จวกเจ้าสัวทรยศ เห่อสหรัฐลืมจีน
2 posters
หน้า 1 จาก 1
จวกเจ้าสัวทรยศ เห่อสหรัฐลืมจีน
วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6984 ข่าวสดรายวัน
เอ เอฟพีรายงานว่า เมื่อ 11 ม.ค. นายจาง เล่ย นักธุรกิจชาวมณฑลเจียงสือ ฝั่งตะวันออกของจีน เจ้าของบริษัทฮิลเฮาส์ แคปิตอล แมเนจเมนต์ กองทุนการเงินในกรุงปักกิ่ง ถูกเพื่อนร่วมชาติก่นด่าทางอินเตอร์เน็ตอย่างรุนแรงว่าเป็นคนทรยศ หลังจากที่บริจาคให้มหาวิทยาลัยเยลในสหรัฐถึง 8,888,888 ดอลลาร์ หรือเกือบ 300 ล้านบาท แต่ไม่เคยบริจาคให้โรงเรียนในจีนแม้แต่แดงเดียว
ฝ่ายต่อ ต้านวิจารณ์ว่า ระบบการศึกษาจีนช่วยชีวิต แต่คนอเมริกันต่างหากที่ทำให้คนจีนเกิดปัญหาในชีวิต การไปช่วยคนนอกเท่ากับทำร้ายจีน แต่ชาวจีนบางกลุ่มปกป้องนายเล่ย ว่ามหาวิทยาลัยจีนไม่สมควรได้รับเงินบริจาคก้อนใหญ่แบบนี้เพราะไม่มีค่าพอ
นาย เล่ย เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเหรินหมินในกรุงปักกิ่ง ก่อนที่จะไปเรียนต่อด้านธุรกิจที่มหาวิทยาลัยเยล จบเมื่อปี 2545 ให้เหตุผลว่า บริจาคเงินให้มหาวิทยาลัยในเครือไอวี่ลีก เพราะเปลี่ยนแปลงชีวิตตน
หน้า 7
เอ เอฟพีรายงานว่า เมื่อ 11 ม.ค. นายจาง เล่ย นักธุรกิจชาวมณฑลเจียงสือ ฝั่งตะวันออกของจีน เจ้าของบริษัทฮิลเฮาส์ แคปิตอล แมเนจเมนต์ กองทุนการเงินในกรุงปักกิ่ง ถูกเพื่อนร่วมชาติก่นด่าทางอินเตอร์เน็ตอย่างรุนแรงว่าเป็นคนทรยศ หลังจากที่บริจาคให้มหาวิทยาลัยเยลในสหรัฐถึง 8,888,888 ดอลลาร์ หรือเกือบ 300 ล้านบาท แต่ไม่เคยบริจาคให้โรงเรียนในจีนแม้แต่แดงเดียว
ฝ่ายต่อ ต้านวิจารณ์ว่า ระบบการศึกษาจีนช่วยชีวิต แต่คนอเมริกันต่างหากที่ทำให้คนจีนเกิดปัญหาในชีวิต การไปช่วยคนนอกเท่ากับทำร้ายจีน แต่ชาวจีนบางกลุ่มปกป้องนายเล่ย ว่ามหาวิทยาลัยจีนไม่สมควรได้รับเงินบริจาคก้อนใหญ่แบบนี้เพราะไม่มีค่าพอ
นาย เล่ย เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเหรินหมินในกรุงปักกิ่ง ก่อนที่จะไปเรียนต่อด้านธุรกิจที่มหาวิทยาลัยเยล จบเมื่อปี 2545 ให้เหตุผลว่า บริจาคเงินให้มหาวิทยาลัยในเครือไอวี่ลีก เพราะเปลี่ยนแปลงชีวิตตน
หน้า 7
sunny- จำนวนข้อความ : 3511
Registration date : 28/06/2008
Re: จวกเจ้าสัวทรยศ เห่อสหรัฐลืมจีน
หนุ่มจีนหงอย-24ล้านคนไร้เมีย
เอ เอฟพีรายงานว่า เมื่อ 11 ม.ค. จีนเผชิญปัญหาอัตราการเกิดของทารกเพศหญิงกับเพศชายไม่สมดุลกัน ด้วยเหตุผลที่ซับซ้อน โดยเฉพาะธรรมเนียมเก่าแก่ที่สืบทอดกันมา บวกกับนโยบายมีลูกคนเดียวตั้งแต่ปี 2522 ทำให้คนจีนนิยมมีลูกชาย และทำแท้งทารกเพศหญิงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในชนบท ซึ่งจะส่งผลให้ในปี 2563 หรือ ค.ศ.2020 ชายชาวจีนกว่า 24 ล้านคน จะต้องอยู่โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเพราะไร้คู่ครอง
การศึกษาดังกล่าว สนับสนุนโดยสถาบันการศึกษาสังคมศาสตร์ของรัฐบาลจีน พบว่าประชากร 1,300 ล้านคนของจีน กำลังมีปัญหาสัดส่วนประชากรไม่สมดุลกันทางเพศในกลุ่มเด็กเกิดใหม่ เพราะการทำแท้งทารกเพศหญิงแล้วเลือกไว้แต่เพศชาย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ซึ่งค่านิยมทางวัฒนธรรมยกย่องเพศชายเหนือเพศหญิง ทำให้จีนจะมีประชากรชายมากกว่าผู้หญิง
นายหวาง กวางโจว นักวิจัยกล่าวว่า ผู้ชายที่มีรายได้ต่ำจะหาคู่ครองยาก และจะเกิดปัญหาช่องว่างระหว่างคู่ครองตามมาด้วย เช่นเดียวกับนายหวาง หยูเสิ่ง นักวิจัยอีกคนกล่าวว่า ในเขตชนบทที่ยากจน ผู้ชายที่อายุมากกว่า 40 ปี มีโอกาสจะได้แต่งงานยิ่งยากขึ้น มิฉะนั้นก็อยู่เป็นโสดไปจนตาย ซึ่งจะทำให้ไม่มีทายาทสืบสกุลและไม่มีใครดูแลยามแก่เฒ่าด้วย
รายงาน ศึกษาชิ้นนี้ยังระบุถึงปัญหาการลักพาตัวและการค้ามนุษย์เพศหญิง ว่า รุนแรงมากขึ้นในเขตชนบท ซึ่งจากสถิติของคณะกรรมาธิการประชากรและการวางแผนครอบครัวแห่งชาติ พบว่า การแต่งงานที่ผิดกฎหมาย และการบังคับเป็นโสเภณี ล้วนเป็นปัญหาในเขตที่ประชากรไม่สมดุล
ค่าเฉลี่ยของทารกเพศชายระดับ ปกติ คือเพศชาย 103-107 คน ต่อเพศหญิง 100 คน แต่เมื่อปี 2548 ที่มีการเก็บข้อมูลครั้งสุดท้าย จีนมีทารกชายทะลุไปถึง 119 คนต่อทารกหญิง 100 คนแล้ว
หน้า 7
.........
ประเทศไทยเรา ผู้หญิงเยอะกว่าผู้ชาย (รึเปล่านะ)
sunny- จำนวนข้อความ : 3511
Registration date : 28/06/2008
Re: จวกเจ้าสัวทรยศ เห่อสหรัฐลืมจีน
sunny พิมพ์ว่า:วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6984 ข่าวสดรายวัน
เอ เอฟพีรายงานว่า เมื่อ 11 ม.ค. นายจาง เล่ย นักธุรกิจชาวมณฑลเจียงสือ ฝั่งตะวันออกของจีน เจ้าของบริษัทฮิลเฮาส์ แคปิตอล แมเนจเมนต์ กองทุนการเงินในกรุงปักกิ่ง ถูกเพื่อนร่วมชาติก่นด่าทางอินเตอร์เน็ตอย่างรุนแรงว่าเป็นคนทรยศ หลังจากที่บริจาคให้มหาวิทยาลัยเยลในสหรัฐถึง 8,888,888 ดอลลาร์ หรือเกือบ 300 ล้านบาท แต่ไม่เคยบริจาคให้โรงเรียนในจีนแม้แต่แดงเดียว
ฝ่ายต่อ ต้านวิจารณ์ว่า ระบบการศึกษาจีนช่วยชีวิต แต่คนอเมริกันต่างหากที่ทำให้คนจีนเกิดปัญหาในชีวิต การไปช่วยคนนอกเท่ากับทำร้ายจีน แต่ชาวจีนบางกลุ่มปกป้องนายเล่ย ว่ามหาวิทยาลัยจีนไม่สมควรได้รับเงินบริจาคก้อนใหญ่แบบนี้เพราะไม่มีค่าพอ
นาย เล่ย เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเหรินหมินในกรุงปักกิ่ง ก่อนที่จะไปเรียนต่อด้านธุรกิจที่มหาวิทยาลัยเยล จบเมื่อปี 2545 ให้เหตุผลว่า บริจาคเงินให้มหาวิทยาลัยในเครือไอวี่ลีก เพราะเปลี่ยนแปลงชีวิตตน
หน้า 7
http://www.biblebelievers.org.au/bones.htm
http://www.crystalinks.com/skullbones.html
http://nwoobserver.wordpress.com/2009/11/05/the-skull-and-bones-secret-society-of-yale-university/
The Skull and Bones secret society of Yale University
http://nonlaw.forumotion.com/forum-f7/topic-t309-120.htm
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: จวกเจ้าสัวทรยศ เห่อสหรัฐลืมจีน
วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553 เวลา 19:40:10 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
จีนสั่งแบงก์เพิ่มการกันสำรอง
เอเอฟพี รายงานว่า ธนาคารกลางจีนประกาศว่าเตรียมจะปรับเพิ่มการกันสำรองของธนาคารจีน เนื่องจากทางการปักกิ่งพยายามหาวิธีที่จะสกัดการเติบโตของเศรษฐกิจที่ร้อน แรงเกินไป
โดยแบงก์ชาติจีนระบุบนเว็บไซต์ว่า สัดส่วนการกันสำรองของบัญชีเงินฝากจะเพิ่มขึ้น 0.5% ซึ่งสัดส่วนนี้ถือเป็นการกันสำรองขั้นต่ำที่ธนาคารจะต้องรักษาเอาไว้ และไม่ใช่สำหรับปล่อยกู้ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น
รอยเตอร์ส ระบุว่า นี่เป็นการปรับเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2551 ทำให้สัดส่วนการกันสำรองของแบงก์ขนาดใหญ่อยู่ที่ 16% จากเดิมที่ 15.5%
ทั้งนี้ การปรับเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองดังกล่าวจะเริ่มมีผลในวันที่ 18 มกราคมนี้ อย่างไรก็ตาม ธนาคารขนาดเล็กได้รับการยกเว้น การขยับล่าสุดของแบงก์ชาตินับเป็นสัญญาณที่สะท้อนว่า รัฐบาลกำลังหันไปคุมเข้มการปล่อยกู้ใหม่ๆ ที่จะเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อ เศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างร้อนแรงเกินไป และหนี้เสียที่อาจเกิดขึ้นจากความไม่รอบคอบ
..........
เปลี่ยนมาอ่านข่าวประเทศมหาอำนาจใกล้บ้านบ้างดีกว่า
จีนสั่งแบงก์เพิ่มการกันสำรอง
เอเอฟพี รายงานว่า ธนาคารกลางจีนประกาศว่าเตรียมจะปรับเพิ่มการกันสำรองของธนาคารจีน เนื่องจากทางการปักกิ่งพยายามหาวิธีที่จะสกัดการเติบโตของเศรษฐกิจที่ร้อน แรงเกินไป
โดยแบงก์ชาติจีนระบุบนเว็บไซต์ว่า สัดส่วนการกันสำรองของบัญชีเงินฝากจะเพิ่มขึ้น 0.5% ซึ่งสัดส่วนนี้ถือเป็นการกันสำรองขั้นต่ำที่ธนาคารจะต้องรักษาเอาไว้ และไม่ใช่สำหรับปล่อยกู้ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น
รอยเตอร์ส ระบุว่า นี่เป็นการปรับเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2551 ทำให้สัดส่วนการกันสำรองของแบงก์ขนาดใหญ่อยู่ที่ 16% จากเดิมที่ 15.5%
ทั้งนี้ การปรับเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองดังกล่าวจะเริ่มมีผลในวันที่ 18 มกราคมนี้ อย่างไรก็ตาม ธนาคารขนาดเล็กได้รับการยกเว้น การขยับล่าสุดของแบงก์ชาตินับเป็นสัญญาณที่สะท้อนว่า รัฐบาลกำลังหันไปคุมเข้มการปล่อยกู้ใหม่ๆ ที่จะเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อ เศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างร้อนแรงเกินไป และหนี้เสียที่อาจเกิดขึ้นจากความไม่รอบคอบ
..........
เปลี่ยนมาอ่านข่าวประเทศมหาอำนาจใกล้บ้านบ้างดีกว่า
sunny- จำนวนข้อความ : 3511
Registration date : 28/06/2008
Re: จวกเจ้าสัวทรยศ เห่อสหรัฐลืมจีน
sunny พิมพ์ว่า:
หนุ่มจีนหงอย-24ล้านคนไร้เมีย
เอ เอฟพีรายงานว่า เมื่อ 11 ม.ค. จีนเผชิญปัญหาอัตราการเกิดของทารกเพศหญิงกับเพศชายไม่สมดุลกัน ด้วยเหตุผลที่ซับซ้อน โดยเฉพาะธรรมเนียมเก่าแก่ที่สืบทอดกันมา บวกกับนโยบายมีลูกคนเดียวตั้งแต่ปี 2522 ทำให้คนจีนนิยมมีลูกชาย และทำแท้งทารกเพศหญิงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในชนบท ซึ่งจะส่งผลให้ในปี 2563 หรือ ค.ศ.2020 ชายชาวจีนกว่า 24 ล้านคน จะต้องอยู่โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเพราะไร้คู่ครอง
การศึกษาดังกล่าว สนับสนุนโดยสถาบันการศึกษาสังคมศาสตร์ของรัฐบาลจีน พบว่าประชากร 1,300 ล้านคนของจีน กำลังมีปัญหาสัดส่วนประชากรไม่สมดุลกันทางเพศในกลุ่มเด็กเกิดใหม่ เพราะการทำแท้งทารกเพศหญิงแล้วเลือกไว้แต่เพศชาย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ซึ่งค่านิยมทางวัฒนธรรมยกย่องเพศชายเหนือเพศหญิง ทำให้จีนจะมีประชากรชายมากกว่าผู้หญิง
นายหวาง กวางโจว นักวิจัยกล่าวว่า ผู้ชายที่มีรายได้ต่ำจะหาคู่ครองยาก และจะเกิดปัญหาช่องว่างระหว่างคู่ครองตามมาด้วย เช่นเดียวกับนายหวาง หยูเสิ่ง นักวิจัยอีกคนกล่าวว่า ในเขตชนบทที่ยากจน ผู้ชายที่อายุมากกว่า 40 ปี มีโอกาสจะได้แต่งงานยิ่งยากขึ้น มิฉะนั้นก็อยู่เป็นโสดไปจนตาย ซึ่งจะทำให้ไม่มีทายาทสืบสกุลและไม่มีใครดูแลยามแก่เฒ่าด้วย
รายงาน ศึกษาชิ้นนี้ยังระบุถึงปัญหาการลักพาตัวและการค้ามนุษย์เพศหญิง ว่า รุนแรงมากขึ้นในเขตชนบท ซึ่งจากสถิติของคณะกรรมาธิการประชากรและการวางแผนครอบครัวแห่งชาติ พบว่า การแต่งงานที่ผิดกฎหมาย และการบังคับเป็นโสเภณี ล้วนเป็นปัญหาในเขตที่ประชากรไม่สมดุล
ค่าเฉลี่ยของทารกเพศชายระดับ ปกติ คือเพศชาย 103-107 คน ต่อเพศหญิง 100 คน แต่เมื่อปี 2548 ที่มีการเก็บข้อมูลครั้งสุดท้าย จีนมีทารกชายทะลุไปถึง 119 คนต่อทารกหญิง 100 คนแล้ว
หน้า 7
.........
ประเทศไทยเรา ผู้หญิงเยอะกว่าผู้ชาย (รึเปล่านะ)
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: จวกเจ้าสัวทรยศ เห่อสหรัฐลืมจีน
จีนเตรียมสร้างสนามบินสูงสุดในโลกที่ทิเบต
จีนวางแผนจะก่อสร้างท่าอากาศยานสูงที่สุดในโลกที่ทิเบต ที่ระดับความสูงเกือบ 4,436 เมตร
สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า ทางการจีนวางแผนจะก่อสร้างท่าอากาศยานสูงที่สุดในโลกที่ทิเบต โดยโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานบนหลังคาโลกจะดำเนินการที่เขตหนาฉู่ ที่ระดับความสูงถึง 4,436 เมตร ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปีหน้า ด้วยงบประมาณมูลค่า 1,800 ล้านหยวน หรือประมาณ 8,715 ล้านบาท
โดยท่าอากาศยานแห่งใหม่นี้จะมีความสูงกว่าท่าอากาศยานปามต๋า ซึ่งได้รับการยอมรับว่า สูงที่สุดในโลกนับตั้งแต่ปี 2537 ทั้งนี้ เขตหนาฉู่ ตั้งอยู่ระหว่างทิเบตและมณฑลชิงไห่ของจีน มีจำนวนประชากรชนกลุ่มน้อยชาวทิเบตอาศัยอยู่ราว 400,000 คน เจ้าหน้าที่เขตหนาฉู่คาดว่า เขตหนาฉู่จะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในดินแดนดังกล่าว นอกจากนี้ ท่าอากาศยานแห่งใหม่ดังกล่าว
จะเป็นท่าอากาศยานแห่งที่ 6 ที่ก่อสร้างขึ้นในดินแดนซึ่งปกครองโดยจีนมานานเกือบ 60 ปี
จีนวางแผนจะก่อสร้างท่าอากาศยานสูงที่สุดในโลกที่ทิเบต ที่ระดับความสูงเกือบ 4,436 เมตร
สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า ทางการจีนวางแผนจะก่อสร้างท่าอากาศยานสูงที่สุดในโลกที่ทิเบต โดยโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานบนหลังคาโลกจะดำเนินการที่เขตหนาฉู่ ที่ระดับความสูงถึง 4,436 เมตร ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปีหน้า ด้วยงบประมาณมูลค่า 1,800 ล้านหยวน หรือประมาณ 8,715 ล้านบาท
โดยท่าอากาศยานแห่งใหม่นี้จะมีความสูงกว่าท่าอากาศยานปามต๋า ซึ่งได้รับการยอมรับว่า สูงที่สุดในโลกนับตั้งแต่ปี 2537 ทั้งนี้ เขตหนาฉู่ ตั้งอยู่ระหว่างทิเบตและมณฑลชิงไห่ของจีน มีจำนวนประชากรชนกลุ่มน้อยชาวทิเบตอาศัยอยู่ราว 400,000 คน เจ้าหน้าที่เขตหนาฉู่คาดว่า เขตหนาฉู่จะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในดินแดนดังกล่าว นอกจากนี้ ท่าอากาศยานแห่งใหม่ดังกล่าว
จะเป็นท่าอากาศยานแห่งที่ 6 ที่ก่อสร้างขึ้นในดินแดนซึ่งปกครองโดยจีนมานานเกือบ 60 ปี
sunny- จำนวนข้อความ : 3511
Registration date : 28/06/2008
Re: จวกเจ้าสัวทรยศ เห่อสหรัฐลืมจีน
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9530000027493
คาร์ไลล์ จัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนสกุลเงินหยวนแห่งสองในจีน
26 กุมภาพันธ์ 2553 07:35 น.
โลโก้ของคาร์ไลล์ กรุ๊ป - คาร์ไลล์ (Carlyle) จับมือกับฝอซัน กรุ๊ป (Fosun Group)
จัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนสกุลหยวนแห่งที่สองในประเทศจีน (ภาพเอเยนซี)
เอเอฟพี-คาร์ไลล์ (Carlyle) กองทุนเอกชนยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ จับมือกับ
ฝอซัน กรุ๊ป (Fosun Group) บริษัทเอกชนรายใหญ่ที่สุดของจีน จัดตั้งกองทุน
เพื่อการลงทุนสกุลเงินหยวนแห่งใหม่ หวังโกยผลประโยชน์จากศักยภาพ
ในการเติบโตของแดนมังกร
กองทุนแห่งใหม่ถือเป็นกองทุนสกุลเงินหยวนแห่งที่สองของคาร์ลไลล์ในจีน โดยทางบริษัทฯ
เคยประกาศไว้เมื่อเดือนม.ค.ว่า ได้ลงนามข้อตกลงกับทางรัฐบาลปักกิ่ง เพื่อจัดตั้งเครื่องมือ
ในการลงทุนประเภทเดียวกันนี้
โดยแถลงการณ์ เมื่อวันพุธ (25 ก.พ.) ระบุว่า คาร์ไลล์ และฝอซัน จะเปิดให้ลงทุนด้วยเงินทุน
ขั้นต้น 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีแผนระดมทุนเพิ่มจากนักลงทุนในจีน เมื่อเงินทุนก้อนแรกหมดลง
นายเดวิด เอ็ม รูเบนสเตน กรรมการผู้จัดการของคาร์ลไลล์ แถลงว่า จีนเป็นประเทศที่เหมาะ
สำหรับการลงทุนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและหวังว่าการร่วมมือกับบริษัทในจีนอย่าง ฝอซัน
จะสร้างการเติบโตให้แก่ทั้งสองฝ่าย รวมทั้งยกระดับอุตสาหกรรมกองทุนเอกชนของจีน
ทั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่สองแล้ว ที่คาร์ไลล์ กับฝอซันร่วมมือกัน หลังทั้งคู่ร่วมลงทุนใน
บริษัท Guangdong Yashili Group ผู้ผลิตนมผงสำหรับทารก ในเดือนก.ย.ปีก่อน
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9510000086806
คาร์ไลล์หมดหวังถือหุ้นสีว์กง หมดแรงทวนกระแสรักชาติ
23 กรกฎาคม 2551 17:46 น.
สีว์กัง กรุ๊ป
เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล – คาร์ไลล์ กรุ๊ป จำใจม้วนเสื่อเจรจาเข้าถือหุ้นสีว์กง กรุ๊ป
บริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของจีน หลังจากการเจรจายืดเยื้อมานาน
จนกลายเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านกระแสนักลงทุนต่างชาติเข้าควบคุมกิจการบนแดนมังกร
ในการแถลงต่อตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นเมื่อวันอังคาร ( 22 ก.ค.) บริษัทลูก ซึ่งจดทะเบียนในตลาด
ของ สีว์กง กรุ๊ประบุว่า สีว์กง กรุ๊ปไม่รับพิจารณาเรื่องที่บริษัทกองทุนเอกชนชั้นนำของสหรัฐฯ
รายนี้ขอเข้าถือหุ้นอีกต่อไปแล้ว
ด้านโฆษกของคาร์ไลล์แถลงแก้เก้อว่า แม้ฝ่ายตนไม่ได้ดำเนินการเจรจาขอร่วมลงทุนกับสีว์กงแล้ว
แต่ทางคาร์ไลล์ก็พอใจที่ได้เป็นคู่ร่วมเจรจาที่ดีกับสีว์กงและมีความ สัมพันธ์ที่ดีกับหน่วยงานต่าง ๆ
ของรัฐบาลจีนตลอดระยะเวลาที่คาร์ไลล์ติดต่อประสานงานมานานหลายปี
แรกเริ่มนั้น คาร์ไลล์ ต้องการเข้าควบคุมกิจการของสีว์กง ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ โดยยอมจ่ายเงิน
จำนวน 375 ล้านดอลลาร์ เพื่อเข้าถือหุ้นร้อยละ 85 แต่ต่อมาได้ยอมลดสัดส่วนลงเหลือร้อยละ 50
โดยหวังว่าจะได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการปฏิรูปและการพัฒนาแห่งชาติของจีน
การบรรลุข้อตกลงดังกล่าวเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2548 ถือเป็นความพยายามทะลุทะลวงได้สำเร็จ
ของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งแทบไม่เคยเกิดขึ้นเลยในการเข้าควบคุมรัฐวิสาหกิจจีน
ทว่าการรออนุมัติข้อตกลงจากคณะกรรมการกำกับดูแลของจีนต้องเจอโรคเลื่อนมาโดยตลอด
ขณะเดียวกัน ก็เกิดเสียงวิจารณ์ต่อต้านอย่างหนักว่าต่างชาติกำลังเข้ามาครอบงำ
กิจการของรัฐ ปรากฎตามสื่อสารมวลชน และในอินเตอร์เน็ต
นอกจากนั้น นักเศรษฐศาสตร์และเจ้าหน้าที่รัฐบางคนยังตั้งคำถามด้วยว่า รัฐบาลได้ขายหุ้น
ในธนาคารยักษ์ใหญ่ ซึ่งเป็นของรัฐให้แก่นักลงทุนต่างชาติในราคาถูกไปหรือไม่?
ผู้บริหารคนหนึ่งของบริษัทผลิตเครื่องจักรอีกรายเริ่มรณรงค์ต่อต้าน ข้อตกลงเข้าถือหุ้นในสีว์กง
ของคาร์ไลล์อย่างเปิดเผย โดยเปิดบล็อกในอินเตอร์เน็ตแสดงความเป็นชาตินิยมอย่างเต็มที่ว่า
“การขายอะไรก็ตามเป็นเรื่องดี
แต่การเอาชาติไปขายนั้นเป็นเรื่องที่ผิด”
เมื่อปีที่แล้วจีนยังออกมาตรการสนับสนุนบริษัทกองทุนเอกชนในประเทศให้สามารถแข่งขันได้กับ
บริษัทกองทุนเอกชนต่างชาติอย่างคาร์ไลล์ , ทีพีจี-นิวบริดจ์ และแบล็กสโตน กรุ๊ป โดยบริษัท
กองทุนเอกชนในจีนเองก็กำลังเล็งเป้าหมายลงทุนในประเทศเป้าหมาย เดียวกับที่บริษัท
กองทุนต่างชาติหมายตา
อย่างไรก็ตาม แม้พลาดหวังจากสีว์กง คาร์ไลล์ยังคงเดินหน้าทำสัญญากับบริษัทอื่น ๆในจีนต่อไป
โดยส่วนใหญ่เป็นการถือหุ้นรายย่อยมูลค่าไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้เมื่อปีที่แล้ว สีว์กง กรุ๊ป จับมือคาร์ไลล์ กรุ๊ป ประกาศผลการเจรจาการถือหุ้นใน
สีว์กง คอนสตรักชัน แมชีนเนอรี่ โดยให้ฝ่ายจีนครองกรรมสิทธิ์ด้วยการถือหุ้น 55% และมีกรรมการ 5 คน
จากกรรมการทั้งสิ้น 9 คน พร้อมเรียกราคาหุ้นจากกระเป๋าของคาร์ไลล์สูงขึ้นอีก 11% หลังจากที่
เมื่อปี 2004 บริษัทสีว์กง คอนสตรักชัน แมชีนเนอรี่ ได้ประกาศแผนการขายหุ้นให้กับบริษัททั้งใน
และต่างประเทศ 85% กระทั่งเดือนต.ค. ปี 2006 สีว์กง กรุ๊ป ได้ลงนามในสัญญากับคาร์ไลล์
เพื่อปรับสัดส่วนการถือหุ้นจาก 15% มาเป็นถือกันคนละ 50%
คาร์ไลล์ จัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนสกุลเงินหยวนแห่งสองในจีน
26 กุมภาพันธ์ 2553 07:35 น.
โลโก้ของคาร์ไลล์ กรุ๊ป - คาร์ไลล์ (Carlyle) จับมือกับฝอซัน กรุ๊ป (Fosun Group)
จัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนสกุลหยวนแห่งที่สองในประเทศจีน (ภาพเอเยนซี)
เอเอฟพี-คาร์ไลล์ (Carlyle) กองทุนเอกชนยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ จับมือกับ
ฝอซัน กรุ๊ป (Fosun Group) บริษัทเอกชนรายใหญ่ที่สุดของจีน จัดตั้งกองทุน
เพื่อการลงทุนสกุลเงินหยวนแห่งใหม่ หวังโกยผลประโยชน์จากศักยภาพ
ในการเติบโตของแดนมังกร
กองทุนแห่งใหม่ถือเป็นกองทุนสกุลเงินหยวนแห่งที่สองของคาร์ลไลล์ในจีน โดยทางบริษัทฯ
เคยประกาศไว้เมื่อเดือนม.ค.ว่า ได้ลงนามข้อตกลงกับทางรัฐบาลปักกิ่ง เพื่อจัดตั้งเครื่องมือ
ในการลงทุนประเภทเดียวกันนี้
โดยแถลงการณ์ เมื่อวันพุธ (25 ก.พ.) ระบุว่า คาร์ไลล์ และฝอซัน จะเปิดให้ลงทุนด้วยเงินทุน
ขั้นต้น 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีแผนระดมทุนเพิ่มจากนักลงทุนในจีน เมื่อเงินทุนก้อนแรกหมดลง
นายเดวิด เอ็ม รูเบนสเตน กรรมการผู้จัดการของคาร์ลไลล์ แถลงว่า จีนเป็นประเทศที่เหมาะ
สำหรับการลงทุนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและหวังว่าการร่วมมือกับบริษัทในจีนอย่าง ฝอซัน
จะสร้างการเติบโตให้แก่ทั้งสองฝ่าย รวมทั้งยกระดับอุตสาหกรรมกองทุนเอกชนของจีน
ทั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่สองแล้ว ที่คาร์ไลล์ กับฝอซันร่วมมือกัน หลังทั้งคู่ร่วมลงทุนใน
บริษัท Guangdong Yashili Group ผู้ผลิตนมผงสำหรับทารก ในเดือนก.ย.ปีก่อน
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9510000086806
คาร์ไลล์หมดหวังถือหุ้นสีว์กง หมดแรงทวนกระแสรักชาติ
23 กรกฎาคม 2551 17:46 น.
สีว์กัง กรุ๊ป
เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล – คาร์ไลล์ กรุ๊ป จำใจม้วนเสื่อเจรจาเข้าถือหุ้นสีว์กง กรุ๊ป
บริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของจีน หลังจากการเจรจายืดเยื้อมานาน
จนกลายเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านกระแสนักลงทุนต่างชาติเข้าควบคุมกิจการบนแดนมังกร
ในการแถลงต่อตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นเมื่อวันอังคาร ( 22 ก.ค.) บริษัทลูก ซึ่งจดทะเบียนในตลาด
ของ สีว์กง กรุ๊ประบุว่า สีว์กง กรุ๊ปไม่รับพิจารณาเรื่องที่บริษัทกองทุนเอกชนชั้นนำของสหรัฐฯ
รายนี้ขอเข้าถือหุ้นอีกต่อไปแล้ว
ด้านโฆษกของคาร์ไลล์แถลงแก้เก้อว่า แม้ฝ่ายตนไม่ได้ดำเนินการเจรจาขอร่วมลงทุนกับสีว์กงแล้ว
แต่ทางคาร์ไลล์ก็พอใจที่ได้เป็นคู่ร่วมเจรจาที่ดีกับสีว์กงและมีความ สัมพันธ์ที่ดีกับหน่วยงานต่าง ๆ
ของรัฐบาลจีนตลอดระยะเวลาที่คาร์ไลล์ติดต่อประสานงานมานานหลายปี
แรกเริ่มนั้น คาร์ไลล์ ต้องการเข้าควบคุมกิจการของสีว์กง ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ โดยยอมจ่ายเงิน
จำนวน 375 ล้านดอลลาร์ เพื่อเข้าถือหุ้นร้อยละ 85 แต่ต่อมาได้ยอมลดสัดส่วนลงเหลือร้อยละ 50
โดยหวังว่าจะได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการปฏิรูปและการพัฒนาแห่งชาติของจีน
การบรรลุข้อตกลงดังกล่าวเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2548 ถือเป็นความพยายามทะลุทะลวงได้สำเร็จ
ของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งแทบไม่เคยเกิดขึ้นเลยในการเข้าควบคุมรัฐวิสาหกิจจีน
ทว่าการรออนุมัติข้อตกลงจากคณะกรรมการกำกับดูแลของจีนต้องเจอโรคเลื่อนมาโดยตลอด
ขณะเดียวกัน ก็เกิดเสียงวิจารณ์ต่อต้านอย่างหนักว่าต่างชาติกำลังเข้ามาครอบงำ
กิจการของรัฐ ปรากฎตามสื่อสารมวลชน และในอินเตอร์เน็ต
นอกจากนั้น นักเศรษฐศาสตร์และเจ้าหน้าที่รัฐบางคนยังตั้งคำถามด้วยว่า รัฐบาลได้ขายหุ้น
ในธนาคารยักษ์ใหญ่ ซึ่งเป็นของรัฐให้แก่นักลงทุนต่างชาติในราคาถูกไปหรือไม่?
ผู้บริหารคนหนึ่งของบริษัทผลิตเครื่องจักรอีกรายเริ่มรณรงค์ต่อต้าน ข้อตกลงเข้าถือหุ้นในสีว์กง
ของคาร์ไลล์อย่างเปิดเผย โดยเปิดบล็อกในอินเตอร์เน็ตแสดงความเป็นชาตินิยมอย่างเต็มที่ว่า
“การขายอะไรก็ตามเป็นเรื่องดี
แต่การเอาชาติไปขายนั้นเป็นเรื่องที่ผิด”
เมื่อปีที่แล้วจีนยังออกมาตรการสนับสนุนบริษัทกองทุนเอกชนในประเทศให้สามารถแข่งขันได้กับ
บริษัทกองทุนเอกชนต่างชาติอย่างคาร์ไลล์ , ทีพีจี-นิวบริดจ์ และแบล็กสโตน กรุ๊ป โดยบริษัท
กองทุนเอกชนในจีนเองก็กำลังเล็งเป้าหมายลงทุนในประเทศเป้าหมาย เดียวกับที่บริษัท
กองทุนต่างชาติหมายตา
อย่างไรก็ตาม แม้พลาดหวังจากสีว์กง คาร์ไลล์ยังคงเดินหน้าทำสัญญากับบริษัทอื่น ๆในจีนต่อไป
โดยส่วนใหญ่เป็นการถือหุ้นรายย่อยมูลค่าไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้เมื่อปีที่แล้ว สีว์กง กรุ๊ป จับมือคาร์ไลล์ กรุ๊ป ประกาศผลการเจรจาการถือหุ้นใน
สีว์กง คอนสตรักชัน แมชีนเนอรี่ โดยให้ฝ่ายจีนครองกรรมสิทธิ์ด้วยการถือหุ้น 55% และมีกรรมการ 5 คน
จากกรรมการทั้งสิ้น 9 คน พร้อมเรียกราคาหุ้นจากกระเป๋าของคาร์ไลล์สูงขึ้นอีก 11% หลังจากที่
เมื่อปี 2004 บริษัทสีว์กง คอนสตรักชัน แมชีนเนอรี่ ได้ประกาศแผนการขายหุ้นให้กับบริษัททั้งใน
และต่างประเทศ 85% กระทั่งเดือนต.ค. ปี 2006 สีว์กง กรุ๊ป ได้ลงนามในสัญญากับคาร์ไลล์
เพื่อปรับสัดส่วนการถือหุ้นจาก 15% มาเป็นถือกันคนละ 50%
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Re: จวกเจ้าสัวทรยศ เห่อสหรัฐลืมจีน
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9530000027391
25 กุมภาพันธ์ 2553 16:35 น.
มาแล้ว! ชาวจีนคนแรก รับตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ ไอเอ็มเอฟ
จู หมิน ชาวจีนคนแรกที่ได้รับตำแหน่งระดับสูงในไอเอ็มเอฟ หลังจากที่กลุ่มประเทศยุโรป
เป็นผู้คุมมาตลอด สหรัฐฯ เองก็ได้เป็นใหญ่ในธนาคารโลก และญี่ปุ่นมีเสียงดังในธนาคาร
เพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) (ภาพเอเยนซี)
เอเอฟพี-จู หมิน รองผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาพิเศษของกองทุน
การเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 3 พ.ค.นี้ คาดเพิ่มสิทธิเสียง
ให้กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
โดมินิก สเตราส์ คาห์น ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แถลงเมื่อ
วันพฤหัสบดีที่ 25 ก.พ. แต่งตั้งให้นายจูหมิน รองผู้ว่าธนาคารประชาชนจีน ซึ่งเป็นธนาคารกลางของจีน
เป็นที่ปรึกษาพิเศษของไอเอ็มเอฟ นับเป็นชาวจีนคนแรกที่ดำรงตำแหน่งใหญ่ในกองทุนฯ นี้
ในการนี้ จะทำให้จีนรวมถึงประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่นๆ ได้มีสิทธิมีเสียงในการเรียกร้อง
การปฏิรูปการบริหารที่ไอเอ็มเอฟและธนาคารโลก และจัดสรรสัดส่วนของสิทธิในการออกเสียง
ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนาอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้สอดคล้องต่อ
สภาพความเป็นจริง
หวาง เป่าตง
โฆษกประจำสถานเอกอัครราชทูตจีน ประจำสหรัฐฯ กล่าวกับเอเอฟพีว่า ทางการจีนแสดงความยินดี
กับความก้าวหน้านี้ โดยหวังว่าจะได้กระชับและประสานการทำงานร่วมกันระหว่างไอเอ็มเอฟ
และกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ในเอเชีย เพื่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจโลกและ
เสถียรภาพทางการเงินระหว่างประเทศ
โดมินิก กล่าวว่า จู จะมีบทบาทสำคัญในการนำประสบการณ์เศรษฐกิจเอเชีย ที่มีมาทำงานกับเขา
และทีมบริหารในการจัดการกับความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสมาชิกกองทุนฯ ในกาลข้างหน้า
และผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกและความมั่นคงทางการเงิน
จู หมินได้ทำงานให้กับ ธนาคารประชาชนจีน เมื่อปีที่แล้ว หลังจากเป็นผู้บริหารอาวุโสของ
ธนาคารแห่งประเทศจีน (บีโอซี) นานกว่าสิบปี และคาดว่าจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 3 พ.ค.นี้
เป็นที่คาดมานานแล้วว่า จู ซึ่งได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ และ
เป็นเศรษฐกรประจำธนาคารโลกระหว่างปี 2534-2539 ว่าเขาคงจะได้รับการแต่งตั้งให้ทำงานรับผิดชอบ
ในระดับสูงของกองทุนไอเอ็มเอฟ บ้างคาดว่าเขาอาจจจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองผู้อำนวยการ
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
การแต่งตั้งที่มีขึ้นเมื่อวันพุธเป็นการตัดสินใจของบรรดาผู้นำของกลุ่ม จี 20 ซึ่งประกอบไปด้วย
กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เพื่อสร้างความสมดุลกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
และประเทศกำลังพัฒนาอย่างเท่าเทียมกัน ในการมีสิทธิมีเสียงต่างๆ ซึ่งมีการเรียกร้องมานาน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา กลุ่มประเทศยุโรปจะเป็นผู้คุมกองทุนนี้ ขณะที่สหรัฐฯ ก็เป็นใหญ่ในธนาคารโลก
และญี่ปุ่นจะมีเสียงดังในธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB)
จนเมื่อปี 2551 หลิน อี้ฟู (จัสติน หลิน) ชาวจีน ก็ได้เป็นคนแรกของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
ที่ได้เป็นหัวหน้าเศรษฐกรของธนาคารโลก
สหรัฐฯ ได้เสนอให้ประเทศสมาชิกกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งก็หมายถึงกลุ่มประเทศยุโรป
ที่มีเสียงมากเกินไป โอนสัดส่วน 5% ไปยังกลุ่มประเทศทีมีสิทธิเสียงต่ำเกินไป ซึ่งเป็นประโยชน์กับจีน
ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันดีในนาม BRIC ว่า บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน พยายามเรียกร้องโควต้า
ของการออกเสียงในไอเอ็มเอฟ โดยลดสัดส่วนของประเทศพัฒนาแล้วจาก 57% เหลือ 50%
ตามข้อมูลปัจจุบันของไอเอ็มเอฟ จีนมีสัดส่วนการออกเสียงอยู่ที่ 3.72% มีน้ำหนักน้อยกว่าฝรั่งเศส
ที่มีสัดส่วน 4.94% ทั้งที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าถึง หนึ่งเท่าครึ่ง
คาดว่าหลังการทบทวนโควต้าซึ่งจะเสร็จสิ้นในปี 2554 จีนจะเป็น 1 ใน 5 ของผู้ถือสิทธิ
ออกเสียงสูงสุดในไอเอ็มเอฟ
25 กุมภาพันธ์ 2553 16:35 น.
มาแล้ว! ชาวจีนคนแรก รับตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ ไอเอ็มเอฟ
จู หมิน ชาวจีนคนแรกที่ได้รับตำแหน่งระดับสูงในไอเอ็มเอฟ หลังจากที่กลุ่มประเทศยุโรป
เป็นผู้คุมมาตลอด สหรัฐฯ เองก็ได้เป็นใหญ่ในธนาคารโลก และญี่ปุ่นมีเสียงดังในธนาคาร
เพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) (ภาพเอเยนซี)
เอเอฟพี-จู หมิน รองผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาพิเศษของกองทุน
การเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 3 พ.ค.นี้ คาดเพิ่มสิทธิเสียง
ให้กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
โดมินิก สเตราส์ คาห์น ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แถลงเมื่อ
วันพฤหัสบดีที่ 25 ก.พ. แต่งตั้งให้นายจูหมิน รองผู้ว่าธนาคารประชาชนจีน ซึ่งเป็นธนาคารกลางของจีน
เป็นที่ปรึกษาพิเศษของไอเอ็มเอฟ นับเป็นชาวจีนคนแรกที่ดำรงตำแหน่งใหญ่ในกองทุนฯ นี้
ในการนี้ จะทำให้จีนรวมถึงประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่นๆ ได้มีสิทธิมีเสียงในการเรียกร้อง
การปฏิรูปการบริหารที่ไอเอ็มเอฟและธนาคารโลก และจัดสรรสัดส่วนของสิทธิในการออกเสียง
ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนาอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้สอดคล้องต่อ
สภาพความเป็นจริง
หวาง เป่าตง
โฆษกประจำสถานเอกอัครราชทูตจีน ประจำสหรัฐฯ กล่าวกับเอเอฟพีว่า ทางการจีนแสดงความยินดี
กับความก้าวหน้านี้ โดยหวังว่าจะได้กระชับและประสานการทำงานร่วมกันระหว่างไอเอ็มเอฟ
และกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ในเอเชีย เพื่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจโลกและ
เสถียรภาพทางการเงินระหว่างประเทศ
โดมินิก กล่าวว่า จู จะมีบทบาทสำคัญในการนำประสบการณ์เศรษฐกิจเอเชีย ที่มีมาทำงานกับเขา
และทีมบริหารในการจัดการกับความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสมาชิกกองทุนฯ ในกาลข้างหน้า
และผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกและความมั่นคงทางการเงิน
จู หมินได้ทำงานให้กับ ธนาคารประชาชนจีน เมื่อปีที่แล้ว หลังจากเป็นผู้บริหารอาวุโสของ
ธนาคารแห่งประเทศจีน (บีโอซี) นานกว่าสิบปี และคาดว่าจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 3 พ.ค.นี้
เป็นที่คาดมานานแล้วว่า จู ซึ่งได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ และ
เป็นเศรษฐกรประจำธนาคารโลกระหว่างปี 2534-2539 ว่าเขาคงจะได้รับการแต่งตั้งให้ทำงานรับผิดชอบ
ในระดับสูงของกองทุนไอเอ็มเอฟ บ้างคาดว่าเขาอาจจจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองผู้อำนวยการ
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
การแต่งตั้งที่มีขึ้นเมื่อวันพุธเป็นการตัดสินใจของบรรดาผู้นำของกลุ่ม จี 20 ซึ่งประกอบไปด้วย
กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เพื่อสร้างความสมดุลกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
และประเทศกำลังพัฒนาอย่างเท่าเทียมกัน ในการมีสิทธิมีเสียงต่างๆ ซึ่งมีการเรียกร้องมานาน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา กลุ่มประเทศยุโรปจะเป็นผู้คุมกองทุนนี้ ขณะที่สหรัฐฯ ก็เป็นใหญ่ในธนาคารโลก
และญี่ปุ่นจะมีเสียงดังในธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB)
จนเมื่อปี 2551 หลิน อี้ฟู (จัสติน หลิน) ชาวจีน ก็ได้เป็นคนแรกของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
ที่ได้เป็นหัวหน้าเศรษฐกรของธนาคารโลก
สหรัฐฯ ได้เสนอให้ประเทศสมาชิกกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งก็หมายถึงกลุ่มประเทศยุโรป
ที่มีเสียงมากเกินไป โอนสัดส่วน 5% ไปยังกลุ่มประเทศทีมีสิทธิเสียงต่ำเกินไป ซึ่งเป็นประโยชน์กับจีน
ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันดีในนาม BRIC ว่า บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน พยายามเรียกร้องโควต้า
ของการออกเสียงในไอเอ็มเอฟ โดยลดสัดส่วนของประเทศพัฒนาแล้วจาก 57% เหลือ 50%
ตามข้อมูลปัจจุบันของไอเอ็มเอฟ จีนมีสัดส่วนการออกเสียงอยู่ที่ 3.72% มีน้ำหนักน้อยกว่าฝรั่งเศส
ที่มีสัดส่วน 4.94% ทั้งที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าถึง หนึ่งเท่าครึ่ง
คาดว่าหลังการทบทวนโควต้าซึ่งจะเสร็จสิ้นในปี 2554 จีนจะเป็น 1 ใน 5 ของผู้ถือสิทธิ
ออกเสียงสูงสุดในไอเอ็มเอฟ
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|