เด็ดดอกไม้ดูไบกระทบถึงดวงดาว
3 posters
หน้า 2 จาก 2
หน้า 2 จาก 2 • 1, 2
Re: เด็ดดอกไม้ดูไบกระทบถึงดวงดาว
ข้อตกลงการค้าระหว่างจีนกับกลุ่มอาเซียน คือแรงกระตุ้นสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชีย
03/01/2010
นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า ข้อตกลงเปิดเสรีการค้าระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หรืออาเซียน คือแรงกระตุ้นสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชีย ในเวลานี้
ข้อตกลงการค้าระหว่างจีนกับกลุ่มอาเซียน จะเป็นการเปิดตลาดไปสู่ประชากรเกือบ 2 พันล้านคน ในขณะที่
มูลค่าการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายในปัจจุบัน ตกปีละประมาณ 200,000 ล้านดอลล่าร์ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ข้อตกลงที่ลงนามเมื่อปี 2002 จะเริ่มมีผลในวันที่ 1 มกราคม ปี 2010 ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นเขตการค้าเสรี ที่มี
ขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหภาพยุโรป และข้อตกลงการค้าอเมริกาเหนือ โดยภายใต้
ข้อตกลงนี้ กำหนดให้มีการลดพิกัดอัตราภาษีศุลกากรลงราว 90% สำหรับสินค้าที่ซื้อขายระหว่างจีน อินโดนีเซีย บรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และประเทศไทย สำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 4 ประเทศ ได้แก่ พม่า กัมพูชา ลาวและเวียดนามนั้น จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2015
คุณนาเกช คูมาร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ และสังคม สหประชาชาติ
ประจำกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ข้อตกลงระหว่างจีนกับกลุ่มอาเซียนนี้ จะช่วยสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจ
ของภูมิภาคนี้ และว่าอาเซียนยังมีข้อตกลงคล้ายๆ กันกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ที่รอลงนามอยู่เช่นกัน
ทางเจ้าหน้าที่จีนระบุว่าจะมีสินค้าราว 7 พันประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร และจะมีการให้สิทธิพิเศษ
ด้านภาษีแก่บริษัทจีน และกลุ่มอาเซียนที่ต้องการลงทุนในภาคบริการ เช่น ธุรกิจการท่องเที่ยวด้วย
คุณเกียรติ สิทธีอมร ประธานสำนักงานผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่าการเติบโตอย่างเข้มแข็งของเศรษฐกิจจีน
ยิ่งเป็นการสนับสนุนการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ของการค้ากับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และว่าหากมองที่สถิติ
การค้ากับจีนเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาจะพบว่า มูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30% ต่อปี และจีนจะยังคงรับบทบาทสำคัญ ในการเป็นตลาดขนาดใหญ่ และเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจเอเชีย และเศรษฐกิจโลกต่อไป
คุณเกียรติ ยังบอกด้วยว่า ภายใต้ข้อตกลงเปิดเสรีการค้านี้ อุตสาหกรรมต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จะต้องเผชิญกับการแข่งขันมากขึ้นจากจีน โดยเฉพาะในส่วนของอุตสาหกรรมเสื้อผ้า และชิ้นส่วนรถยนต์
แต่อาเซียนควรจะมองว่านี่คือโอกาสอันดี ในการพัฒนาปรับปรุงศักยภาพทางการแข่งขัน ด้วยการใช้
เทคโนโลยีใหม่ๆ และกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ คาดว่าจีนจะนำเข้าสินค้าประเภท
วัตถุดิบ อาหาร เครื่องดื่ม ตลอดจนอัญมณีจากอาเซียนเพิ่มขึ้นด้วย
http://www.voanews.com/thai/2010-01-03-voa4.cfm
03/01/2010
นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า ข้อตกลงเปิดเสรีการค้าระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หรืออาเซียน คือแรงกระตุ้นสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชีย ในเวลานี้
ข้อตกลงการค้าระหว่างจีนกับกลุ่มอาเซียน จะเป็นการเปิดตลาดไปสู่ประชากรเกือบ 2 พันล้านคน ในขณะที่
มูลค่าการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายในปัจจุบัน ตกปีละประมาณ 200,000 ล้านดอลล่าร์ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ข้อตกลงที่ลงนามเมื่อปี 2002 จะเริ่มมีผลในวันที่ 1 มกราคม ปี 2010 ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นเขตการค้าเสรี ที่มี
ขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหภาพยุโรป และข้อตกลงการค้าอเมริกาเหนือ โดยภายใต้
ข้อตกลงนี้ กำหนดให้มีการลดพิกัดอัตราภาษีศุลกากรลงราว 90% สำหรับสินค้าที่ซื้อขายระหว่างจีน อินโดนีเซีย บรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และประเทศไทย สำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 4 ประเทศ ได้แก่ พม่า กัมพูชา ลาวและเวียดนามนั้น จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2015
คุณนาเกช คูมาร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ และสังคม สหประชาชาติ
ประจำกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ข้อตกลงระหว่างจีนกับกลุ่มอาเซียนนี้ จะช่วยสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจ
ของภูมิภาคนี้ และว่าอาเซียนยังมีข้อตกลงคล้ายๆ กันกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ที่รอลงนามอยู่เช่นกัน
ทางเจ้าหน้าที่จีนระบุว่าจะมีสินค้าราว 7 พันประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร และจะมีการให้สิทธิพิเศษ
ด้านภาษีแก่บริษัทจีน และกลุ่มอาเซียนที่ต้องการลงทุนในภาคบริการ เช่น ธุรกิจการท่องเที่ยวด้วย
คุณเกียรติ สิทธีอมร ประธานสำนักงานผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่าการเติบโตอย่างเข้มแข็งของเศรษฐกิจจีน
ยิ่งเป็นการสนับสนุนการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ของการค้ากับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และว่าหากมองที่สถิติ
การค้ากับจีนเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาจะพบว่า มูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30% ต่อปี และจีนจะยังคงรับบทบาทสำคัญ ในการเป็นตลาดขนาดใหญ่ และเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจเอเชีย และเศรษฐกิจโลกต่อไป
คุณเกียรติ ยังบอกด้วยว่า ภายใต้ข้อตกลงเปิดเสรีการค้านี้ อุตสาหกรรมต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จะต้องเผชิญกับการแข่งขันมากขึ้นจากจีน โดยเฉพาะในส่วนของอุตสาหกรรมเสื้อผ้า และชิ้นส่วนรถยนต์
แต่อาเซียนควรจะมองว่านี่คือโอกาสอันดี ในการพัฒนาปรับปรุงศักยภาพทางการแข่งขัน ด้วยการใช้
เทคโนโลยีใหม่ๆ และกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ คาดว่าจีนจะนำเข้าสินค้าประเภท
วัตถุดิบ อาหาร เครื่องดื่ม ตลอดจนอัญมณีจากอาเซียนเพิ่มขึ้นด้วย
http://www.voanews.com/thai/2010-01-03-voa4.cfm
พีพี- จำนวนข้อความ : 124
Registration date : 06/12/2009
Re: เด็ดดอกไม้ดูไบกระทบถึงดวงดาว
ดูไบเปิดตึกที่สูงที่สุดในโลกวันนี้
4 มกราคม พ.ศ. 2553 09:34:00
ชีค โมฮัมหมัด บิน ราชิด อัล-มัคทูม เจ้าผู้ครองนครรัฐดูไบ จะเป็นประธานเปิดอาคาร เบิร์จ ดูไบ ซึ่งเป็นตึกสูง
ที่สุดในโลก ท่ามกลางการจุดพลุเฉลิมฉลองในคืนวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น ในโอกาสครบรอบ 4 ปี ที่เขาปกครอง
รัฐดูไบแห่งนี้ ซึ่งเป็น 1 ใน 7 รัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ และทางการได้วางกำลังเจ้าหน้าที่มากกว่า 1,000
นายเพื่อรักษาความปลอดภัยพิธีเปิดครั้งนี้อย่างแน่นหนา โดยมีทั้งตำรวจนอกเครื่องแบบและพลซุ่มยิงประจำการตามจุดต่างๆ
ชีค โมฮัมหมัด วัย 60 ปีประสบความสำเร็จในการทำให้ดูไบซึ่งเป็นดินแดนเล็กๆกลางทะเลทรายเมื่อ 50 ปี
ที่แล้ว กลายเป็นเมืองสำคัญบนแผนที่โลกในแง่ศูนย์กลางธุรกิจและแหล่งพักผ่อนท่อง เที่ยว แต่พิธีเปิดอาคาร
เบิร์จ ดูไบ ซึ่งมีความหมายเป็นภาษาอังกฤษว่า ดูไบ ทาวเวอร์ ที่สร้างสถิติสูงที่สุดในโลก มีขึ้นท่ามกลาง
ความวิตกของนักลงทุนที่ลดความเชื่อมั่นลงไปอย่างมากต่อ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังง่อนแง่น
และเต็มไปด้วยหนี้สินสูงถึงเกือบ 1 แสนล้านดอลลาร์ของดูไบ
แม้ความสูงของตึก เบิร์จ ดูไบ ยังคงถูกปิดเป็นความลับ แต่เป็นที่แน่ชัดว่าแล้วว่าตึกนี้สามารถแย่งชิงตำแหน่ง
ตึกสูงที่สุดของโลกมา ครองแทนตึก "ไทเป 101 " ของไต้หวัน เพราะครั้งสุดท้ายที่มีการเปิดเผยเมื่อนานแล้ว
ระบุว่า ตึกเบิร์จ ดูไบ สูงถึง 2,684 ฟุต (818 เมตร) ทิ้งห่าง ตึก ไทเป 101 ซึ่งสูงเพียง 1,667 ฟุต
(508 เมตร)
ตึกนี้ มีบริษัท เอมมาร์ พร็อพเพอร์ตีส์ เป็นเจ้าของโครงการ และตึกเบิร์จ ดูไบเริ่มก่อสร้างในปี 2547
และสร้างสถิติหลายอย่าง รวมทั้งมีจำนวนชั้นมากที่สุด และมีดาดฟ้าชมวิวสูงสุดบนชั้นที่ 124 ตึกหลังนี้
นอกจากจะมีทั้งอพาร์ตเมนต์หรูและพื้นที่สำนักงานแล้ว ยังมีโรงแรมที่ออกแบบโดยจิออร์จิโอ อาร์มานีด้วย
ตึก ไทเป 101 จะส่งมอบตำแหน่งตึกสูงที่สุดในโลกให้ ดูไบ ทาวเวอร์
อาคาร" ไทเป 101" ซึ่งดำรงตำแหน่งตึกสูงสุดของโลกในปัจจุบัน จะส่งมอบตำแหน่งอาคารสูงสุดของโลก
ให้กับ"ดูไบ ทาวเวอร์"ของรัฐดูไบ ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE ในสัปดาห์หน้า แต่โฆษกของทาง
อาคารกล่าวในวันอังคารว่า ยังมองเห็นอนาคตสดใสของอาคารระฟ้าแห่งนี้ของไต้หวัน
นายไมเคิล หลิว โฆษกของ"ไทเป 101 "บอกว่า มองการเสียตำแหน่งนี้อย่างสงบเพราะเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
ที่จะมีตึกที่สูง กว่ามากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบัน ไทเป101 ยังเป็นสถานที่สำคัญของไต้หวัน และยังมีชื่อเสียงเป็น
ที่รู้จักทั่วเอเชีย ทางอาคารจะยังคงปรับปรุงการทำงาน และจะพยายามทำลายสถิติอื่นๆต่อ เขากล่าวว่า
เป้าหมายสำหรับปี 2553 รวมทั้งการทำให้"ไทเป 101 เป็นอาคาร"เขียว"ที่สูงที่สุดของโลก ซึ่งหมายถึง
อาคารที่เป็นมิตรกับสภาพแวดล้อม โดยต้องทำให้คุ้มค่ากับการใช้พลังงานมากที่สุด เป็นอาคารที่คุ้มทุน
และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น
โดยในปีนี้ อาคารมีคนมาเช่าอาคาร 80 % และมีคนเข้าชมวิวบนดาดฟ้า 1.2 ล้านคน และปีหน้าคาดว่า
จะมีคนเช่าครบ 100 % และนักท่องเที่ยวจะเติบโตต่อเนื่องเพราะมีนักท่องเที่ยวจากจีนมากขึ้น
อาคาร "ไทเป 101" เปิดตัวปี 2547 สูง 508 เมตรและมี 101 ชั้นเหนือพื้นดินกับมีอีก 5 ชั้น ที่ใต้ดินแต่
ภายใน 4 มกราคมปีหน้า "ไทเป 101" จะเสียตำแหน่งให้"ดูไบ ทาวเวอร์ " ซึ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
และชี๊คโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มัคตุม รองประธานาธิบดีสหรัฐฯอาหรับเอมิเรตส์ ผู้เป็นนายหกรัฐมนตรี
และผู้ปกครองรัฐดูไบ จะทำพิธีเปิดอาคารซึ่งคาดว่าสูงกว่า 800 เมตร แต่ยังปิดบังความสูงที่แน่นอนเป็น
ความลับ
http://www.suthichaiyoon.com/WS01_A001_news.php?newsid=18514
ดูไบเปิดตัวตึกสูงที่สุดในโลก เบอร์จ คาลิฟาร์
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ดูไบเปิดตัวอาคารสูงที่สุดในโลกที่ความสูง 828 เมตร ท่ามกลางวิกฤติการเงิน ได้ชื่อใหม่ "เบอร์จ คาลิฟาร์"
ชี้คโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด ผู้ครองรัฐดูไบ 1 ใน 7 รัฐของสหรัฐฯอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ทรงทำพิธีเปิดอาคาร
สูงที่สุดแห่งใหม่ของโลกเมื่อคืนที่ผ่านมา ท่ามกลางดอกไม้ไฟตระการตา และอาคารซึ่งเดิมมีชื่อเรียกว่า
"เบอร์จ ดูไบ"หรือ"ดูไบ ทาวเวอร์" ได้ชื่อใหม่ว่า "เบอร์จ คาลิฟาร์" หลังเปิดแพรคลุมป้ายเผยชื่อเต็มของ
อาคารว่า "ชี้ค คาลิฟาร์ บิน ซาย์เอ็ด อัล-นาห์ยัน ทาวเวอร์" ซึ่งตั้งชื่อตามประธานาธิบดีของ UAE
ทั้งนี้ ชี้คคาลิฟาร์ ทรงเป็นผู้ครองรัฐอาบูดาบี รัฐที่ร่ำรวยสุดใน 7 รัฐของ UAE ประทับอยู่ข้างพระญาติคือ
ชี้คโมฮัมเหม็ด ผู้ทรงควบตำแหน่งรองประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีของ UAE ตลอดงาน ซึ่งข่าวระบุว่า
ในช่วงหนึ่งดูเหมือนว่าชี้คโมฮัมเหม็ดจะมีพระอัสสุชลคลอ เมื่อทอดพระเนตรอาคารที่น่าจะเป็นสัญญลักษณ์
ความรุ่งเรืองของประเทศ และเป็นสัญลักษณ์ที่รัฐดูไบจะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลก แต่กลับ
ต้องเปิดตัวในช่วงที่ดูไบกำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนักและมีหนี้สินท่วมตัว
ชี้คคาลิฟาร์ผู้ซึ่งนิตยสาร "ฟอร์บส์" ประเมินว่ามีสินทรัพย์ส่วนพระองค์ 19,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 620,000ล้านบาท ) ทรงตัดสินพระทัยเข้าช่วยไม่ให้ดูไบต้อง ล้มละลาย โดยอัดฉีดเงินทั้งทางตรงและทางอ้อมรวม 25,000 ล้านดอลลาร์ ( ราว 820,000 ล้านบาท ) ท่ามกลางความวิตกของบรรดาเจ้าหนี้ หลังบริษัทยักษ์ใหญ่ของรัฐบาลดูไบ คือ ดูไบ เวิร์ลด์ ประกาศเมื่อพฤศจิกายน ขอชะลอการชำระหนี้มูลค่า 59,000 ล้านดอลลาร์
( ราวเกือบ 2 ล้านล้านบาท ) ออกไป 6 เดือน
ขณะที่วงออร์เคสตร้าบรรเลง ได้มีการฉายวิดีโอเผยความลับว่าความสูงของอาคารแห่งนี้คือ 828 เมตร หรือ 2,717 ฟุต สูงกว่า "ไทเป 101" ของไต้หวัน มากถึง 319 เมตร มีชั้นมากกว่า 200 ชั้น แต่มีชั้นที่จะมีคน
อาศัยอยู่ 160 ชั้น ส่วนที่เหลือใช้สำหรับการให้บริการต่างๆ บริษัทเจ้าของคือ อีมาร์ พรอพเพอร์ตี้ บอกว่า
ใช้เงิน 1,500 ล้านดอลลาร์ ในการก่อสร้างอาคารคอนกรีต โลหะ และกระจกแห่งนี้ ที่ได้รับการขนานนามว่า "เมืองในแนวตั้ง" (vertical city) ประกอบด้วยอพาร์ตเมนต์หรูกับสำนักงาน กับโรงแรมหรูขนาด 160 ห้องนอนที่ออกแบบโดยจิออร์จิโอ อาร์มานี่
อีมาร์ พรอพเพอร์ตี้ ยืนยันว่าความปลอดภัยของอาคาร ซึ่งมีชั้นที่เรียกว่าชั้นหลบภัยระหว่างชั้นที่ 25-30
ซึ่งทนไฟมากกว่า และมีระบบอากาศแยกจากส่วนอื่นในกรณีฉุกเฉิน โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก
แข็งแรงกว่าตึกระฟ้าทั่วไปที่เป็นโครงเหล็ก และอาคารแข็งแรงมาก เครื่องบินไม่อาจพุ่งทะลุอาคารได้แบบ
อาคารเวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ของสหรัฐฯ ในเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ข้อสังเกต เฮียไม่ทวิต มาโชว์สาวกเลยนะ งานนี้ ไม่ได้ไปร่วมเปิดกะเค้าด้วยเหรอ?
หรือเจ้าภาพ ชีคคาลิฟาร์ ท่านไม่โปรเฮีย...อิ อิ
4 มกราคม พ.ศ. 2553 09:34:00
ชีค โมฮัมหมัด บิน ราชิด อัล-มัคทูม เจ้าผู้ครองนครรัฐดูไบ จะเป็นประธานเปิดอาคาร เบิร์จ ดูไบ ซึ่งเป็นตึกสูง
ที่สุดในโลก ท่ามกลางการจุดพลุเฉลิมฉลองในคืนวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น ในโอกาสครบรอบ 4 ปี ที่เขาปกครอง
รัฐดูไบแห่งนี้ ซึ่งเป็น 1 ใน 7 รัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ และทางการได้วางกำลังเจ้าหน้าที่มากกว่า 1,000
นายเพื่อรักษาความปลอดภัยพิธีเปิดครั้งนี้อย่างแน่นหนา โดยมีทั้งตำรวจนอกเครื่องแบบและพลซุ่มยิงประจำการตามจุดต่างๆ
ชีค โมฮัมหมัด วัย 60 ปีประสบความสำเร็จในการทำให้ดูไบซึ่งเป็นดินแดนเล็กๆกลางทะเลทรายเมื่อ 50 ปี
ที่แล้ว กลายเป็นเมืองสำคัญบนแผนที่โลกในแง่ศูนย์กลางธุรกิจและแหล่งพักผ่อนท่อง เที่ยว แต่พิธีเปิดอาคาร
เบิร์จ ดูไบ ซึ่งมีความหมายเป็นภาษาอังกฤษว่า ดูไบ ทาวเวอร์ ที่สร้างสถิติสูงที่สุดในโลก มีขึ้นท่ามกลาง
ความวิตกของนักลงทุนที่ลดความเชื่อมั่นลงไปอย่างมากต่อ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังง่อนแง่น
และเต็มไปด้วยหนี้สินสูงถึงเกือบ 1 แสนล้านดอลลาร์ของดูไบ
แม้ความสูงของตึก เบิร์จ ดูไบ ยังคงถูกปิดเป็นความลับ แต่เป็นที่แน่ชัดว่าแล้วว่าตึกนี้สามารถแย่งชิงตำแหน่ง
ตึกสูงที่สุดของโลกมา ครองแทนตึก "ไทเป 101 " ของไต้หวัน เพราะครั้งสุดท้ายที่มีการเปิดเผยเมื่อนานแล้ว
ระบุว่า ตึกเบิร์จ ดูไบ สูงถึง 2,684 ฟุต (818 เมตร) ทิ้งห่าง ตึก ไทเป 101 ซึ่งสูงเพียง 1,667 ฟุต
(508 เมตร)
ตึกนี้ มีบริษัท เอมมาร์ พร็อพเพอร์ตีส์ เป็นเจ้าของโครงการ และตึกเบิร์จ ดูไบเริ่มก่อสร้างในปี 2547
และสร้างสถิติหลายอย่าง รวมทั้งมีจำนวนชั้นมากที่สุด และมีดาดฟ้าชมวิวสูงสุดบนชั้นที่ 124 ตึกหลังนี้
นอกจากจะมีทั้งอพาร์ตเมนต์หรูและพื้นที่สำนักงานแล้ว ยังมีโรงแรมที่ออกแบบโดยจิออร์จิโอ อาร์มานีด้วย
ตึก ไทเป 101 จะส่งมอบตำแหน่งตึกสูงที่สุดในโลกให้ ดูไบ ทาวเวอร์
อาคาร" ไทเป 101" ซึ่งดำรงตำแหน่งตึกสูงสุดของโลกในปัจจุบัน จะส่งมอบตำแหน่งอาคารสูงสุดของโลก
ให้กับ"ดูไบ ทาวเวอร์"ของรัฐดูไบ ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE ในสัปดาห์หน้า แต่โฆษกของทาง
อาคารกล่าวในวันอังคารว่า ยังมองเห็นอนาคตสดใสของอาคารระฟ้าแห่งนี้ของไต้หวัน
นายไมเคิล หลิว โฆษกของ"ไทเป 101 "บอกว่า มองการเสียตำแหน่งนี้อย่างสงบเพราะเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
ที่จะมีตึกที่สูง กว่ามากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบัน ไทเป101 ยังเป็นสถานที่สำคัญของไต้หวัน และยังมีชื่อเสียงเป็น
ที่รู้จักทั่วเอเชีย ทางอาคารจะยังคงปรับปรุงการทำงาน และจะพยายามทำลายสถิติอื่นๆต่อ เขากล่าวว่า
เป้าหมายสำหรับปี 2553 รวมทั้งการทำให้"ไทเป 101 เป็นอาคาร"เขียว"ที่สูงที่สุดของโลก ซึ่งหมายถึง
อาคารที่เป็นมิตรกับสภาพแวดล้อม โดยต้องทำให้คุ้มค่ากับการใช้พลังงานมากที่สุด เป็นอาคารที่คุ้มทุน
และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น
โดยในปีนี้ อาคารมีคนมาเช่าอาคาร 80 % และมีคนเข้าชมวิวบนดาดฟ้า 1.2 ล้านคน และปีหน้าคาดว่า
จะมีคนเช่าครบ 100 % และนักท่องเที่ยวจะเติบโตต่อเนื่องเพราะมีนักท่องเที่ยวจากจีนมากขึ้น
อาคาร "ไทเป 101" เปิดตัวปี 2547 สูง 508 เมตรและมี 101 ชั้นเหนือพื้นดินกับมีอีก 5 ชั้น ที่ใต้ดินแต่
ภายใน 4 มกราคมปีหน้า "ไทเป 101" จะเสียตำแหน่งให้"ดูไบ ทาวเวอร์ " ซึ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
และชี๊คโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มัคตุม รองประธานาธิบดีสหรัฐฯอาหรับเอมิเรตส์ ผู้เป็นนายหกรัฐมนตรี
และผู้ปกครองรัฐดูไบ จะทำพิธีเปิดอาคารซึ่งคาดว่าสูงกว่า 800 เมตร แต่ยังปิดบังความสูงที่แน่นอนเป็น
ความลับ
http://www.suthichaiyoon.com/WS01_A001_news.php?newsid=18514
ดูไบเปิดตัวตึกสูงที่สุดในโลก เบอร์จ คาลิฟาร์
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ดูไบเปิดตัวอาคารสูงที่สุดในโลกที่ความสูง 828 เมตร ท่ามกลางวิกฤติการเงิน ได้ชื่อใหม่ "เบอร์จ คาลิฟาร์"
ชี้คโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด ผู้ครองรัฐดูไบ 1 ใน 7 รัฐของสหรัฐฯอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ทรงทำพิธีเปิดอาคาร
สูงที่สุดแห่งใหม่ของโลกเมื่อคืนที่ผ่านมา ท่ามกลางดอกไม้ไฟตระการตา และอาคารซึ่งเดิมมีชื่อเรียกว่า
"เบอร์จ ดูไบ"หรือ"ดูไบ ทาวเวอร์" ได้ชื่อใหม่ว่า "เบอร์จ คาลิฟาร์" หลังเปิดแพรคลุมป้ายเผยชื่อเต็มของ
อาคารว่า "ชี้ค คาลิฟาร์ บิน ซาย์เอ็ด อัล-นาห์ยัน ทาวเวอร์" ซึ่งตั้งชื่อตามประธานาธิบดีของ UAE
ทั้งนี้ ชี้คคาลิฟาร์ ทรงเป็นผู้ครองรัฐอาบูดาบี รัฐที่ร่ำรวยสุดใน 7 รัฐของ UAE ประทับอยู่ข้างพระญาติคือ
ชี้คโมฮัมเหม็ด ผู้ทรงควบตำแหน่งรองประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีของ UAE ตลอดงาน ซึ่งข่าวระบุว่า
ในช่วงหนึ่งดูเหมือนว่าชี้คโมฮัมเหม็ดจะมีพระอัสสุชลคลอ เมื่อทอดพระเนตรอาคารที่น่าจะเป็นสัญญลักษณ์
ความรุ่งเรืองของประเทศ และเป็นสัญลักษณ์ที่รัฐดูไบจะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลก แต่กลับ
ต้องเปิดตัวในช่วงที่ดูไบกำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนักและมีหนี้สินท่วมตัว
ชี้คคาลิฟาร์ผู้ซึ่งนิตยสาร "ฟอร์บส์" ประเมินว่ามีสินทรัพย์ส่วนพระองค์ 19,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 620,000ล้านบาท ) ทรงตัดสินพระทัยเข้าช่วยไม่ให้ดูไบต้อง ล้มละลาย โดยอัดฉีดเงินทั้งทางตรงและทางอ้อมรวม 25,000 ล้านดอลลาร์ ( ราว 820,000 ล้านบาท ) ท่ามกลางความวิตกของบรรดาเจ้าหนี้ หลังบริษัทยักษ์ใหญ่ของรัฐบาลดูไบ คือ ดูไบ เวิร์ลด์ ประกาศเมื่อพฤศจิกายน ขอชะลอการชำระหนี้มูลค่า 59,000 ล้านดอลลาร์
( ราวเกือบ 2 ล้านล้านบาท ) ออกไป 6 เดือน
ขณะที่วงออร์เคสตร้าบรรเลง ได้มีการฉายวิดีโอเผยความลับว่าความสูงของอาคารแห่งนี้คือ 828 เมตร หรือ 2,717 ฟุต สูงกว่า "ไทเป 101" ของไต้หวัน มากถึง 319 เมตร มีชั้นมากกว่า 200 ชั้น แต่มีชั้นที่จะมีคน
อาศัยอยู่ 160 ชั้น ส่วนที่เหลือใช้สำหรับการให้บริการต่างๆ บริษัทเจ้าของคือ อีมาร์ พรอพเพอร์ตี้ บอกว่า
ใช้เงิน 1,500 ล้านดอลลาร์ ในการก่อสร้างอาคารคอนกรีต โลหะ และกระจกแห่งนี้ ที่ได้รับการขนานนามว่า "เมืองในแนวตั้ง" (vertical city) ประกอบด้วยอพาร์ตเมนต์หรูกับสำนักงาน กับโรงแรมหรูขนาด 160 ห้องนอนที่ออกแบบโดยจิออร์จิโอ อาร์มานี่
อีมาร์ พรอพเพอร์ตี้ ยืนยันว่าความปลอดภัยของอาคาร ซึ่งมีชั้นที่เรียกว่าชั้นหลบภัยระหว่างชั้นที่ 25-30
ซึ่งทนไฟมากกว่า และมีระบบอากาศแยกจากส่วนอื่นในกรณีฉุกเฉิน โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก
แข็งแรงกว่าตึกระฟ้าทั่วไปที่เป็นโครงเหล็ก และอาคารแข็งแรงมาก เครื่องบินไม่อาจพุ่งทะลุอาคารได้แบบ
อาคารเวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ของสหรัฐฯ ในเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ข้อสังเกต เฮียไม่ทวิต มาโชว์สาวกเลยนะ งานนี้ ไม่ได้ไปร่วมเปิดกะเค้าด้วยเหรอ?
หรือเจ้าภาพ ชีคคาลิฟาร์ ท่านไม่โปรเฮีย...อิ อิ
แก้ไขล่าสุดโดย พีพี เมื่อ Tue Jan 05, 2010 12:53 pm, ทั้งหมด 3 ครั้ง
พีพี- จำนวนข้อความ : 124
Registration date : 06/12/2009
Re: เด็ดดอกไม้ดูไบกระทบถึงดวงดาว
เกาะปาล์ม ของ ดูไบ กับความพินาศ
by Sigree
ตอนผมอยู่ที่ดูไบนั้น เกาะปาล์มถือเป็นหนึ่งในสถานที่ ที่อยากไปเยือนที่สุด จะว่าไปผมทำงานใกล้เกาะ
2 ใน 3 เกาะ แต่กว่าจะได้ไปเยือนจริงๆ ก็ตอนใกล้จะกลับไทย และผมได้ไปเยือนเกาะปาล์มเพียงแห่งเดียว
คือ ปาล์ม จูไมร่า และถือเป็นปาล์มต้นเดียวที่เสร็จสมบูรณ์จริงๆ
จะว่าไปผมไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่นัก มีเพียงอ่างเลี้ยงปลาวาฬเท่านั้น ที่ทำผมตะลึง
ที่เหลือมันไม่ประทับใจเท่าไหร่เลย จะว่าไป บ้านบนนั้นมันเรียงจนเหมือนบ้านจัดสรรราคาถูก
ทั้งๆ ที่เป็นร้อยล้าน ดูสิครับ
ในขณะที่ปาล์มต้นที่ 2 เจเบลอาลี เคยเห็นแต่ไม่เคยเข้าไปเพราะยังไม่สมบูรณ์ครับ และปาล์มต้นนี้คือ
จุดเริ่มความพินาศ
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเกาะแห่งนี้คือจุดเริ่มของความพินาศ ต้องย้อนกลับไปต้นแรกก่อนครับ ปาล์มจูไมร่า
นั้นขายหมดในเวลาไม่นานนัก หากจำไม่ผิดจะขายหมดใน 1 หรือ 2 วันนี้แหละครับ ทำให้เจ้าผู้ครองนครดูไบ
ตัดสินใจสร้างปาล์มต้นที่ 2 คือ เจเบลอาลี แห่งนี้
แต่....เจเบลอาลี เป็นเกาะที่ต่างจาก จูไมร่า เกาะแรกอย่างสิ้นเชิง
จู ไมร่า นั้นตั้งบนหาดทรายสีขาว จูไมร่าบีซ ที่มีชื่อไปทั่วโลก น้ำทะเลที่ใสราวกระจก เพราะเป็นเขตที่มี
หอยมุก (อันดามันเราก็มีหอยมุกและน้ำใส) นอกจากนี้บริเวณโดยรอบยังเป็นที่พักอาศัยและสำนักงานชั้นดี
เมืองมหาวิทยาลัย หากจำไม่ผิด เอมิเรต ฮิล ที่ตั้งบ้านทักษิณ ก็อยู่ใกล้ๆ เกาะนี้ แต่ เจเบลอาลี ไม่
ความหยิ่งผยองในโครงการแรกทำให้ เจเบลอาลี ใหญ่กว่าเกาะแรก ทำให้หรูกว่า แพงกว่า แต่ที่ตั้งงี่เง่าที่สุด
เท่าที่จะนึกถึง เจเบลอาลี อยู่ในเขตอุตสาหกรรมและท่าเรือ มีทั้งไอพิษ น้ำเน่าปนเปื้อนเคมี คราบน้ำมันและ
อิ่นๆ โครงการนี้จึงล้มไม่เป็นท่า
แต่ แทนที่เชค แกจะยอมรับ แกมองไปว่า ต้องสร้างความน่าดึงดูดใจกว่านี้คนถึงเข้ามา แกจึงสร้าง
เกาะรูปเสี้ยวจันทร์ล้ม ไปให้ใหญ่ขึ้น
เห็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่เป็นรูปตัว U ตรงทางขวามือไหมครับ นั้นแหละนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือ คิดเอง
ใกล้ไหม? แล้วใครอยากอยู่ใกล้ที่แบบนั้น และอย่างที่รู้ เกาะหลักขายไม่ได้ เกาะที่สร้างใหม่ก็..........
เหลวครับ แกเลยขุดคลองเชื่มเข้าแผ่นดินไปยังเกาะปาล์มตัวแรกอีก.....และหลังประกาศสร้างเกาะปาล์ม
แห่งนี้ไม่นาน ก็มีการประกาศสร้างเกาะที่ 3 คือ ปาล์ม เดียร์ร่า สร้างขึ้นในเขตชายหาดของเมืองเก่า
โดยเกาะนี้ จะเป็นเขตที่พักอาศัยและศูนย์ราชการของเมือง และอย่างที่รู้ เกาะ 2 ยังแทบไม่รอด เกาะนี้ซึ่ง
ใหญ่กว่าทั้ง 2 เกาะก็.......แต่นั้นแหละครับ แทนที่แกจะคิดว่าโครงการใหญ่ๆ นั้น สร้างปัญหา เชคดูไบกลับ
เชื่อว่าคนเบื่อปาล์มแล้วจึงสร้าง เดอะเวิลด์
เอาละสิ หนนี้เหมือนดีครับ คนสนใจเยอะมาก เชคแกก็เลยสั่งให้ทำแผนที่ ให้คนทั้งหลายเห็นว่าดูไบในอีก
20 ปี จะหน้าตาอย่างไรออกมา
แต่นะครับ โครงการมันใหญ่และแพงมาก คนจึงซื้อไม่มากอย่างที่คาดและหนี้ที่กู้มาก็เริ่มพอกขึ้นเรื่อยๆๆ
เชคแก มีความเชื่อว่า ต้องน่าสนใจกว่านี้ คนถึงจะเข้ามา หากเดอะ เวิลด์ โกลมันไม่น่าสน
บางที เราควรเสนอ ทั้งจักรวาล คือที่มาของ The Universe
จากรูปท่านจะได้เห็น พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวเคราะห์ต่างๆ เห็นดาวเสาร์ ที่มีวงแหวนไหม?
เส้นลากรูปตัว s แทนทางช้างเผืกครับ ส่วนที่เป็นวงๆ แทน อันโดรเมด้า.........................
แล้ว.......................ท่านรู้หรือยังว่า เขาลงทุนเกินตัวแค่ไหน และใช่เงินมากแค่ไหนกับเรื่องเหลวไหลนี้
จนล้มละลาย
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/sigree/2009/11/30/entry-1
...............ดูภาพรวมแล้ว.........น่าจะวางแผนต่อยอด ทำเป็น Universal + Disneyland ได้นะ ให้คนมาเที่ยว เน้นแปลกหลุดโลกเข้าว่า ลงทุนน้อยกว่าด้วย.....................
by Sigree
ตอนผมอยู่ที่ดูไบนั้น เกาะปาล์มถือเป็นหนึ่งในสถานที่ ที่อยากไปเยือนที่สุด จะว่าไปผมทำงานใกล้เกาะ
2 ใน 3 เกาะ แต่กว่าจะได้ไปเยือนจริงๆ ก็ตอนใกล้จะกลับไทย และผมได้ไปเยือนเกาะปาล์มเพียงแห่งเดียว
คือ ปาล์ม จูไมร่า และถือเป็นปาล์มต้นเดียวที่เสร็จสมบูรณ์จริงๆ
จะว่าไปผมไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่นัก มีเพียงอ่างเลี้ยงปลาวาฬเท่านั้น ที่ทำผมตะลึง
ที่เหลือมันไม่ประทับใจเท่าไหร่เลย จะว่าไป บ้านบนนั้นมันเรียงจนเหมือนบ้านจัดสรรราคาถูก
ทั้งๆ ที่เป็นร้อยล้าน ดูสิครับ
ในขณะที่ปาล์มต้นที่ 2 เจเบลอาลี เคยเห็นแต่ไม่เคยเข้าไปเพราะยังไม่สมบูรณ์ครับ และปาล์มต้นนี้คือ
จุดเริ่มความพินาศ
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเกาะแห่งนี้คือจุดเริ่มของความพินาศ ต้องย้อนกลับไปต้นแรกก่อนครับ ปาล์มจูไมร่า
นั้นขายหมดในเวลาไม่นานนัก หากจำไม่ผิดจะขายหมดใน 1 หรือ 2 วันนี้แหละครับ ทำให้เจ้าผู้ครองนครดูไบ
ตัดสินใจสร้างปาล์มต้นที่ 2 คือ เจเบลอาลี แห่งนี้
แต่....เจเบลอาลี เป็นเกาะที่ต่างจาก จูไมร่า เกาะแรกอย่างสิ้นเชิง
จู ไมร่า นั้นตั้งบนหาดทรายสีขาว จูไมร่าบีซ ที่มีชื่อไปทั่วโลก น้ำทะเลที่ใสราวกระจก เพราะเป็นเขตที่มี
หอยมุก (อันดามันเราก็มีหอยมุกและน้ำใส) นอกจากนี้บริเวณโดยรอบยังเป็นที่พักอาศัยและสำนักงานชั้นดี
เมืองมหาวิทยาลัย หากจำไม่ผิด เอมิเรต ฮิล ที่ตั้งบ้านทักษิณ ก็อยู่ใกล้ๆ เกาะนี้ แต่ เจเบลอาลี ไม่
ความหยิ่งผยองในโครงการแรกทำให้ เจเบลอาลี ใหญ่กว่าเกาะแรก ทำให้หรูกว่า แพงกว่า แต่ที่ตั้งงี่เง่าที่สุด
เท่าที่จะนึกถึง เจเบลอาลี อยู่ในเขตอุตสาหกรรมและท่าเรือ มีทั้งไอพิษ น้ำเน่าปนเปื้อนเคมี คราบน้ำมันและ
อิ่นๆ โครงการนี้จึงล้มไม่เป็นท่า
แต่ แทนที่เชค แกจะยอมรับ แกมองไปว่า ต้องสร้างความน่าดึงดูดใจกว่านี้คนถึงเข้ามา แกจึงสร้าง
เกาะรูปเสี้ยวจันทร์ล้ม ไปให้ใหญ่ขึ้น
เห็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่เป็นรูปตัว U ตรงทางขวามือไหมครับ นั้นแหละนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือ คิดเอง
ใกล้ไหม? แล้วใครอยากอยู่ใกล้ที่แบบนั้น และอย่างที่รู้ เกาะหลักขายไม่ได้ เกาะที่สร้างใหม่ก็..........
เหลวครับ แกเลยขุดคลองเชื่มเข้าแผ่นดินไปยังเกาะปาล์มตัวแรกอีก.....และหลังประกาศสร้างเกาะปาล์ม
แห่งนี้ไม่นาน ก็มีการประกาศสร้างเกาะที่ 3 คือ ปาล์ม เดียร์ร่า สร้างขึ้นในเขตชายหาดของเมืองเก่า
โดยเกาะนี้ จะเป็นเขตที่พักอาศัยและศูนย์ราชการของเมือง และอย่างที่รู้ เกาะ 2 ยังแทบไม่รอด เกาะนี้ซึ่ง
ใหญ่กว่าทั้ง 2 เกาะก็.......แต่นั้นแหละครับ แทนที่แกจะคิดว่าโครงการใหญ่ๆ นั้น สร้างปัญหา เชคดูไบกลับ
เชื่อว่าคนเบื่อปาล์มแล้วจึงสร้าง เดอะเวิลด์
เอาละสิ หนนี้เหมือนดีครับ คนสนใจเยอะมาก เชคแกก็เลยสั่งให้ทำแผนที่ ให้คนทั้งหลายเห็นว่าดูไบในอีก
20 ปี จะหน้าตาอย่างไรออกมา
แต่นะครับ โครงการมันใหญ่และแพงมาก คนจึงซื้อไม่มากอย่างที่คาดและหนี้ที่กู้มาก็เริ่มพอกขึ้นเรื่อยๆๆ
เชคแก มีความเชื่อว่า ต้องน่าสนใจกว่านี้ คนถึงจะเข้ามา หากเดอะ เวิลด์ โกลมันไม่น่าสน
บางที เราควรเสนอ ทั้งจักรวาล คือที่มาของ The Universe
จากรูปท่านจะได้เห็น พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวเคราะห์ต่างๆ เห็นดาวเสาร์ ที่มีวงแหวนไหม?
เส้นลากรูปตัว s แทนทางช้างเผืกครับ ส่วนที่เป็นวงๆ แทน อันโดรเมด้า.........................
แล้ว.......................ท่านรู้หรือยังว่า เขาลงทุนเกินตัวแค่ไหน และใช่เงินมากแค่ไหนกับเรื่องเหลวไหลนี้
จนล้มละลาย
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/sigree/2009/11/30/entry-1
...............ดูภาพรวมแล้ว.........น่าจะวางแผนต่อยอด ทำเป็น Universal + Disneyland ได้นะ ให้คนมาเที่ยว เน้นแปลกหลุดโลกเข้าว่า ลงทุนน้อยกว่าด้วย.....................
พีพี- จำนวนข้อความ : 124
Registration date : 06/12/2009
Re: เด็ดดอกไม้ดูไบกระทบถึงดวงดาว
ทักษิณถังแตก เสื้อแดงหูตก!?
by jk
ใครก็คิดว่า หลังคำพิพากษา ๒๖ กุมภาพันธ์ ทักษิณ ชินวัตร จะกลายเป็นคนถังแตก สูญเงินก้อนใหญ่
๗.๖ หมื่นล้าน ทำให้พลพรรครักทักษิณ หรือพลเมืองทักษิณ ไม่สามารถคาดหวังในงบประมาณที่จะเป็น
กำลังสนับสนุนสร้างความปั่นป่วนให้บ้าน เมืองต่อไป ประสา Jk หาข่าว เขียนติดข้างฝาไว้ได้เลยว่า เงินที่ได้
จากการขายหุ้นผ่านนิติกรรมอำพรางล็อตนี้ ทุกบาท ทุกสตางค์ ถูกยึดเป็นของรัฐแน่นอน และก็ได้กลายเป็นเงื่อนไขให้กลุ่มคนเสื้อแดงกวนน้ำให้ขุ่นมากขึ้น ทั้งก่อนหน้าและภายหลังการยึดทรัพย์
นอกจากนั้น การที่นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ส่งสัญญาณเตือนว่า ให้รัฐบาลช่วยดูแลองค์คณะผู้พิพากษา
และให้ระวังการหายตัวไป ซึ่งไม่รู้ว่าจะไปด้วยวิธีการใด แต่เชื่อว่าหากผู้พิพากษาหายตัวไป อาจจะทำให้คดี
ต้องยืดเยื้อขึ้น เพราะจะต้องมีการสรรหาคนใหม่เข้ามาแทน ก็เป็นคำเตือนที่ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะไม่ว่าจะเรียกสภาวะเช่นนี้ว่า หมาจนตรอก หรือเลือดเข้าตา หรือจะอธิบายด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทักษิณ ชินวัตร และพลเมืองแห่งทักษิณประเทศ ก็จะต้องพยายามสร้างสถานการณ์ที่จะยื้อยุดผลประโยชน์จากการฉ้อฉลนี้ไว้ให้
ได้ แต่ประเด็นที่อาจมีนัยสำคัญที่แตกต่างจากนักวิเคราะห์สถานการณ์ทั้งหลาย ก็คือ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ตาย
จากการขาดทุนกำไรเงิน ๗ หมื่นล้าน
ระหว่างการสืบค้น เงิน หุ้น และทรัพย์สินของทักษิณ ชินวัตร ของ คตส.นั้น ยังมีเงินในบัญชีแบงก์
ต่างประเทศของทักษิณ ชินวัตร จำนวนอีกมากมายหลายเท่ากว่าที่กำลังจะถูกยึดไป แต่ คตส.เอื้อมมือไปไม่ถึง ด้วยเหตุผลบางประการ ฉะนั้นถึงแม้จะสูญเงินไปมากกว่างบประมาณของหลายกระทรวงรวมกันแต่ผู้รับใช้ นายทักษิณ ทั้งหลาย ก็ไม่ถึงกับหูตก ยังคงกระดิกหัว กระดิกหางเลียแข้ง เลียขา นายได้อีกต่อไป
ผมได้ฟังการ พิจารณาสืบพยานคดีนี้ในศาล ครั้งหนึ่ง พยานจำเลยซึ่งส่วนหนึ่งเป็นพนักงานระดับบริหารของบริษัทที่ทักษิณ อ้างว่า เป็นแหล่งรายได้ที่ได้มาก่อนที่เขาจะเข้าสู่การเมือง พยายามเบิกความว่ากิจการ
โทรคมนาคมของทักษิณ มุ่งที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประชาชน และทักษิณ ไม่ได้มีส่วนในการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทของตนแต่อย่างใด แต่หากตรวจสอบราคาหุ้นของชินที่ทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงวัน
สั่งขายเทมาเส็ก จะพบว่าสัมพันธ์กับการตรากฏหมาย และคำสั่งของทักษิณ ชินวัตร ในห้วงระยะเวลาที่เขาอยู่
ในอำนาจทั้งสิ้น
นายมิตร เจริญวัลย์ อดีตประธานสหภาพองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทีโอที) เบิกความว่า
ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งประธานสหภาพ ระหว่างปี ๒๕๓๔ - ๒๕๔๗ มีโอกาสเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการบริหาร ทีโอที ๓ ครั้ง ตามนโยบายของนายสุเมธ ตันติเวชกุล ที่เป็นคณะกรรมการบริหารขณะนั้น เพราะต้องการให้การบริหารองค์กรเป็นไปด้วยความโปร่งใส เนื่องจากทีโอทีถูก มองว่าเป็นแดนสนธยา ซึ่งการเข้าร่วมประชุมตัวแทนสหภาพสามารถให้ความเห็นเพื่อท้วงติงได้ แต่ไม่มีอำนาจในการออกเสียงหรือตัดสินใจ
"..มีการประชุมครั้งหนึ่ง มีการพิจารณาอนุมัติเปลียนสัญญาการจัดเก็บค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบ บัตรเติมเงิน (พรีเพด) ของบริษัท เอไอเอส ที่คณะกรรมการบริหารอนุมัติตามข้อเสนอให้จัดเก็บร้อยละ ๒๐
ซึ่งสหภาพไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่าผิดกับสัญญาหลัก อาจส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของทีโอที และส่ง
ผลกระทบต่อหนักงานได้ ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการร้องเรียนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติให้ตรวจสอบ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบผลการร้องเรียน"
นายมิตร เบิกความตอนหนึ่ง
ขณะที่นายวิวัฒน์ สุทธิภาค อดีตรองอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข เบิกความว่า ช่วงเป็นคณะกรรมการประสานงานดาวเทียม กระทรวงคมนาคม มีหน้าที่ดูแลให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามกำหนดสัญญา ทั้งนี้
ได้พิจารณาคำขอส่งดาวเทียมไอพีสตาร์ของบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ แทนดาวเทียมไทยคม ๔ โดยได้ตอบ
กลับไปว่า แม้ว่าดาวเทียมไอพีสตาร์จะไม่มีช่องสัญญาณซีแบนด์ เหมือนกับดาวเทียมไทยคม ๓ แต่มีลักษณะ
ทันสมัย ดีที่สุด และครอบคลุมพื้นที่ให้บริการมากกว่า ทั้งยังสามารถรองรับความถี่ซีแบนด์ได้ แต่ต้องมีสถานีสัญญาณ
นายวิวัฒน์ เบิกความว่า ตามสัญญาระบุว่า ต้องมีดาวเทียมหลัก ดาวเทียมสำรองนั้น เป็นคำนิยาม
ตามเทคนิค เพราะข้อเท็จจริง ดาวเทียมแต่ละดวงสามารถใช้แทนกันได้ ทั้งดาวเทียมหลักและรอง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการบริการไม่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในการจัดทำสัญญาของกระทรวงคมนาคม นอกจากสัญญาฉบับแรกที่กำหนดว่า การยิงดาวเทียมไทยคม ๑ เป็นดาวเทียมหลัก ต้องยิงดาวเทียมไทยคม ๒ เป็นดาวเทียมสำรอง แต่การยิงดาวเทียมหลังจากนั้นไม่มีกำหนด ขึ้นอยู่กับความเห็นชอบของกระทรวงคมนาคม
"หากถามว่า การยิงดาวเทียมไอพีสตาร์แทนดาวเทียมไทยคม ๔ ผิดสัญญาหรือไม่ คงตอบได้ไม่
เต็มที่ เพราะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกระทรวงคมนาคม ซึ่งกรอบสัญญาระบุแค่ให้มีสัญญาณดาวเทียมใช้
อย่างต่อเนื่อง"
อย่าได้สงสัยเลยว่า ทักษิณ ชินวัตร จะถูกยึดทรัพย์หรือไม่ แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือ เศษเงิน ๗ หมื่นล้านที่จะหายวับไปกับตา ยังไม่มากพอที่จะทำให้เสื้อแดงหูตกได้
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/chakkrish/2010/01/18/entry-1
by jk
ใครก็คิดว่า หลังคำพิพากษา ๒๖ กุมภาพันธ์ ทักษิณ ชินวัตร จะกลายเป็นคนถังแตก สูญเงินก้อนใหญ่
๗.๖ หมื่นล้าน ทำให้พลพรรครักทักษิณ หรือพลเมืองทักษิณ ไม่สามารถคาดหวังในงบประมาณที่จะเป็น
กำลังสนับสนุนสร้างความปั่นป่วนให้บ้าน เมืองต่อไป ประสา Jk หาข่าว เขียนติดข้างฝาไว้ได้เลยว่า เงินที่ได้
จากการขายหุ้นผ่านนิติกรรมอำพรางล็อตนี้ ทุกบาท ทุกสตางค์ ถูกยึดเป็นของรัฐแน่นอน และก็ได้กลายเป็นเงื่อนไขให้กลุ่มคนเสื้อแดงกวนน้ำให้ขุ่นมากขึ้น ทั้งก่อนหน้าและภายหลังการยึดทรัพย์
นอกจากนั้น การที่นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ส่งสัญญาณเตือนว่า ให้รัฐบาลช่วยดูแลองค์คณะผู้พิพากษา
และให้ระวังการหายตัวไป ซึ่งไม่รู้ว่าจะไปด้วยวิธีการใด แต่เชื่อว่าหากผู้พิพากษาหายตัวไป อาจจะทำให้คดี
ต้องยืดเยื้อขึ้น เพราะจะต้องมีการสรรหาคนใหม่เข้ามาแทน ก็เป็นคำเตือนที่ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะไม่ว่าจะเรียกสภาวะเช่นนี้ว่า หมาจนตรอก หรือเลือดเข้าตา หรือจะอธิบายด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทักษิณ ชินวัตร และพลเมืองแห่งทักษิณประเทศ ก็จะต้องพยายามสร้างสถานการณ์ที่จะยื้อยุดผลประโยชน์จากการฉ้อฉลนี้ไว้ให้
ได้ แต่ประเด็นที่อาจมีนัยสำคัญที่แตกต่างจากนักวิเคราะห์สถานการณ์ทั้งหลาย ก็คือ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ตาย
จากการขาดทุนกำไรเงิน ๗ หมื่นล้าน
ระหว่างการสืบค้น เงิน หุ้น และทรัพย์สินของทักษิณ ชินวัตร ของ คตส.นั้น ยังมีเงินในบัญชีแบงก์
ต่างประเทศของทักษิณ ชินวัตร จำนวนอีกมากมายหลายเท่ากว่าที่กำลังจะถูกยึดไป แต่ คตส.เอื้อมมือไปไม่ถึง ด้วยเหตุผลบางประการ ฉะนั้นถึงแม้จะสูญเงินไปมากกว่างบประมาณของหลายกระทรวงรวมกันแต่ผู้รับใช้ นายทักษิณ ทั้งหลาย ก็ไม่ถึงกับหูตก ยังคงกระดิกหัว กระดิกหางเลียแข้ง เลียขา นายได้อีกต่อไป
ผมได้ฟังการ พิจารณาสืบพยานคดีนี้ในศาล ครั้งหนึ่ง พยานจำเลยซึ่งส่วนหนึ่งเป็นพนักงานระดับบริหารของบริษัทที่ทักษิณ อ้างว่า เป็นแหล่งรายได้ที่ได้มาก่อนที่เขาจะเข้าสู่การเมือง พยายามเบิกความว่ากิจการ
โทรคมนาคมของทักษิณ มุ่งที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประชาชน และทักษิณ ไม่ได้มีส่วนในการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทของตนแต่อย่างใด แต่หากตรวจสอบราคาหุ้นของชินที่ทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงวัน
สั่งขายเทมาเส็ก จะพบว่าสัมพันธ์กับการตรากฏหมาย และคำสั่งของทักษิณ ชินวัตร ในห้วงระยะเวลาที่เขาอยู่
ในอำนาจทั้งสิ้น
นายมิตร เจริญวัลย์ อดีตประธานสหภาพองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทีโอที) เบิกความว่า
ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งประธานสหภาพ ระหว่างปี ๒๕๓๔ - ๒๕๔๗ มีโอกาสเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการบริหาร ทีโอที ๓ ครั้ง ตามนโยบายของนายสุเมธ ตันติเวชกุล ที่เป็นคณะกรรมการบริหารขณะนั้น เพราะต้องการให้การบริหารองค์กรเป็นไปด้วยความโปร่งใส เนื่องจากทีโอทีถูก มองว่าเป็นแดนสนธยา ซึ่งการเข้าร่วมประชุมตัวแทนสหภาพสามารถให้ความเห็นเพื่อท้วงติงได้ แต่ไม่มีอำนาจในการออกเสียงหรือตัดสินใจ
"..มีการประชุมครั้งหนึ่ง มีการพิจารณาอนุมัติเปลียนสัญญาการจัดเก็บค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบ บัตรเติมเงิน (พรีเพด) ของบริษัท เอไอเอส ที่คณะกรรมการบริหารอนุมัติตามข้อเสนอให้จัดเก็บร้อยละ ๒๐
ซึ่งสหภาพไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่าผิดกับสัญญาหลัก อาจส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของทีโอที และส่ง
ผลกระทบต่อหนักงานได้ ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการร้องเรียนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติให้ตรวจสอบ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบผลการร้องเรียน"
นายมิตร เบิกความตอนหนึ่ง
ขณะที่นายวิวัฒน์ สุทธิภาค อดีตรองอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข เบิกความว่า ช่วงเป็นคณะกรรมการประสานงานดาวเทียม กระทรวงคมนาคม มีหน้าที่ดูแลให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามกำหนดสัญญา ทั้งนี้
ได้พิจารณาคำขอส่งดาวเทียมไอพีสตาร์ของบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ แทนดาวเทียมไทยคม ๔ โดยได้ตอบ
กลับไปว่า แม้ว่าดาวเทียมไอพีสตาร์จะไม่มีช่องสัญญาณซีแบนด์ เหมือนกับดาวเทียมไทยคม ๓ แต่มีลักษณะ
ทันสมัย ดีที่สุด และครอบคลุมพื้นที่ให้บริการมากกว่า ทั้งยังสามารถรองรับความถี่ซีแบนด์ได้ แต่ต้องมีสถานีสัญญาณ
นายวิวัฒน์ เบิกความว่า ตามสัญญาระบุว่า ต้องมีดาวเทียมหลัก ดาวเทียมสำรองนั้น เป็นคำนิยาม
ตามเทคนิค เพราะข้อเท็จจริง ดาวเทียมแต่ละดวงสามารถใช้แทนกันได้ ทั้งดาวเทียมหลักและรอง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการบริการไม่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในการจัดทำสัญญาของกระทรวงคมนาคม นอกจากสัญญาฉบับแรกที่กำหนดว่า การยิงดาวเทียมไทยคม ๑ เป็นดาวเทียมหลัก ต้องยิงดาวเทียมไทยคม ๒ เป็นดาวเทียมสำรอง แต่การยิงดาวเทียมหลังจากนั้นไม่มีกำหนด ขึ้นอยู่กับความเห็นชอบของกระทรวงคมนาคม
"หากถามว่า การยิงดาวเทียมไอพีสตาร์แทนดาวเทียมไทยคม ๔ ผิดสัญญาหรือไม่ คงตอบได้ไม่
เต็มที่ เพราะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกระทรวงคมนาคม ซึ่งกรอบสัญญาระบุแค่ให้มีสัญญาณดาวเทียมใช้
อย่างต่อเนื่อง"
อย่าได้สงสัยเลยว่า ทักษิณ ชินวัตร จะถูกยึดทรัพย์หรือไม่ แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือ เศษเงิน ๗ หมื่นล้านที่จะหายวับไปกับตา ยังไม่มากพอที่จะทำให้เสื้อแดงหูตกได้
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/chakkrish/2010/01/18/entry-1
แก้ไขล่าสุดโดย พีพี เมื่อ Mon Jan 18, 2010 9:25 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
พีพี- จำนวนข้อความ : 124
Registration date : 06/12/2009
Re: เด็ดดอกไม้ดูไบกระทบถึงดวงดาว
ฮุนเซน - ทักษิณ vs อภิสิทธิ์ - กษิต ความสนุกสนาน ภายใต้ความเสียหายของประเทศไทย และกัมพูชา
โดย พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์
การเดินทางมาประเทศกัมพูชาครั้งใหม่ของคุณทักษิณฯ นี้ ยังไม่ทราบจุดประสงค์แน่ชัด ว่ามาทำไม แต่คง
ไม่ใช่มางานวันเกิดฮุนเซน ตามที่มีข่าวลือในกลุ่มคนเสื้อแดงแน่ เพราะฮุนเซน เกิดวันที่ ๙ เดือน เม.ย.โน้น ถ้าผมจำไม่ผิด หรือจะแวะมาเพื่อดูโครงการเศรษฐกิจใหม่ๆ ของกัมพูชาก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะกัมพูชายัง
ไม่มีแผนทำอะไรในระยะนี้ ดังนั้น การมากัมพูชาของคุณทักษิณฯ จึงเหลืออยู่เพียงเรื่องเดียว คือมาร่วมมือกับฮุนเซน เพื่อต่อสู้กับคุณอภิสิทธิ์ฯ นายกไทย และคุณกษิตฯ รัฐมนตรีต่างประเทศ เท่านั้น
สมาชิกรัฐสภากัมพูชาหลายคนพูดคุยกับผมว่า ทางรัฐสภาฯ กัมพูชาไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับการเดินทางมาของคุณทักษิณฯ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะฮุนเซน มีอำนาจเผด็จการเต็มรูปแบบ แต่ชอบพูดว่าประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตย ดังนั้นใครจะขัดขวางก็ไม่ได้ สมาชิกสภาฯ ส่วนใหญ่ก็ได้แต่มีความหวังว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านของยุคโลกาภิวัฒน์นี้ จะทำให้ประชาชนกัมพูชาตื่นตัวมากขึ้นภายใน ๒-๓ ปีข้างหน้า (จะเห็นได้ว่า พวกนิยมเผด็จการมักจะพูดถึงเรื่องประชาธิปไตยอยู่ทุกวัน เพื่อปกปิดปมด้วยของตนเองเหมือนกับที่กลุ่มเสื้อแดงเรียกร้องอยู่ในปัจจุบัน นี้)
ทำไมฮุนเซน จึงอยู่ในอำนาจได้ ทั้งๆ ที่ประชาชนกัมพูชาเกลียดชังเกือบครึ่งประเทศ
คำตอบก็มีอยู่เพียง ๓ สาเหตุ คือ
(๑) ฮุนเซน อ้างเรื่องความใกล้ชิดกับเวียดนามมาข่มขู่คนในประเทศ
(๒) ฮุนเซน เอาประเทศไทยมาเป็นตัวโฆษณาชวนเชื่อว่า ไทยจะรุกรานกัมพูชา
จึงจำเป็นต้องใกล้ชิดเวียดนามเข้าไว้ และ
(๓) ฮุนเซน ร่วมมือกับคนไทย ๒-๓ คน โกงการเลือกตั้งทั่วไปในกัมพูชามาแล้ว ๒-๓ ครั้ง
(ไม่โกงก็แพ้ไปแล้ว)
ฮุนเซน ไม่ได้มีเชื้อสายเวียดนามแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงฮุนเซนสามารถอ้างเวียดนามขึ้นมาเป็น WALL PAPER เพื่อก้าวขึ้นมาสู่อำนาจสูงสุดของประเทศได้ในระยะแรกเท่านั้น เมื่อเห็นประโยชน์ในเรื่องนี้ ฮุนเซน
ก็ยิ่งแสดง ให้สมบทบาทว่าซี้กับเวียดนามมากขึ้น จนปัจจุบัน เกือบทุกคนก็เกรงอกเกรงใจฮุนเซนในเรื่องที่ซี้
กับเวียดนามมาก ซึ่งก็ไม่รู้กันชัดเจนว่า ซี้จริงๆ หรือ ซี้ซั๊วกันแน่ เพราะเวียดนามเองก็ไม่เคยแสดงอะไรออก
มามากที่จะชี้ได้ว่าซี้กับฮุนเซน
เมื่อกษัตริย์กัมพูชาทักท้วงเรื่องที่ดินที่ถูกเวียดนามรุกเข้ามา ฮุนเซนก็ข่มขู่กษัตริย์ว่า จะเปลี่ยนการปกครองประเทศมาเป็นระบบประธานาธิบดี ถ้าทักท้วงอยู่ต่อไป
ต่อมา พลเอก แกกิมยาน อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดกัมพูชา ทนไม่ได้ที่เห็นเวียดนามรุกที่ดินของกัมพูชา จึงทำหนังสือทักท้วงไปยังฮุนเซน ก็ถูกฮุนเซนสั่งปลดออกจากตำแหน่งทันที
รายสุดท้าย นาย สม รังษี ไปย้ายเสาหลักเขตชายแดนที่เวียดนามปักรุกเข้ามาในเขตกัมพูชาออก
เพราะราษฎรร้องเรียนมา ก็ถูกกดดันจนกลับเข้าประเทศไม่ได้ พร้อมพวกที่เป็น ส.ส.อีก ๒-๓ คน
เรื่องทั้งหมดจะไปโทษเวียดนามไม่ได้ เพราะฮุนเซน ยกที่ดินมาเสนอให้เอง แต่ฮุนเซนก็ได้ประโยชน์
กลับไป เพราะทุกคนเชื่อสนิทว่า ฮุนเซนมีเวียดนามหนุนหลังจริงๆ จึงไม่มีใครกล้าหือกับฮุนเซน ไม่ว่าฮุนเซน
จะทำอะไร ปัจจุบันฮุนเซนก็นำลูกไม้อันนี้มาใช้ในการข่มขู่ประเทศไทยเช่นกัน แต่ไม่ได้ผล
นอกจากนั้น ฮุนเซน ก็เชื่อว่าถ้าคุณทักษิณฯ หรือพรรคการเมืองของคุณทักษิณฯ มีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาล
ก็คงจะยอมยกดินแดนไทยบางส่วนให้ฮุนเซนบ้าง เพื่อเป็นการตอบแทนเช่นเดียวกับที่ฮุนเซนตอบแทนแก่เวียดนาม โดยหารู้ถึงนิสัยใจคอของคนไทยที่แท้จริง ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม ถ้าลองยกที่ดินให้กัมพูชาแบบไร้เหตุผลละก็ต้องโดนไล่ออกแน่นอน เพราะประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ รัฐบาลจะมาบังคับกะเกณฑ์อะไรที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลไม่ได้แน่นอน (กลุ่ม คนเสื้อแดงเอง ก็คงรู้ดี และมีประสบการณ์มาแล้วว่า การเคลื่อนไหวแบบนี้ ทำได้ในประเทศไทยเท่านั้น ลองไปทำในกัมพูชา, เวียดนาม หรือ ลาว ละก็โดนทุบแน่นอน) ซึ่งตรงกันข้ามกับกัมพูชาที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการเต็มรูปแบบมานานแล้ว จึงสามารถทำอะไรก็ได้ แต่ก็ระวังให้ดี ซึ่งไม่น่าจะเกิน ๒ – ๓ ปี ต่อไปนี้ ฮุนเซนจะต้องน้ำตาตกแน่นอน
ปัจจุบันนี้ คุณทักษิณฯ ยังห่างไกลข้อมูลของการเมืองไทยมาก เหมือน กับที่เคยดูถูกปัญหาความรุนแรงใน ๓ จังหวัดภาคใต้ เหมือนกับที่เคยดูแคลนกลุ่มพันธมิตรฯ มาก่อน เช่นเดียวกับฮุนเซน ที่ยังอ่านการเมืองไทยไม่ขาด แม้จะมีหน่วยข่าวกรองของกัมพูชาทำงานอยู่ในไทย แต่การรายงานข่าวกรองไปให้ฮุนเซนอ่าน
ก็คงจะต้องบิดเบือนไปให้ถูกใจฮุนเซนด้วย ตามระบบเผด็จการ
แนว ทางการเคลื่อนไหวกดดันต่อรัฐบาลไทยของทักษิณฯ – ฮุนเซน ในห้วงเวลาต่อไป จึงน่าจะประกอบด้วยการดำเนินงานหลายรูปแบบรวมกันกดดันต่อรัฐบาล ซึ่งสรุปแนวทางหลักๆ ได้ว่า
๑. มีการโจมตีประเทศไทยอย่างรุนแรงทั้งจากสื่อมวลชนกัมพูชา และคนในรัฐบาลกัมพูชาเอง
(ประเด็น นี้ เริ่มมาแต่ ๙ เม.ย.๕๓ แล้ว จนดูเสมือนสื่อมวลชนกัมพูชาทำหน้าที่เป็นสื่อของกลุ่ม
คนเสื้อแดง เช่นการใช้คำ ระบบอำมาตย์, ๒ มาตราฐาน, คนเสื้อเหลือ, การพาดพิงต่อสถาบันฯ ฯลฯ)
๒. จะมีการจัดอภิปรายไม่ไว้วางใจกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงไปพร้อมกัน (มี ส.ส.ในเพื่อไทย
หลายคน ไม่เห็นด้วย เพราะจะทำให้ไม่มีใครสนใจการอภิปราย)
๓. การจัดชุมนุมคนเสื้อแดงจะมีขึ้นพร้อมกัน ทั้งใน กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
๔. จะมีการสนับสนุนกลุ่มที่มีปัญหาเดือดร้อนต่างๆ ให้เข้ามาร่วมชุมนุมด้วย ในระยะเวลาเดียวกัน
การกระทำทั้ง ๔ เรื่องนี้ ถ้าดำเนินงานโดยสงบ แม้จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ก็คงทำอะไรรัฐบาลไม่ได้
คุณอภิสิทธิ์ฯ กับคุณสุเทพฯ เริ่มเป็นงานมากขึ้น การเลือกตัวคนมาใช้ การปิดช่องโหว่ต่างๆ เริ่มดีขึ้นตามลำดับ นอกจากนั้นยังเป็นผลทำให้ พรรค ปชป. กับ พรรคภูมิใจไทย สามัคคีกันมากขึ้น ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
สำหรับกลุ่มคนเสื้อแดงเอง ดังนั้นมีวิธีเดียวที่ทักษิณฯ – ฮุนเซน จะชนะ ได้ คือการทำให้เกิดเหตุการณ์เดือน เม.ย. รอบ ๒ ขึ้น ซึ่งถ้าสร้างเป็นภาพยนตร์ ก็ต้องมีการปรับปรุงดัดแปลง บทภาพยนตร์เสียใหม่ ให้ตื่นเต้น
เร้าใจ และหักมุมจบแบบที่คนดูคาดไม่ถึง ซึ่งอาจมีนักแสดงต่างชาติเข้าร่วมด้วยก็ได้ ส่วนรัฐบาลเอง แม้จะได้เปรียบแต่ก็อย่าประมาท อย่าเอาประเทศชาติไปเดิมพันกับคนสติไม่ดีเป็นอันขาด คอยดูกันต่อไป อย่ากระพริบตาครับ
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/nunrimfar/2010/01/15/entry-1
โดย พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์
การเดินทางมาประเทศกัมพูชาครั้งใหม่ของคุณทักษิณฯ นี้ ยังไม่ทราบจุดประสงค์แน่ชัด ว่ามาทำไม แต่คง
ไม่ใช่มางานวันเกิดฮุนเซน ตามที่มีข่าวลือในกลุ่มคนเสื้อแดงแน่ เพราะฮุนเซน เกิดวันที่ ๙ เดือน เม.ย.โน้น ถ้าผมจำไม่ผิด หรือจะแวะมาเพื่อดูโครงการเศรษฐกิจใหม่ๆ ของกัมพูชาก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะกัมพูชายัง
ไม่มีแผนทำอะไรในระยะนี้ ดังนั้น การมากัมพูชาของคุณทักษิณฯ จึงเหลืออยู่เพียงเรื่องเดียว คือมาร่วมมือกับฮุนเซน เพื่อต่อสู้กับคุณอภิสิทธิ์ฯ นายกไทย และคุณกษิตฯ รัฐมนตรีต่างประเทศ เท่านั้น
สมาชิกรัฐสภากัมพูชาหลายคนพูดคุยกับผมว่า ทางรัฐสภาฯ กัมพูชาไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับการเดินทางมาของคุณทักษิณฯ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะฮุนเซน มีอำนาจเผด็จการเต็มรูปแบบ แต่ชอบพูดว่าประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตย ดังนั้นใครจะขัดขวางก็ไม่ได้ สมาชิกสภาฯ ส่วนใหญ่ก็ได้แต่มีความหวังว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านของยุคโลกาภิวัฒน์นี้ จะทำให้ประชาชนกัมพูชาตื่นตัวมากขึ้นภายใน ๒-๓ ปีข้างหน้า (จะเห็นได้ว่า พวกนิยมเผด็จการมักจะพูดถึงเรื่องประชาธิปไตยอยู่ทุกวัน เพื่อปกปิดปมด้วยของตนเองเหมือนกับที่กลุ่มเสื้อแดงเรียกร้องอยู่ในปัจจุบัน นี้)
ทำไมฮุนเซน จึงอยู่ในอำนาจได้ ทั้งๆ ที่ประชาชนกัมพูชาเกลียดชังเกือบครึ่งประเทศ
คำตอบก็มีอยู่เพียง ๓ สาเหตุ คือ
(๑) ฮุนเซน อ้างเรื่องความใกล้ชิดกับเวียดนามมาข่มขู่คนในประเทศ
(๒) ฮุนเซน เอาประเทศไทยมาเป็นตัวโฆษณาชวนเชื่อว่า ไทยจะรุกรานกัมพูชา
จึงจำเป็นต้องใกล้ชิดเวียดนามเข้าไว้ และ
(๓) ฮุนเซน ร่วมมือกับคนไทย ๒-๓ คน โกงการเลือกตั้งทั่วไปในกัมพูชามาแล้ว ๒-๓ ครั้ง
(ไม่โกงก็แพ้ไปแล้ว)
ฮุนเซน ไม่ได้มีเชื้อสายเวียดนามแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงฮุนเซนสามารถอ้างเวียดนามขึ้นมาเป็น WALL PAPER เพื่อก้าวขึ้นมาสู่อำนาจสูงสุดของประเทศได้ในระยะแรกเท่านั้น เมื่อเห็นประโยชน์ในเรื่องนี้ ฮุนเซน
ก็ยิ่งแสดง ให้สมบทบาทว่าซี้กับเวียดนามมากขึ้น จนปัจจุบัน เกือบทุกคนก็เกรงอกเกรงใจฮุนเซนในเรื่องที่ซี้
กับเวียดนามมาก ซึ่งก็ไม่รู้กันชัดเจนว่า ซี้จริงๆ หรือ ซี้ซั๊วกันแน่ เพราะเวียดนามเองก็ไม่เคยแสดงอะไรออก
มามากที่จะชี้ได้ว่าซี้กับฮุนเซน
เมื่อกษัตริย์กัมพูชาทักท้วงเรื่องที่ดินที่ถูกเวียดนามรุกเข้ามา ฮุนเซนก็ข่มขู่กษัตริย์ว่า จะเปลี่ยนการปกครองประเทศมาเป็นระบบประธานาธิบดี ถ้าทักท้วงอยู่ต่อไป
ต่อมา พลเอก แกกิมยาน อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดกัมพูชา ทนไม่ได้ที่เห็นเวียดนามรุกที่ดินของกัมพูชา จึงทำหนังสือทักท้วงไปยังฮุนเซน ก็ถูกฮุนเซนสั่งปลดออกจากตำแหน่งทันที
รายสุดท้าย นาย สม รังษี ไปย้ายเสาหลักเขตชายแดนที่เวียดนามปักรุกเข้ามาในเขตกัมพูชาออก
เพราะราษฎรร้องเรียนมา ก็ถูกกดดันจนกลับเข้าประเทศไม่ได้ พร้อมพวกที่เป็น ส.ส.อีก ๒-๓ คน
เรื่องทั้งหมดจะไปโทษเวียดนามไม่ได้ เพราะฮุนเซน ยกที่ดินมาเสนอให้เอง แต่ฮุนเซนก็ได้ประโยชน์
กลับไป เพราะทุกคนเชื่อสนิทว่า ฮุนเซนมีเวียดนามหนุนหลังจริงๆ จึงไม่มีใครกล้าหือกับฮุนเซน ไม่ว่าฮุนเซน
จะทำอะไร ปัจจุบันฮุนเซนก็นำลูกไม้อันนี้มาใช้ในการข่มขู่ประเทศไทยเช่นกัน แต่ไม่ได้ผล
นอกจากนั้น ฮุนเซน ก็เชื่อว่าถ้าคุณทักษิณฯ หรือพรรคการเมืองของคุณทักษิณฯ มีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาล
ก็คงจะยอมยกดินแดนไทยบางส่วนให้ฮุนเซนบ้าง เพื่อเป็นการตอบแทนเช่นเดียวกับที่ฮุนเซนตอบแทนแก่เวียดนาม โดยหารู้ถึงนิสัยใจคอของคนไทยที่แท้จริง ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม ถ้าลองยกที่ดินให้กัมพูชาแบบไร้เหตุผลละก็ต้องโดนไล่ออกแน่นอน เพราะประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ รัฐบาลจะมาบังคับกะเกณฑ์อะไรที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลไม่ได้แน่นอน (กลุ่ม คนเสื้อแดงเอง ก็คงรู้ดี และมีประสบการณ์มาแล้วว่า การเคลื่อนไหวแบบนี้ ทำได้ในประเทศไทยเท่านั้น ลองไปทำในกัมพูชา, เวียดนาม หรือ ลาว ละก็โดนทุบแน่นอน) ซึ่งตรงกันข้ามกับกัมพูชาที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการเต็มรูปแบบมานานแล้ว จึงสามารถทำอะไรก็ได้ แต่ก็ระวังให้ดี ซึ่งไม่น่าจะเกิน ๒ – ๓ ปี ต่อไปนี้ ฮุนเซนจะต้องน้ำตาตกแน่นอน
ปัจจุบันนี้ คุณทักษิณฯ ยังห่างไกลข้อมูลของการเมืองไทยมาก เหมือน กับที่เคยดูถูกปัญหาความรุนแรงใน ๓ จังหวัดภาคใต้ เหมือนกับที่เคยดูแคลนกลุ่มพันธมิตรฯ มาก่อน เช่นเดียวกับฮุนเซน ที่ยังอ่านการเมืองไทยไม่ขาด แม้จะมีหน่วยข่าวกรองของกัมพูชาทำงานอยู่ในไทย แต่การรายงานข่าวกรองไปให้ฮุนเซนอ่าน
ก็คงจะต้องบิดเบือนไปให้ถูกใจฮุนเซนด้วย ตามระบบเผด็จการ
แนว ทางการเคลื่อนไหวกดดันต่อรัฐบาลไทยของทักษิณฯ – ฮุนเซน ในห้วงเวลาต่อไป จึงน่าจะประกอบด้วยการดำเนินงานหลายรูปแบบรวมกันกดดันต่อรัฐบาล ซึ่งสรุปแนวทางหลักๆ ได้ว่า
๑. มีการโจมตีประเทศไทยอย่างรุนแรงทั้งจากสื่อมวลชนกัมพูชา และคนในรัฐบาลกัมพูชาเอง
(ประเด็น นี้ เริ่มมาแต่ ๙ เม.ย.๕๓ แล้ว จนดูเสมือนสื่อมวลชนกัมพูชาทำหน้าที่เป็นสื่อของกลุ่ม
คนเสื้อแดง เช่นการใช้คำ ระบบอำมาตย์, ๒ มาตราฐาน, คนเสื้อเหลือ, การพาดพิงต่อสถาบันฯ ฯลฯ)
๒. จะมีการจัดอภิปรายไม่ไว้วางใจกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงไปพร้อมกัน (มี ส.ส.ในเพื่อไทย
หลายคน ไม่เห็นด้วย เพราะจะทำให้ไม่มีใครสนใจการอภิปราย)
๓. การจัดชุมนุมคนเสื้อแดงจะมีขึ้นพร้อมกัน ทั้งใน กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
๔. จะมีการสนับสนุนกลุ่มที่มีปัญหาเดือดร้อนต่างๆ ให้เข้ามาร่วมชุมนุมด้วย ในระยะเวลาเดียวกัน
การกระทำทั้ง ๔ เรื่องนี้ ถ้าดำเนินงานโดยสงบ แม้จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ก็คงทำอะไรรัฐบาลไม่ได้
คุณอภิสิทธิ์ฯ กับคุณสุเทพฯ เริ่มเป็นงานมากขึ้น การเลือกตัวคนมาใช้ การปิดช่องโหว่ต่างๆ เริ่มดีขึ้นตามลำดับ นอกจากนั้นยังเป็นผลทำให้ พรรค ปชป. กับ พรรคภูมิใจไทย สามัคคีกันมากขึ้น ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
สำหรับกลุ่มคนเสื้อแดงเอง ดังนั้นมีวิธีเดียวที่ทักษิณฯ – ฮุนเซน จะชนะ ได้ คือการทำให้เกิดเหตุการณ์เดือน เม.ย. รอบ ๒ ขึ้น ซึ่งถ้าสร้างเป็นภาพยนตร์ ก็ต้องมีการปรับปรุงดัดแปลง บทภาพยนตร์เสียใหม่ ให้ตื่นเต้น
เร้าใจ และหักมุมจบแบบที่คนดูคาดไม่ถึง ซึ่งอาจมีนักแสดงต่างชาติเข้าร่วมด้วยก็ได้ ส่วนรัฐบาลเอง แม้จะได้เปรียบแต่ก็อย่าประมาท อย่าเอาประเทศชาติไปเดิมพันกับคนสติไม่ดีเป็นอันขาด คอยดูกันต่อไป อย่ากระพริบตาครับ
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/nunrimfar/2010/01/15/entry-1
พีพี- จำนวนข้อความ : 124
Registration date : 06/12/2009
Re: เด็ดดอกไม้ดูไบกระทบถึงดวงดาว
สามเกลอ อย่าลืมไปทวง อัลไพน์คืนให้วัดด้วย
by นายเขาอกทะลุ
สนามกอล์ฟอัลไพน์ตั้งอยู่บนที่ดินแถว อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมด 924 ไร่ เดิมทีที่ดินแห่งนี้เป็นของคุณยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ที่ยกให้วัดธรรมิการามวรวิหาร จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็นผลประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา ตามพินัยกรรมของคุณยายเนื่อม เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2512
วันที่ 22 พฤษภาคม 2514 คุณยายถึงแก่กรรม
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2514 ทางวัดธรรมิการามวรวิหารได้ตั้งนายพจน์ สุนทราชุน นายหงส์ สุวรรณหิรัญ และ นพ.วิรัตน์ มรรคดวงแก้ว เป็นตัวแทนวัดเพื่อดำเนินการตามพินัยกรรม และกรรมการศาสนาได้ขึ้นทะเบียนที่ดินดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์
ที่ธรณีสงฆ์หมายถึงที่ซึ่งเป็นสมบัติของวัด ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์นั้น การโอนให้กับใครจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อออกเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น และห้ามบุคคลใดยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดหรือกรมการศาสนา
ปี พ.ศ.2531 นายเสนาะ เทียนทอง ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ และเป็นผู้กำกับดูแลกรมที่ดิน ได้ทำหนังสือลงวันที่ 19 กันยายน 2531 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อ้างมติที่ประชุมสงฆ์และกรรมการวัดว่า ไม่ควรรับโอนที่ดินมาเป็นของวัด เพราะที่ดินตั้งอยู่ที่ จ.ปทุมธานี แต่วัดตั้งอยู่ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ จึงเป็นการไม่สะดวกที่จะใช้สอยและดูแล ทางวัดต้องการขายที่ดินดังกล่าวเพื่อนำเงินมาบำรุงวัด และตั้งเป็นมูลนิธิเก็บดอกผลเป็นค่าใช้จ่ายของวัด
วันที่ 21 กรกฎาคม 2532 เจ้าอาวาสวัดธรรมิการามวรวิหาร ทำหนังสือถึงผู้อำนวยการมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ขอให้มูลนิธิติดต่อผู้จัดการมรดก โอนที่ดินให้กับมูลนิธิ เพื่อมูลนิธิจะได้ดำเนินการหาผลประโยชน์มาบำรุงวัดธรรมิการามฯต่อไป
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2533 เจ้าอาวาสวัดธรรมิการามฯ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทำหนังสือถึงมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ขอเปลี่ยนตัวผู้จัดการผลประโยชน์ของวัด จาก วารุณี สมานวรวงศ์ มาเป็น นายวิทยา เทียนทอง น้องชายนายเสนาะ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยขณะนั้น ซึ่งมีตำแหน่งเป็นเลขานุการรัฐมนตรีคือนายเสนาะ
เรื่องยืดเยื้อต่อมาอีกระยะหนึ่ง นายเสนาะ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ออกคำสั่งตามนัย มาตรา 84 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินว่า
"ไม่อนุญาตให้วัดธรรมิการามฯได้มาซึ่งที่ดินมรดกดังกล่าว ให้เจ้าอาวาสดำเนินการมอบอสังหาริมทรัพย์ให้แก่มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ตามข้อ 4 แห่งพินัยกรรม "
ผู้จัดการมรดกถูกกดดันให้โอนที่ดินแก่มูลนิธิ
วันที่ 11 สิงหาคม 2533 ศาลแพ่งมีคำสั่งอนุญาตให้มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นผู้จัดการมรดกคุณยาย
เนื่อม ชำนาญชาติศักดา ตามคำยื่นคำร้องของเจ้าอาวาสวัดธรรมิการามฯ และมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย
วันที่ 21 สิงหาคม 2533 ผู้จัดการมรดกคือมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ได้โอนที่ดินมรดกให้แก่ มูลนิธิมหา
มกุฏราชวิทยาลัยแล้วขายที่ดินดังกล่าวในวันเดียวกันทันทีให้กับบริษัทอัลไพน์ เรียลเอสเตทและบริษัทอัลไพน์
กอล์ฟ แอนด์สปอร์ตคลับที่มี นายเสนาะและนายวิทยา เทียนทอง ถือหุ้นใหญ่ในราคา 130 ล้านบาท
ปี พ.ศ.2540 นายเสนาะ เทียนทอง ได้ขายสนามกอล์ฟอัลไพน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในราคาประมาณ 500 ล้านบาท
นี่คือที่มาที่ไปของสนามกอล์ฟอัลไพน์
คุณยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา บริจาคให้วัดด้วยเจตนาบริสุทธิ์ หวังก่อให้เกิดผลบุญแก่ผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่เจตนาอันดีงามดังกล่าวได้ถูกทำลายลงสิ้นเชิงอย่างไม่รู้จักกลัวเกรงบาปบุญคุณโทษ สามเกลอช่วยทวงที่ดินให้ยายที
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/localpolitics/2010/01/23/entry-1
รัฐบาลเดินหน้าทวงสนามกอล์ฟอัลไพน์ คืนกลับให้เป็นของสงฆ์
by นายเขาอกทะลุ
สนามกอล์ฟอัลไพน์ตั้งอยู่บนที่ดินแถว อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมด 924 ไร่ เดิมทีที่ดินแห่งนี้เป็นของคุณยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ที่ยกให้วัดธรรมิการามวรวิหาร จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็นผลประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา ตามพินัยกรรมของคุณยายเนื่อม เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2512
วันที่ 22 พฤษภาคม 2514 คุณยายถึงแก่กรรม
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2514 ทางวัดธรรมิการามวรวิหารได้ตั้งนายพจน์ สุนทราชุน นายหงส์ สุวรรณหิรัญ และ นพ.วิรัตน์ มรรคดวงแก้ว เป็นตัวแทนวัดเพื่อดำเนินการตามพินัยกรรม และกรรมการศาสนาได้ขึ้นทะเบียนที่ดินดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์
ที่ธรณีสงฆ์หมายถึงที่ซึ่งเป็นสมบัติของวัด ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์นั้น การโอนให้กับใครจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อออกเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น และห้ามบุคคลใดยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดหรือกรมการศาสนา
ปี พ.ศ.2531 นายเสนาะ เทียนทอง ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ และเป็นผู้กำกับดูแลกรมที่ดิน ได้ทำหนังสือลงวันที่ 19 กันยายน 2531 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อ้างมติที่ประชุมสงฆ์และกรรมการวัดว่า ไม่ควรรับโอนที่ดินมาเป็นของวัด เพราะที่ดินตั้งอยู่ที่ จ.ปทุมธานี แต่วัดตั้งอยู่ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ จึงเป็นการไม่สะดวกที่จะใช้สอยและดูแล ทางวัดต้องการขายที่ดินดังกล่าวเพื่อนำเงินมาบำรุงวัด และตั้งเป็นมูลนิธิเก็บดอกผลเป็นค่าใช้จ่ายของวัด
วันที่ 21 กรกฎาคม 2532 เจ้าอาวาสวัดธรรมิการามวรวิหาร ทำหนังสือถึงผู้อำนวยการมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ขอให้มูลนิธิติดต่อผู้จัดการมรดก โอนที่ดินให้กับมูลนิธิ เพื่อมูลนิธิจะได้ดำเนินการหาผลประโยชน์มาบำรุงวัดธรรมิการามฯต่อไป
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2533 เจ้าอาวาสวัดธรรมิการามฯ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทำหนังสือถึงมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ขอเปลี่ยนตัวผู้จัดการผลประโยชน์ของวัด จาก วารุณี สมานวรวงศ์ มาเป็น นายวิทยา เทียนทอง น้องชายนายเสนาะ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยขณะนั้น ซึ่งมีตำแหน่งเป็นเลขานุการรัฐมนตรีคือนายเสนาะ
เรื่องยืดเยื้อต่อมาอีกระยะหนึ่ง นายเสนาะ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ออกคำสั่งตามนัย มาตรา 84 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินว่า
"ไม่อนุญาตให้วัดธรรมิการามฯได้มาซึ่งที่ดินมรดกดังกล่าว ให้เจ้าอาวาสดำเนินการมอบอสังหาริมทรัพย์ให้แก่มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ตามข้อ 4 แห่งพินัยกรรม "
ผู้จัดการมรดกถูกกดดันให้โอนที่ดินแก่มูลนิธิ
วันที่ 11 สิงหาคม 2533 ศาลแพ่งมีคำสั่งอนุญาตให้มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นผู้จัดการมรดกคุณยาย
เนื่อม ชำนาญชาติศักดา ตามคำยื่นคำร้องของเจ้าอาวาสวัดธรรมิการามฯ และมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย
วันที่ 21 สิงหาคม 2533 ผู้จัดการมรดกคือมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ได้โอนที่ดินมรดกให้แก่ มูลนิธิมหา
มกุฏราชวิทยาลัยแล้วขายที่ดินดังกล่าวในวันเดียวกันทันทีให้กับบริษัทอัลไพน์ เรียลเอสเตทและบริษัทอัลไพน์
กอล์ฟ แอนด์สปอร์ตคลับที่มี นายเสนาะและนายวิทยา เทียนทอง ถือหุ้นใหญ่ในราคา 130 ล้านบาท
ปี พ.ศ.2540 นายเสนาะ เทียนทอง ได้ขายสนามกอล์ฟอัลไพน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในราคาประมาณ 500 ล้านบาท
นี่คือที่มาที่ไปของสนามกอล์ฟอัลไพน์
คุณยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา บริจาคให้วัดด้วยเจตนาบริสุทธิ์ หวังก่อให้เกิดผลบุญแก่ผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่เจตนาอันดีงามดังกล่าวได้ถูกทำลายลงสิ้นเชิงอย่างไม่รู้จักกลัวเกรงบาปบุญคุณโทษ สามเกลอช่วยทวงที่ดินให้ยายที
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/localpolitics/2010/01/23/entry-1
รัฐบาลเดินหน้าทวงสนามกอล์ฟอัลไพน์ คืนกลับให้เป็นของสงฆ์
พีพี- จำนวนข้อความ : 124
Registration date : 06/12/2009
Re: เด็ดดอกไม้ดูไบกระทบถึงดวงดาว
เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดูไบ
โดย อัญชะลี ไพรีรัก 3 กุมภาพันธ์ 2553 19:58 น.
กิดมาโชคดีเป็นคนสวย แสนดี มีเมตตามหานิยมเหลือเฟือขนาดนี้แล้ว จะให้นั่งนิ่งดูดาย
ปล่อยให้ “หวานใจ จุ๊บ จุ๊บ” สำรากใส่ “เจ้นิดหน่อย” แต่เพียงฝ่ายเดียวได้อย่างไร งานนี้
ขอแส่-ออกโรง-เสนอหน้า-ยื่นจมูกเข้าไปยุ่ง...ทำไงได้!!! ลูกผู้หญิงต้องเห็นใจลูกผู้หญิงด้วยกัน
คล้ายๆ “เลดี้กาก้า” เมตตา “คุณหญิงมิดไนท์” อะไรทำนองนี้
เรื่องของเรื่องมาจากข่าว “บิ๊กบางบอน” สำรอกใส่ “บิ๊กหน่อย XXL” แบบเปิดหน้าชกด้วย
หมัดมวยรุ่นเก๋าที่ไม่พูดพล่ามทำเพลง ขึ้นเวทีผ้าใบก็พุ่งเข้าตีเข่าเขย่าหน่อย แบบคลุกวงใน
เฉียดใต้สะดือ กรรมการห้ามมวยเห็นกันจะจะ แต่เมินหน้าแกล้งมองไม่เห็น นัยว่าเกรงจะถูกลูกหลง
เหมือน “นายดาบคนนั้น” ที่บัดนี้ครอบครัวของเขายังยิ้มไม่ออก หลังจากไอ้ปื้ดยิงหัวหน้าครอบครัว
เขาตายในผับดังย่านรัชดาฯ เมื่อหลายปีก่อน
เหลือบไปเห็น Forward mail จากกัลยาณมิตรท่านหนึ่งที่ส่งมาให้ เป็นเมล์ที่เกิดขึ้นทันควันหลัง
บิ๊กบางบอนด่ากราดศัตรูการเมืองไปทั่วพรรค โดยเฉพาะเรื่องความมักใหญ่ใฝ่สูง และจุ้นจ้านไม่เข้าท่า
ของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งใกล้ชิดกับ “ทักษิณ” จนเป็นที่รู้กันทั่ว แต่นักเลงใหญ่บางบอนผู้ไม่เคยกลัวใคร
นอกจากลูกชาย 3 คน ถึงกับจิกหัวเรียกว่า “อีหน่อย”
งานนี้เห็นแล้วอดสงสัยไม่ได้เลยว่า เมลนี้ถูกเตรียมไว้นานแล้ว รอแต่โอกาสเหมาะๆ มาถึงเมื่อไรเท่านั้นเอง…
และโอกาสนั้นก็มาถึงแล้ว เมื่อ “เฉลิม” ท้ารบด้วยการออกอาวุธลับสับ “คุณหญิงมิดไนท์” อย่างไม่ยั้งไมตรี
ลำดับถัดจากนี้ไปขอพี่น้องจงศึกษาการเรียบเรียงเรื่อง “12 วีรกรรม 3 พี่น้องอยู่บำรุง” จาก Forward mail นี้
ให้ดีเถิด เพราะเมลนี้คนทำเขาแม่นยำเรื่องข้อมูล และเก่งในการเรียงลำดับเรื่อง โดยเกริ่นนำด้วยถ้อยคำ
จุดชนวนเร้าใจน่าติดตามว่า
“ข่าวลือจบไป...จากนี้อยากจะพลิกตำนานเรื่องจริง 12 วีรกรรม 3 พี่น้องตระกูลอยู่บำรุง ซึ่งถือว่าอันตรายมากๆ
ในยุคนั้น...โดยเหตุการณ์ที่ลูกชาย ร.ต.อ.เฉลิม ทั้ง 3 คน เข้าไปพัวพันในช่วงเวลา นับจากปี 2540 – 2544
ทำสถิติ 4 ปี 12 คดี ซึ่งขณะนั้นร.ต.อ.เฉลิม เป็นรองหัวหน้าพรรคความหวังใหม่”
เมื่ออ่านจนจบก็พบว่า เมลชุดนี้ก็ใช้วิธีการสรุปวีรกรรมสั้นๆ เหมือนการสรุปข่าว แล้วลำดับเหตุการณ์
ความชั่วช้าเลวทรามของลูกชาย 3 คนจากตระกูลอยู่บำรุง ...สั้น กระชับ ตรงไปตรงมา ไม่ลีลาเยิ่นเย้อ
โดยเริ่มตั้งแต่
1 ) วันที่ 12 เมษายน 2540 เวลา 02.00 เศษ กับกรณี “ร.ต.ต.วันเฉลิม” ตามพ่อไปตรวจราชการของ
กระทรวงมหาดไทยที่ภูเก็ต แล้วไปมีเรื่องชกต่อยกับนักเที่ยวในผับเอลี่ยน ผลปรากฏว่า มีคนถูกยิง 2 คน
บาดเจ็บจำนวนมาก วันเฉลิมอดีตตำรวจติดตามพ่อเหลิม รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ตกเป็นหนึ่งในจำเลย
2) วันที่ 27 มี.ค. 41 เวลา 01.45 น. (อีก 16 วันครบ 1 ปี)...(ผู้เขียน...คนทำเมลให้ข้อมูลละเอียด
ขนาดนับเวลาให้เสร็จสรรพ) ...ร.ต.ต.วันเฉลิมกับพวกถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุทะเลาะกับกลุ่มวัยรุ่น
ของ น.ส.กาญจนา นุ่มน้ำมูล แฟนสาวของลูกชายนายสิทธิพร ขำอาจ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์
และนายวินัย หรือ ปาน แซ่ตั้ง หัวคะแนนนายสิทธิพร ที่ฟิวเจอร์ ผับ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค
แต่เนื่องจากไม่มีพยานยืนยันว่า นายวันเฉลิมร่วมลงมือ ดังนั้นเมื่อเดือนกันยายน 2541 อัยการเลยสั่งไม่ฟ้อง
3) วันที่ 1 สิงหาคม 41 เวลา 23.00 น. ถัดมา 4 เดือน 4 วัน ร.ต.ต.วันเฉลิมเจ้าเก่า ถูกแจ้งความดำเนินคดี
ฐานทำร้ายร่างกาย นายอัครเดช สุขรังสรรค์ บุตรชายนายประสาน สุขรังสรรค์ อดีตรองอธิบดี
กรมการปกครอง จนได้รับบาดเจ็บสาหัสในงานเลี้ยงของนายอัครเดช ที่ฉลองการจบจากคณะพาณิชยศาสตร์
และการบัญชีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่“ทอรัส ผับ”
4) วันที่ 1 ต.ค. 41 เวลา 01.30 น. ถัดมา 2 เดือน เป็นคิวของพี่ชายคนโต เมื่อร.ต.ต.อาจหาญ
ถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกายน.ส.ปทิตตา พรรณโอรส นศ.มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ
(เอแบค) อดีตแฟนสาวที่นาซีซีส ผับ (ผู้เขียน....ประเด็นนี้ขอเพิ่มเติมจากแหล่งข่าวกล่าวว่า
พี่เขาจับหัวผู้หญิงโขกกับเสาโรมันที่หน้าผับคะ)
5) ย่างเข้าสู่ปี 2542 ร.ต.ต.อาจหาญ และร.ต.ต.วันเฉลิม ตกเป็นผู้ต้องหาอีก โดย 2 พี่น้องเจอข้อหา
ใช้ใบเกณฑ์ทหาร หรือ สด. 43 ปลอม สมัครเข้ารับราชการตำรวจ พอถึงวันที่ 2 มี.ค. 2542
ทั้งสองประกาศลาออกจากราชการ หลังจากนั้นเพียง 2 วัน คือ 4 มี.ค. 2542 สนช.ไม่อนุมัติใบลาออก
แต่มีคำสั่งให้ ร.ต.ต.อาจหาญและร.ต.ต.วันเฉลิม ออกจากราชการแทน
และดำเนินคดีอาญาฐานปลอมแปลงเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม
6) วันที่ 29 พ.ค. 2542 “วันเฉลิม” ตกเป็นผู้ต้องหาอีก คราวนี้ถูกกล่าวหาว่า ทำร้ายร่างกาย
น.ส.สวิดา อึงศรีสวัสดิ์ อายุ 20 ปี นศ.มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ในงานปาร์ตี้ที่จัดขึ้น
โรงแรมรอยัลการ์เด้นท์ซีวิว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ท้องที่ ส.ภ.อ. บางละมุง
7) วันที่ 11 ก.ค. 2542 เวลา 01. 30 น. ถัดมา 1 เดือน 13 วัน กลุ่มของลูกชายนายเฉลิมก่อเหตุอีก
คราวนี้ไปทะเลาะก่อเรื่องวิวาทในผับ “เรด บาร์” ย่านอาร์ ซี เอ เขตห้วยขวาง คราวนี้ฉาวโฉ่สองเท่า
เมื่อนักข่าวและช่างภาพไทยรัฐไปทำข่าว แต่วันเฉลิมกับพวกไม่พอใจ พากันยื้อแย่งจะเอากล้องถ่ายรูป
ของช่างภาพไป พวกเขาได้แสดงอาการคุกคามด้วยการทุบรถนักข่าวด้วย เลยถูกกองบรรณาธิการข่าว
ไทยรัฐ แจ้งความดำเนินคดี ขณะที่สมาคมนักข่าวฯ ได้ออกแถลงการณ์ประณามพฤติกรรมดังกล่าว
แต่ในที่สุดพ่อเฉลิมที่ออกโรงไปอาละวาดตำรวจถึงโรงพัก ก็ต้องหันหัวเรือกลับพาลูกชายไปขอขมา
นักข่าวและช่างภาพไทยรัฐถึงโรงพิมพ์และขอร้องไม่ให้เอาความ
8) วันที่ 26 ก.ค. 2542 เพียง 15 วันหลังเกิดเหตุที่เรด บาร์ ก็ถึงคิวน้องนุชคนสุดท้องนาม ดวงเฉลิม
ที่ยังเตาะแตะเรียนหนังสืออยู่ เขาพาพวกไปก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับกลุ่มนักเที่ยวหน้า “สปาร์คผับ”
ชั้นใต้ดิน โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถ.รัชดาฯ มีการยิงปืนขึ้นฟ้า 2 นัด โชคดีของน้องดวงที่ไม่มีใคร
กล้ายื่นหน้ามาเป็นพยาน หรือกล่าวยืนยัน หรือแม้แต่จะกล้าให้ปากคำซัดทอดถึง
ทำให้นายดวงเฉลิมดวงดีรอดตัวไป
9) วันที่ 26 ก.ย. 2542 เวลา 03.15 น. อีกเพียง 2 เดือนถัดมาเท่านั้น นายดวงเฉลิมก็ไปก่อเรื่องอีก
คราวนี้เขาควบรถเก๋งกับเพื่อนอีก 4-5 คน ไปกดกริ่งที่หน้าประตูบ้านน.ส.ภัทรวลัย อนันตศิริภัทร อายุ 21 ปี
เพื่อนสาวที่อาศัยในซอยศูนย์วิจัย 4 ถ.พระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง ทั้งนี้เพื่อขอพบน.ส.ภัทรวลัย
ซึ่งเคยสนิทสนมกันมาก่อน แต่ปรากฏว่าสาวเจ้าไม่อยู่บ้าน นายดวงเฉลิมเข้าใจว่าผู้หญิงหลบหน้า
เลยอาละวาดกวาดกระถางต้นไม้ริมรั้วตกแตกเสียหาย แม่ของฝ่ายหญิงต้องโทรศัพท์แจ้งตำรวจ
เพราะกลัวนายดวงเฉลิมจะทำอะไรมากกว่านั้น ร้อนถึงผู้เป็นพ่ออีกตามเคย ต้องออกโรงโทร.เคลียร์
กับแม่ของหญิงสาวเพื่อไม่ให้เอาเรื่องกับลูกชายอารมณ์ร้อน
10) ย่างสู่ปี 2543 วันที่ 26 ม.ค. 43 คืออีก 4 เดือนถัดมา ลูกวันเฉลิมกับพวกก็ไปก่อเหตุอีก
คราวนี้ไปรุมทำร้ายนายเสริมชัย วัฒนเสนีย์ธรรม ลูกชายเจ้าของโรงแรมเรสซิเดนซ์ เซอร์วิส อพาร์ทเมนท์
เหตุเกิดที่ “บริท 99 คลับ” ในสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษฯ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ จนนายเสริมชัยบาดเจ็บสาหัส
หลังจากเขม่นกันเรื่อง “ผู้หญิง” แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พ่อเฉลิมออกมาประกาศต่อสาธารณชนว่า
ได้สั่งห้ามลูกชายเที่ยวกลางคืน หรือไปมีเรื่องกับใครอีกเป็นการเด็ดขาด เพราะลูกชาย 2 คน
เตรียมลงเลือกตั้ง เขาบอกกับสังคมไทยอย่างนั้นด้วยเหตุผลว่า ถ้าออกไปเอะอะอันธพาลเกรงว่า
ประชาชนจะไม่ยอมรับ!!!
ในเมลนี้ให้ข้อมูลละเอียดว่า ท้ายที่สุดแล้วคดีที่เกิดขึ้นนี้ศาลพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2544
เนื่องจากหลักฐานฝ่ายโจทย์อ่อน และยังอธิบายต่อไปอีกว่า หลังจากนั้นมาเรื่องราวอันธพาล
ป่วนบ้านป่วนเมืองของลูกชายนายเฉลิม อยู่บำรุงก็ซาลงไป เนื่องจาก “อาจหาญและวันเฉลิม”
ต้องเร่งสร้างภาพใหม่ด้วยการลงพื้นที่หาเสียงในเขตฝั่งธนฯ
อย่างไรก็ตามผู้ทำเมลยังให้ข้อมูล “ซุบซิบ” เพิ่มเติมว่า ที่ไม่ได้ยินไม่ได้แปลว่า สงบ ไม่ได้เห็นแปลว่า จบ
แต่กลับพบว่า ลูกชายบางคนของสิงห์เหลิมจำเป็นต้องหนีร้อนไปพึ่งเย็นถึง “ออสเตรเลีย” เพราะโดน
“ฟ้าผ่า” หาใช่เรื่องอื่นใดไม่ แม้ผู้เป็นพ่อจะปฏิเสธว่าลูกชาย 2 คนเก็บตัวรอลงเลือกตั้งและคนเล็ก
เรียนปริญญาโทอย่างหนักก็ไม่สามารถกลบร่องรอยข่าวลือที่ลุกลามดั่งไฟลามทุ่งได้
11) จวบจนเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2543 ผ่านมา 8 เดือนกับ 17 วัน นายดวงเฉลิมก็ออกจากถ้ำ เขาโตแล้ว
และเดินตามรอยเท้าพี่ชาย 2 คนอย่างไม่น่าเชื่อ วันนั้นเขาทะเลาะกับนศ.เอแบค ที่คาเฟ่ เรคคอร์ด
ซึ่งคราวนี้ดูอื้อฉาวกว่าทุกครั้ง เพราะผู้เป็นพ่อกระโดดเข้าร่วมวงถล่มตำรวจด้วยการยืนด่ากราดตำรวจ
ทั้ง สน.ทองหล่อ และนักข่าว นสพ.เดลินิวส์ ด้วยใบหน้าแดงก่ำคล้ายคนเมา เป็นการร่วมวงพ่อ-ลูก
ด้วยอาการเบรกแตก ดังนั้นพ่อเฉลิมจึงตกเป็นจำเลยพร้อมลูกๆ ฐานหมิ่นประมาทตำรวจ
แถมเป็นจำเลยสังคมฐานเกรี้ยวกราดหยาบคายเกินเหตุ เลี้ยงลูกไม่ได้ดีเป็นอันธพาล
สังคมไทยเฆี่ยนตีเฉลิมและลูกชายอย่างไม่ปรานีไปทุกหย่อมหญ้า
ช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปี 2544 ไม่มีข่าวฉาวของลูกชายสุดที่รักของเฉลิมอีกเลย เหตุเพราะ 2 คนแรก
ลงเลือกตั้งแม้สอบตกแต่ “วันเฉลิม” ได้เป็นที่ปรึกษาฯ นายบุญจง วีสมหมาย รองประธานสภาฯ คนที่ 2
ส่วนดวงเฉลิมไปบวชเมื่อ 6 เม.ย. 44 โดยมี “ลุงจิ๋ว – พล.อ. ชวลิต” รองนายกฯและ
รัฐมนตรีกลาโหมยุคนั้น สะพายบาตรนำส่งเข้าโบสถ์ด้วยตนเอง
http://hilight.kapook.com/view/23041
ย้อนรอยคดี ดวงเฉลิม ก่อน สมัคร คืนยศให้รับราชการอีก
หลังจากนั้นไม่กี่วัน พล.อ.ชวลิตก็ลงนามให้นายดวงเฉลิมเข้าเป็นนายทหารสังกัด
สำนักงานเลขานุการ รมว.กลาโหม อยู่กับพล.ต.ศรชัย มนตริวัต เลขานุการ รมว.กลาโหม
และในวันที่ 8 มิ.ย. ได้รับการประดับยศเป็น “ร้อยตรี” จากมือของ “ลุงจิ๋ว” วันนั้น
ร.ต.ดวงเฉลิมให้สัมภาษณ์น่ารักว่า “เดี๋ยวนี้กลางคืนไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย
ประมาณสี่ทุ่มก็เข้านอนแล้ว เพราะต้องทำงานเช้า”
12) วันที่ 29 ต.ค. 2544 เวลา 01.30 น. หลังดวงเฉลิมให้สัมภาษณ์ด้วยอารมณ์จุ๋มจิ๋มผ่านไป 1 ปี 17 วัน
เขาก่อเหตุยิงด.ต.สุวิชัย รอดวิมุติ ตำรวจกองปราบปราม “ตาย” ใน “ทเวนตี้ ผับ” โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค
ถ.รัชดาภิเษก และถูกออกหมายจับในวันเดียวกัน เป็นคดีที่ถือว่า “ร้ายแรง” ที่สุด “สะเทือนขวัญ”
สังคมไทยมากที่สุด นับตั้งแต่ 3 พี่น้อง “อยู่บำรุง” เคยก่อขึ้นมา
เรื่องดาบยิ้มกับพวกอยู่บำรุง เป็นเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่สังคมไทยจะยอมรับกับ
พฤติกรรมอันธพาลไร้ขีดจำกัด ของพวก “อยู่บำรุง” ได้ ยิ่งพ่อออกมาป้องลูกด้วยการ
โยนความผิดให้ “ไอ้ปื้ด” เป็นคนยิงดาบยิ้มแล้วหนีไป ยิ่งพี่ชายออกมาป้องน้องเล็ก
จนเกือบจะยิงนายตำรวจสัญญาบัตรตายในพื้นที่ตามไปด้วยอีกหนึ่งคน ยิ่งดวงเฉลิมหนีคดี
แล้วกลับมาเยี่ยงวีรบุรุษ...ยิ่งทำให้สังคมไทยคับแค้นแน่นใจกับคนในบ้านนี้ทุกคน
...เสียงก่นด่าของผู้คนดังอื้ออึงไปทั่วปฐพี และไม่มีสักวันที่คนไทยจะลืมวีรกรรมของ
“อยู่บำรุง” ทั้ง 3 คนได้...จบเมลนี้ที่บรรทัดนี้
เฮ้อ....พอลอกเมลนี้จบ...พบว่าวิธีเขียนคล้ายนักข่าวสรุปข่าวเด็ด...อ่านแล้วเผ็ดจนต้องลำเลียงมาให้ทัศนา
งานนี้เฉลิมงานเข้า เพราะเมลนี้ถูกส่งกันยุ่บยั่บสะใจ แถมออกมาหลังเฉลิมด่า “เจ๊” ทันทีทันควัน
ไม่สงสัยก็ต้องสงสัย ไม่มีควันไม่มีไฟ....งานนี้พูดได้เลยว่า ไม่มีใครยอมใคร ไม่มีการยอมกัน
มึงหมัดกูหมัด มึงจิกหัวขึ้นอ้ายเรียกอี กูจะบี้ลูกมึงให้บรรลัย...จะขยี้ 3 หัวใจให้ร้าวราน
การสรุปข่าวความชั่วของลูกชาย 3 คนของพี่เหลิมในเมลนี้ บรรดานักข่าวเขาถือกันว่า
เป็นงานตอบโต้แสนเร้าใจชนิดที่นางมารสวมพราด้ายังต้องเรียกแม่ – ที่เป็นเช่นนี้เพราะพี่เหลิม-
แฟนฉันปากพล่อยหาเรื่องให้ลูกชายตัวเองแท้ๆ เข้าข่ายมีหัวไว้แยกหูสองข้างจริงๆ ทำไมทำมา
เลยแพ้คุณหญิงมิดไนท์หลุดลุ่ย...โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว ยังคิดไม่ออกอีกหรือว่า
การลงไปลุยในสงครามดอกไม้ เด็ดเมื่อไร สะเทือนใจถึงดูไบเมื่อนั้น
ไม่น่าปากพล่อยเลย เดี๋ยวได้อดตายยกครัว…ไม่รักไม่เตือนนะเนี่ย...ต่อจากนี้ไปขอให้ใช้ชีวิต
รอบคอบและโชคดี ทั้งขอให้ 3 ลูกชายมีชีวิตรอดจากกรงเล็บเจ๊ใหญ่จนได้บวชแทนคุณพ่อ
วันเผาผี...เพราะได้ยินว่า จิกหัวกันอย่างนี้ “มีแค้น”...ถ้าอยากรู้ว่า แค้นฝังหุ่นคนไซส์ XXL
เป็นอย่างไร ให้ถาม “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รายนั้นรู้ดี -ตอบได้
รักนะ...จุ๊บ จุ๊บ
โดย อัญชะลี ไพรีรัก 3 กุมภาพันธ์ 2553 19:58 น.
กิดมาโชคดีเป็นคนสวย แสนดี มีเมตตามหานิยมเหลือเฟือขนาดนี้แล้ว จะให้นั่งนิ่งดูดาย
ปล่อยให้ “หวานใจ จุ๊บ จุ๊บ” สำรากใส่ “เจ้นิดหน่อย” แต่เพียงฝ่ายเดียวได้อย่างไร งานนี้
ขอแส่-ออกโรง-เสนอหน้า-ยื่นจมูกเข้าไปยุ่ง...ทำไงได้!!! ลูกผู้หญิงต้องเห็นใจลูกผู้หญิงด้วยกัน
คล้ายๆ “เลดี้กาก้า” เมตตา “คุณหญิงมิดไนท์” อะไรทำนองนี้
เรื่องของเรื่องมาจากข่าว “บิ๊กบางบอน” สำรอกใส่ “บิ๊กหน่อย XXL” แบบเปิดหน้าชกด้วย
หมัดมวยรุ่นเก๋าที่ไม่พูดพล่ามทำเพลง ขึ้นเวทีผ้าใบก็พุ่งเข้าตีเข่าเขย่าหน่อย แบบคลุกวงใน
เฉียดใต้สะดือ กรรมการห้ามมวยเห็นกันจะจะ แต่เมินหน้าแกล้งมองไม่เห็น นัยว่าเกรงจะถูกลูกหลง
เหมือน “นายดาบคนนั้น” ที่บัดนี้ครอบครัวของเขายังยิ้มไม่ออก หลังจากไอ้ปื้ดยิงหัวหน้าครอบครัว
เขาตายในผับดังย่านรัชดาฯ เมื่อหลายปีก่อน
เหลือบไปเห็น Forward mail จากกัลยาณมิตรท่านหนึ่งที่ส่งมาให้ เป็นเมล์ที่เกิดขึ้นทันควันหลัง
บิ๊กบางบอนด่ากราดศัตรูการเมืองไปทั่วพรรค โดยเฉพาะเรื่องความมักใหญ่ใฝ่สูง และจุ้นจ้านไม่เข้าท่า
ของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งใกล้ชิดกับ “ทักษิณ” จนเป็นที่รู้กันทั่ว แต่นักเลงใหญ่บางบอนผู้ไม่เคยกลัวใคร
นอกจากลูกชาย 3 คน ถึงกับจิกหัวเรียกว่า “อีหน่อย”
งานนี้เห็นแล้วอดสงสัยไม่ได้เลยว่า เมลนี้ถูกเตรียมไว้นานแล้ว รอแต่โอกาสเหมาะๆ มาถึงเมื่อไรเท่านั้นเอง…
และโอกาสนั้นก็มาถึงแล้ว เมื่อ “เฉลิม” ท้ารบด้วยการออกอาวุธลับสับ “คุณหญิงมิดไนท์” อย่างไม่ยั้งไมตรี
ลำดับถัดจากนี้ไปขอพี่น้องจงศึกษาการเรียบเรียงเรื่อง “12 วีรกรรม 3 พี่น้องอยู่บำรุง” จาก Forward mail นี้
ให้ดีเถิด เพราะเมลนี้คนทำเขาแม่นยำเรื่องข้อมูล และเก่งในการเรียงลำดับเรื่อง โดยเกริ่นนำด้วยถ้อยคำ
จุดชนวนเร้าใจน่าติดตามว่า
“ข่าวลือจบไป...จากนี้อยากจะพลิกตำนานเรื่องจริง 12 วีรกรรม 3 พี่น้องตระกูลอยู่บำรุง ซึ่งถือว่าอันตรายมากๆ
ในยุคนั้น...โดยเหตุการณ์ที่ลูกชาย ร.ต.อ.เฉลิม ทั้ง 3 คน เข้าไปพัวพันในช่วงเวลา นับจากปี 2540 – 2544
ทำสถิติ 4 ปี 12 คดี ซึ่งขณะนั้นร.ต.อ.เฉลิม เป็นรองหัวหน้าพรรคความหวังใหม่”
เมื่ออ่านจนจบก็พบว่า เมลชุดนี้ก็ใช้วิธีการสรุปวีรกรรมสั้นๆ เหมือนการสรุปข่าว แล้วลำดับเหตุการณ์
ความชั่วช้าเลวทรามของลูกชาย 3 คนจากตระกูลอยู่บำรุง ...สั้น กระชับ ตรงไปตรงมา ไม่ลีลาเยิ่นเย้อ
โดยเริ่มตั้งแต่
1 ) วันที่ 12 เมษายน 2540 เวลา 02.00 เศษ กับกรณี “ร.ต.ต.วันเฉลิม” ตามพ่อไปตรวจราชการของ
กระทรวงมหาดไทยที่ภูเก็ต แล้วไปมีเรื่องชกต่อยกับนักเที่ยวในผับเอลี่ยน ผลปรากฏว่า มีคนถูกยิง 2 คน
บาดเจ็บจำนวนมาก วันเฉลิมอดีตตำรวจติดตามพ่อเหลิม รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ตกเป็นหนึ่งในจำเลย
2) วันที่ 27 มี.ค. 41 เวลา 01.45 น. (อีก 16 วันครบ 1 ปี)...(ผู้เขียน...คนทำเมลให้ข้อมูลละเอียด
ขนาดนับเวลาให้เสร็จสรรพ) ...ร.ต.ต.วันเฉลิมกับพวกถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุทะเลาะกับกลุ่มวัยรุ่น
ของ น.ส.กาญจนา นุ่มน้ำมูล แฟนสาวของลูกชายนายสิทธิพร ขำอาจ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์
และนายวินัย หรือ ปาน แซ่ตั้ง หัวคะแนนนายสิทธิพร ที่ฟิวเจอร์ ผับ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค
แต่เนื่องจากไม่มีพยานยืนยันว่า นายวันเฉลิมร่วมลงมือ ดังนั้นเมื่อเดือนกันยายน 2541 อัยการเลยสั่งไม่ฟ้อง
3) วันที่ 1 สิงหาคม 41 เวลา 23.00 น. ถัดมา 4 เดือน 4 วัน ร.ต.ต.วันเฉลิมเจ้าเก่า ถูกแจ้งความดำเนินคดี
ฐานทำร้ายร่างกาย นายอัครเดช สุขรังสรรค์ บุตรชายนายประสาน สุขรังสรรค์ อดีตรองอธิบดี
กรมการปกครอง จนได้รับบาดเจ็บสาหัสในงานเลี้ยงของนายอัครเดช ที่ฉลองการจบจากคณะพาณิชยศาสตร์
และการบัญชีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่“ทอรัส ผับ”
4) วันที่ 1 ต.ค. 41 เวลา 01.30 น. ถัดมา 2 เดือน เป็นคิวของพี่ชายคนโต เมื่อร.ต.ต.อาจหาญ
ถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกายน.ส.ปทิตตา พรรณโอรส นศ.มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ
(เอแบค) อดีตแฟนสาวที่นาซีซีส ผับ (ผู้เขียน....ประเด็นนี้ขอเพิ่มเติมจากแหล่งข่าวกล่าวว่า
พี่เขาจับหัวผู้หญิงโขกกับเสาโรมันที่หน้าผับคะ)
5) ย่างเข้าสู่ปี 2542 ร.ต.ต.อาจหาญ และร.ต.ต.วันเฉลิม ตกเป็นผู้ต้องหาอีก โดย 2 พี่น้องเจอข้อหา
ใช้ใบเกณฑ์ทหาร หรือ สด. 43 ปลอม สมัครเข้ารับราชการตำรวจ พอถึงวันที่ 2 มี.ค. 2542
ทั้งสองประกาศลาออกจากราชการ หลังจากนั้นเพียง 2 วัน คือ 4 มี.ค. 2542 สนช.ไม่อนุมัติใบลาออก
แต่มีคำสั่งให้ ร.ต.ต.อาจหาญและร.ต.ต.วันเฉลิม ออกจากราชการแทน
และดำเนินคดีอาญาฐานปลอมแปลงเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม
6) วันที่ 29 พ.ค. 2542 “วันเฉลิม” ตกเป็นผู้ต้องหาอีก คราวนี้ถูกกล่าวหาว่า ทำร้ายร่างกาย
น.ส.สวิดา อึงศรีสวัสดิ์ อายุ 20 ปี นศ.มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ในงานปาร์ตี้ที่จัดขึ้น
โรงแรมรอยัลการ์เด้นท์ซีวิว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ท้องที่ ส.ภ.อ. บางละมุง
7) วันที่ 11 ก.ค. 2542 เวลา 01. 30 น. ถัดมา 1 เดือน 13 วัน กลุ่มของลูกชายนายเฉลิมก่อเหตุอีก
คราวนี้ไปทะเลาะก่อเรื่องวิวาทในผับ “เรด บาร์” ย่านอาร์ ซี เอ เขตห้วยขวาง คราวนี้ฉาวโฉ่สองเท่า
เมื่อนักข่าวและช่างภาพไทยรัฐไปทำข่าว แต่วันเฉลิมกับพวกไม่พอใจ พากันยื้อแย่งจะเอากล้องถ่ายรูป
ของช่างภาพไป พวกเขาได้แสดงอาการคุกคามด้วยการทุบรถนักข่าวด้วย เลยถูกกองบรรณาธิการข่าว
ไทยรัฐ แจ้งความดำเนินคดี ขณะที่สมาคมนักข่าวฯ ได้ออกแถลงการณ์ประณามพฤติกรรมดังกล่าว
แต่ในที่สุดพ่อเฉลิมที่ออกโรงไปอาละวาดตำรวจถึงโรงพัก ก็ต้องหันหัวเรือกลับพาลูกชายไปขอขมา
นักข่าวและช่างภาพไทยรัฐถึงโรงพิมพ์และขอร้องไม่ให้เอาความ
8) วันที่ 26 ก.ค. 2542 เพียง 15 วันหลังเกิดเหตุที่เรด บาร์ ก็ถึงคิวน้องนุชคนสุดท้องนาม ดวงเฉลิม
ที่ยังเตาะแตะเรียนหนังสืออยู่ เขาพาพวกไปก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับกลุ่มนักเที่ยวหน้า “สปาร์คผับ”
ชั้นใต้ดิน โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถ.รัชดาฯ มีการยิงปืนขึ้นฟ้า 2 นัด โชคดีของน้องดวงที่ไม่มีใคร
กล้ายื่นหน้ามาเป็นพยาน หรือกล่าวยืนยัน หรือแม้แต่จะกล้าให้ปากคำซัดทอดถึง
ทำให้นายดวงเฉลิมดวงดีรอดตัวไป
9) วันที่ 26 ก.ย. 2542 เวลา 03.15 น. อีกเพียง 2 เดือนถัดมาเท่านั้น นายดวงเฉลิมก็ไปก่อเรื่องอีก
คราวนี้เขาควบรถเก๋งกับเพื่อนอีก 4-5 คน ไปกดกริ่งที่หน้าประตูบ้านน.ส.ภัทรวลัย อนันตศิริภัทร อายุ 21 ปี
เพื่อนสาวที่อาศัยในซอยศูนย์วิจัย 4 ถ.พระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง ทั้งนี้เพื่อขอพบน.ส.ภัทรวลัย
ซึ่งเคยสนิทสนมกันมาก่อน แต่ปรากฏว่าสาวเจ้าไม่อยู่บ้าน นายดวงเฉลิมเข้าใจว่าผู้หญิงหลบหน้า
เลยอาละวาดกวาดกระถางต้นไม้ริมรั้วตกแตกเสียหาย แม่ของฝ่ายหญิงต้องโทรศัพท์แจ้งตำรวจ
เพราะกลัวนายดวงเฉลิมจะทำอะไรมากกว่านั้น ร้อนถึงผู้เป็นพ่ออีกตามเคย ต้องออกโรงโทร.เคลียร์
กับแม่ของหญิงสาวเพื่อไม่ให้เอาเรื่องกับลูกชายอารมณ์ร้อน
10) ย่างสู่ปี 2543 วันที่ 26 ม.ค. 43 คืออีก 4 เดือนถัดมา ลูกวันเฉลิมกับพวกก็ไปก่อเหตุอีก
คราวนี้ไปรุมทำร้ายนายเสริมชัย วัฒนเสนีย์ธรรม ลูกชายเจ้าของโรงแรมเรสซิเดนซ์ เซอร์วิส อพาร์ทเมนท์
เหตุเกิดที่ “บริท 99 คลับ” ในสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษฯ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ จนนายเสริมชัยบาดเจ็บสาหัส
หลังจากเขม่นกันเรื่อง “ผู้หญิง” แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พ่อเฉลิมออกมาประกาศต่อสาธารณชนว่า
ได้สั่งห้ามลูกชายเที่ยวกลางคืน หรือไปมีเรื่องกับใครอีกเป็นการเด็ดขาด เพราะลูกชาย 2 คน
เตรียมลงเลือกตั้ง เขาบอกกับสังคมไทยอย่างนั้นด้วยเหตุผลว่า ถ้าออกไปเอะอะอันธพาลเกรงว่า
ประชาชนจะไม่ยอมรับ!!!
ในเมลนี้ให้ข้อมูลละเอียดว่า ท้ายที่สุดแล้วคดีที่เกิดขึ้นนี้ศาลพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2544
เนื่องจากหลักฐานฝ่ายโจทย์อ่อน และยังอธิบายต่อไปอีกว่า หลังจากนั้นมาเรื่องราวอันธพาล
ป่วนบ้านป่วนเมืองของลูกชายนายเฉลิม อยู่บำรุงก็ซาลงไป เนื่องจาก “อาจหาญและวันเฉลิม”
ต้องเร่งสร้างภาพใหม่ด้วยการลงพื้นที่หาเสียงในเขตฝั่งธนฯ
อย่างไรก็ตามผู้ทำเมลยังให้ข้อมูล “ซุบซิบ” เพิ่มเติมว่า ที่ไม่ได้ยินไม่ได้แปลว่า สงบ ไม่ได้เห็นแปลว่า จบ
แต่กลับพบว่า ลูกชายบางคนของสิงห์เหลิมจำเป็นต้องหนีร้อนไปพึ่งเย็นถึง “ออสเตรเลีย” เพราะโดน
“ฟ้าผ่า” หาใช่เรื่องอื่นใดไม่ แม้ผู้เป็นพ่อจะปฏิเสธว่าลูกชาย 2 คนเก็บตัวรอลงเลือกตั้งและคนเล็ก
เรียนปริญญาโทอย่างหนักก็ไม่สามารถกลบร่องรอยข่าวลือที่ลุกลามดั่งไฟลามทุ่งได้
11) จวบจนเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2543 ผ่านมา 8 เดือนกับ 17 วัน นายดวงเฉลิมก็ออกจากถ้ำ เขาโตแล้ว
และเดินตามรอยเท้าพี่ชาย 2 คนอย่างไม่น่าเชื่อ วันนั้นเขาทะเลาะกับนศ.เอแบค ที่คาเฟ่ เรคคอร์ด
ซึ่งคราวนี้ดูอื้อฉาวกว่าทุกครั้ง เพราะผู้เป็นพ่อกระโดดเข้าร่วมวงถล่มตำรวจด้วยการยืนด่ากราดตำรวจ
ทั้ง สน.ทองหล่อ และนักข่าว นสพ.เดลินิวส์ ด้วยใบหน้าแดงก่ำคล้ายคนเมา เป็นการร่วมวงพ่อ-ลูก
ด้วยอาการเบรกแตก ดังนั้นพ่อเฉลิมจึงตกเป็นจำเลยพร้อมลูกๆ ฐานหมิ่นประมาทตำรวจ
แถมเป็นจำเลยสังคมฐานเกรี้ยวกราดหยาบคายเกินเหตุ เลี้ยงลูกไม่ได้ดีเป็นอันธพาล
สังคมไทยเฆี่ยนตีเฉลิมและลูกชายอย่างไม่ปรานีไปทุกหย่อมหญ้า
ช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปี 2544 ไม่มีข่าวฉาวของลูกชายสุดที่รักของเฉลิมอีกเลย เหตุเพราะ 2 คนแรก
ลงเลือกตั้งแม้สอบตกแต่ “วันเฉลิม” ได้เป็นที่ปรึกษาฯ นายบุญจง วีสมหมาย รองประธานสภาฯ คนที่ 2
ส่วนดวงเฉลิมไปบวชเมื่อ 6 เม.ย. 44 โดยมี “ลุงจิ๋ว – พล.อ. ชวลิต” รองนายกฯและ
รัฐมนตรีกลาโหมยุคนั้น สะพายบาตรนำส่งเข้าโบสถ์ด้วยตนเอง
http://hilight.kapook.com/view/23041
ย้อนรอยคดี ดวงเฉลิม ก่อน สมัคร คืนยศให้รับราชการอีก
หลังจากนั้นไม่กี่วัน พล.อ.ชวลิตก็ลงนามให้นายดวงเฉลิมเข้าเป็นนายทหารสังกัด
สำนักงานเลขานุการ รมว.กลาโหม อยู่กับพล.ต.ศรชัย มนตริวัต เลขานุการ รมว.กลาโหม
และในวันที่ 8 มิ.ย. ได้รับการประดับยศเป็น “ร้อยตรี” จากมือของ “ลุงจิ๋ว” วันนั้น
ร.ต.ดวงเฉลิมให้สัมภาษณ์น่ารักว่า “เดี๋ยวนี้กลางคืนไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย
ประมาณสี่ทุ่มก็เข้านอนแล้ว เพราะต้องทำงานเช้า”
12) วันที่ 29 ต.ค. 2544 เวลา 01.30 น. หลังดวงเฉลิมให้สัมภาษณ์ด้วยอารมณ์จุ๋มจิ๋มผ่านไป 1 ปี 17 วัน
เขาก่อเหตุยิงด.ต.สุวิชัย รอดวิมุติ ตำรวจกองปราบปราม “ตาย” ใน “ทเวนตี้ ผับ” โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค
ถ.รัชดาภิเษก และถูกออกหมายจับในวันเดียวกัน เป็นคดีที่ถือว่า “ร้ายแรง” ที่สุด “สะเทือนขวัญ”
สังคมไทยมากที่สุด นับตั้งแต่ 3 พี่น้อง “อยู่บำรุง” เคยก่อขึ้นมา
เรื่องดาบยิ้มกับพวกอยู่บำรุง เป็นเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่สังคมไทยจะยอมรับกับ
พฤติกรรมอันธพาลไร้ขีดจำกัด ของพวก “อยู่บำรุง” ได้ ยิ่งพ่อออกมาป้องลูกด้วยการ
โยนความผิดให้ “ไอ้ปื้ด” เป็นคนยิงดาบยิ้มแล้วหนีไป ยิ่งพี่ชายออกมาป้องน้องเล็ก
จนเกือบจะยิงนายตำรวจสัญญาบัตรตายในพื้นที่ตามไปด้วยอีกหนึ่งคน ยิ่งดวงเฉลิมหนีคดี
แล้วกลับมาเยี่ยงวีรบุรุษ...ยิ่งทำให้สังคมไทยคับแค้นแน่นใจกับคนในบ้านนี้ทุกคน
...เสียงก่นด่าของผู้คนดังอื้ออึงไปทั่วปฐพี และไม่มีสักวันที่คนไทยจะลืมวีรกรรมของ
“อยู่บำรุง” ทั้ง 3 คนได้...จบเมลนี้ที่บรรทัดนี้
เฮ้อ....พอลอกเมลนี้จบ...พบว่าวิธีเขียนคล้ายนักข่าวสรุปข่าวเด็ด...อ่านแล้วเผ็ดจนต้องลำเลียงมาให้ทัศนา
งานนี้เฉลิมงานเข้า เพราะเมลนี้ถูกส่งกันยุ่บยั่บสะใจ แถมออกมาหลังเฉลิมด่า “เจ๊” ทันทีทันควัน
ไม่สงสัยก็ต้องสงสัย ไม่มีควันไม่มีไฟ....งานนี้พูดได้เลยว่า ไม่มีใครยอมใคร ไม่มีการยอมกัน
มึงหมัดกูหมัด มึงจิกหัวขึ้นอ้ายเรียกอี กูจะบี้ลูกมึงให้บรรลัย...จะขยี้ 3 หัวใจให้ร้าวราน
การสรุปข่าวความชั่วของลูกชาย 3 คนของพี่เหลิมในเมลนี้ บรรดานักข่าวเขาถือกันว่า
เป็นงานตอบโต้แสนเร้าใจชนิดที่นางมารสวมพราด้ายังต้องเรียกแม่ – ที่เป็นเช่นนี้เพราะพี่เหลิม-
แฟนฉันปากพล่อยหาเรื่องให้ลูกชายตัวเองแท้ๆ เข้าข่ายมีหัวไว้แยกหูสองข้างจริงๆ ทำไมทำมา
เลยแพ้คุณหญิงมิดไนท์หลุดลุ่ย...โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว ยังคิดไม่ออกอีกหรือว่า
การลงไปลุยในสงครามดอกไม้ เด็ดเมื่อไร สะเทือนใจถึงดูไบเมื่อนั้น
ไม่น่าปากพล่อยเลย เดี๋ยวได้อดตายยกครัว…ไม่รักไม่เตือนนะเนี่ย...ต่อจากนี้ไปขอให้ใช้ชีวิต
รอบคอบและโชคดี ทั้งขอให้ 3 ลูกชายมีชีวิตรอดจากกรงเล็บเจ๊ใหญ่จนได้บวชแทนคุณพ่อ
วันเผาผี...เพราะได้ยินว่า จิกหัวกันอย่างนี้ “มีแค้น”...ถ้าอยากรู้ว่า แค้นฝังหุ่นคนไซส์ XXL
เป็นอย่างไร ให้ถาม “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รายนั้นรู้ดี -ตอบได้
รักนะ...จุ๊บ จุ๊บ
Unknown- จำนวนข้อความ : 517
Registration date : 09/09/2008
หน้า 2 จาก 2 • 1, 2
หน้า 2 จาก 2
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|