวนข้อความ : 1111
Registration date : 02/03/2010
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
http://www.fabeta.finearts.go.th/en/node/343
| |||||||||||
ปัจจุบันชุดฟ้อนเงี้ยว มีรูปแบบการแสดงอีกรูปแบบหนึ่ง คือ ผู้แสดงแต่งกายเป็นแบบไทยใหญ่ นุ่งโสร่ง ใส่เสื้อป้าย โพกศีรษะ กระบวนท่ารำ และเพลงร้องเป็นสำเนียงไทยใหญ่ ซึ่งวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่ได้รับการถ่ายทอดไว้ | |||||||||||
| |||||||||||
ดนตรี และเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ใช้วงดนตรีปี่พาทย์ไม้นวม เพิ่มฉาบใหญ่ และโหม่ง เพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ได้แก่ เพลงเงี้ยว (ฟ้อนเงี้ยว) เครื่องแต่งกาย
| |||||||||||
บทร้องฟ้อนเงี้ยว - ปี่พทาย์ทำเพลงเงี้ยว – - ร้องเพลงเงี้ยว –
| |||||||||||
โอกาสที่ใช้แสดง เผยแพร่ให้ประชาชนชม |
hacksecret- จำนวนข้อความ : 1111
Registration date : 02/03/2010
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
http://www.fabeta.finearts.go.th/en/node/344
| |||||||||||
บทร้องฟ้อนลาวแพน (ชาย – หญิง ) แบบเต็ม - ปี่พาทย์ทำเพลงลาวสมเด็จ – - ร้องเพลงลาวแพนใหญ่ –
บทร้องฟ้อนลาวแพน (ชาย – หญิง ) แบบตัด - ปี่พาทย์ทำเพลงลาวสมเด็จ – - ร้องเพลงลาวแพนใหญ่ –
| |||||||||||
| |||||||||||
ดนตรี และเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง บรรเลงเดี่ยวจะเข้ เพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ได้แก่ เพลงลาวแพน ซึ่งประกอบด้วยเพลง ลาวแพนใหญ่ เพลงลาวสมเด็จ เพลงลาวแพนน้อย เพลงลาวลอดค่าย และออกซุ้มลาวแพน เครื่องแต่งกาย
| |||||||||||
โอกาสที่ใช้แสดง เผยแพร่ให้ประชาชนชม |
hacksecret- จำนวนข้อความ : 1111
Registration date : 02/03/2010
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
http://www.fabeta.finearts.go.th/en/node/345
| |||||||||||||||||
ดนตรี และเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ใช้วงดนตรีพื้นเมืองภาคเหนือ เพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ได้แก่ เพลงในจังหวะฟ้อน เพลงต้นผีมดและเพลงผีมด เครื่องแต่งกาย ผ้านุ่งซิ่นป้ายยาวกรอมเท้า สวมเสื้อแขนกระบอกปล่อยชายอยู่ด้านนอก ห่มสไบกรองสีทอง เครื่องประดับ สร้อยคอต่างหู ผมเกล้ามวยติดดอกไม้ และห้อยอุบะ นางลมุล ยมะคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า การฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ในคุ้มเจ้าหลวง ผู้แสดงทุกคนจะสวมกำไลเท้าด้วย | |||||||||||||||||
บทร้องฟ้อนเล็บ - ปี่พาทย์ทำเพลงมอญดูดาว - - ร้องเพลงมอญดูดาว -
| |||||||||||||||||
โอกาสที่ใช้แสดง แสดงครั้งแรกในคราวสมโภชพระเศวตคชเดชน์ดิลก ช้างเผือกในรัชกาลที่ ๗ และเผยแพร่ให้ประชาชนชม |
hacksecret- จำนวนข้อความ : 1111
Registration date : 02/03/2010
Re: วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ ฟ้อน
http://www.fabeta.finearts.go.th/en/node/346
| |||||||||||
ปีพ.ศ.๒๕๑๔ กรมศิลปากรได้เปิดโรงเรียนนาฏศิลป ส่วนภูมิภาคแห่งแรก ขึ้นที่จังหวัดเชียงราย (ปัจจุบัน คือ วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่) มีนโยบาย ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ธำรงรักษาศิลปะพื้นเมือง และเสาะแสวงหารวบรวม ศิลปะพื้นเมืองที่กำลังจะสูญหายไป ฟ้อนสาวไหมจึงเป็นเป้าหมายสำคัญ อย่างหนึ่งที่วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ พยายามสืบเสาะหาเพื่อนำมาผดุงรักษาไว้ ในปี พ.ศ.๒๕๑๘ ก็ได้เชิญนางพลอยศรี สรรพศรี มาถ่ายทอดท่าฟ้อนสาวไหม ให้แก่คุณครูนาฏศิลป์ละคร ๓ คน คือ นางสาวฉวีวรรณ สบฤกษ์ (นุชนวล) นางสาวอัจฉรา สุภาไชยกิจ และนางสามปอยดง เครือนันตา ต่อมาวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ เชิญนางคำ กาไวย์ มาสอนการตีกลองสะบัดชัย นายคำเป็นผู้มีความรู้ และความสามารถสืบเสาะหาวิธีฟ้อนสาวไหมได้ทั้งชาย และหญิงดังนั้นทางวิทยาลัยจึงได้ปรับปรุงท่าของนางพลอยศรี และท่าของ นายคำเข้าด้วยกัน ให้มีลีลาอ่อนช้อย สวยงาม โดยอยู่ในความควบคุมของ นางสาวประนอม ทองสมบุญ อดีตผู้อำนวยการวิทยาลันนาฏศิลปเชียงใหม่ นิยมแสดงมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งใช้ผู้หญิงแสดงล้วน | |||||||||||
| |||||||||||
ดนตรี และเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ใช้วงดนตรีพื้นเมืองภาคเหนือ วงสะล้อ ซอ ซึง เพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ได้แก่ เพลงสาวไหม และเพลงล่องแม่ปิง เครื่องแต่งกาย ผ้าผ้านุ่งซิ่นป้ายยาวกรอมเท้า สวมเสื้อแขนกระบอกปล่อยชายอยู่ด้านนอก ห่มสไบ เครื่องประดับ สร้อยคอ สร้อยตัว ต่างหู ผมเกล้ามวยติดดอกไม้ | |||||||||||
โอกาสที่ใช้แสดง จัดแสดงครั้งแรกที่สถานีไทยโทรทัศน์ ช่อง ๙ กรุงเทพมหานคร ปีพ.ศ. ๒๕๑๙ และเผยแพร่ให้ประชาชนชม |
hacksecret- จำนวนข้อความ : 1111
Registration date : 02/03/2010
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|