Any Doc!!!!
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

หน้า 2 จาก 2 Previous  1, 2

Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:19 am

ส่วนที่ ๔ กลยุทธ์ติดพัน
เมื่อเกิดศึกชุลมุน พึงตีหัวใจเป็นสำคัญ
ลวงข้าศึกให้หย่อนการป้องกัน
สยบข้าศึกด้วยอ่อนพิชิตแข็ง

กลยุทธ์ที่ ๒๐ กวนน้ำจับปลา

ศัตรูปั่นป่วนภายใน พึงเอาประโยชน์เพราะไร้สติ ให้คล้อยตามเรา ดุจดั่งต้องหลับนอนยามค่ำ

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกเกิดความปั่นป่วนในกองทัพของตน เราจักต้องฉวยโอกาสความวุ่นวาย
มิรู้ที่จะทำประการใดของข้าศึก แย่งยึดเอาผลประโยชน์มา หรืออีกนัยหนึ่ง “เอาชัยจากความปั่นป่วน”
ดุจดังพายุฝนกระหน่ำยามค่ำคืน ที่ต่ำก็จักขังน้ำ ผู้คนจักเข้าสู่นิทรารมณ์ อันเป็นปกติวิสัยของธรรมชาติ
และมนุษย์ “ กวนน้ำจับปลา” ก็คือกวนน้ำให้ขุ่น ให้ปลางุนงง ลงจับก็ง่าย อันนับเป็นกลยุทธ์ฉวยโอกาส
เข้าตีเอาชัย เมื่อข้าศึกกำลังชุลมุนปั่นป่วนอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ
ใน “จดหมายเหตุราชวงศ์ถังเก่า ประวัติฮวนเหนือ” ,มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ ดังต่อไปนี้
ในราชการสมัยของพระเจ้าถังเสียนจงฮ่องเต้ แห่งราชวงศ์ถัง นับตั้งแต่ปีที่ ๔ ถึงปีที่ ๑๓ ของรัชกาลเสียนจง
(ค.ศ. ๗๑๖ – ๗๒๕) อันเป็นเวลานาน ๑๐ ปี ฮวนเผ่าชี่ตันกับเผ่าซีแม้จะเปลี่ยนหัวหน้าเผ่ามาถึง ๕ คน
ก็ยังส่งเครื่องบรรณาการมาถวายราชสำนักถึงตลอดมา พระเจ้าถังเสียนจงฮ่องเต้จึงยกธิดาของอันเฉิงกงจู่
ชื่อเหว่ยสื้อ ให้เสกสมรสกับหลี่หลู่ซูหัวหน้าเผ่าซี และยก พระภาคิไนยตงหวากงจู่ เสกสมรสให้กับหลี่ส้าวกู้
หัวหน้าเผ่าซี่ตัน

ครั้นถึงปีที่ ๑๕ แห่งรัชกาลเสียนจงฮ่องเต้ หลี่ส้าวกู้ก็ให้ขุนพลเคอทูข่านเป็นทูตนำเครื่องบรรณาการ
มาถวายแด่ราชสำนักถังยังเมืองหลวงฉางอัน หน้าตาของเคอทูข่านอัปลักษณ์นัก หน้าผากโหนก ตาโปน
หน้าดำ หนวดเหลือง ขาทั้งสองก็เกเดินขากางเพราะขี่ม้าอยู่เสมอมา หลี่หยวนหง ก็รู้สึกขำ อดไว้มิได้
จึงหัวเราะออกเสียง จนได้ยินกันไปทั่วทั้งท้องพระโรง เคอทูข่านรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์
ก็มิกล้าที่จะแสดงความโกรธเกรี้ยวให้ประจักษ์ ได้แต่ฮึดฮัดอยู่ คิดอาฆาตในใจอย่างรุนแรง
หลี่หยวนหงมิใช่แต่จะมิรู้สำนักผิดที่เสียมารยาทต่อทูต หลังเลิกเฝ้าออกขุนนางแล้ว หากมิตำหนิว่า
เครื่องบรรณาการน้อยเกินไป ก็มักจะพูดหัวเราะเยาะว่ารูปร่างหน้าตาของเคอทูข่านช่างผิดมนุษย์นัก
เคอทูข่านจึงยิ่งรู้สึกเจ็บแค้นหนักขึ้น ก่อนเดินทางออกจากนครฉางอัน ก็สาบานว่าจะกลับมาแก้แค้น
ในความอับอายครั้งนี้ให้จงได้ ความรู้ไปถึงหูของจางซ่อผู้รู้เรื่องราวของชายแดนดี จึงกราบทูลเสียนจงฮ่องเต้ว่า
“เคอทูข่านกลับไปคราวนี้ เห็นทีเผ่าชี่ตันจักแข็งข้อเป็นแน่แท้” แต่เสียนจงฮ่องเต้มิทรงเห็นเป็นเช่นนั้น

เมื่อเคอทูข่านแบกความอัปยศกลับไปยังบ้านเมืองของตนแล้ว ก็ยุยงให้หลี่ส้าวกู้แข็งอำนาจต่อราชวงศ์ถัง
เป็นหลายครั้ง แต่หลี่ส้าวกู้เกี่ยวดองเป็นประยูรญาติกับราชวงศ์ถังแล้ว จึงมิคิดจะทำการใดให้เกิดเหตุ
อันจะเป็นที่ระคายเคือง ต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่าง ๒ ฝ่าย เคอทูข่านยุหลี่ส้าวกู้อยู่ ๒ ปี ไม่สำเร็จ
ก็แค้นใจจับหลี่ส้าวกู้ฆ่าเสียแล้วตั้งให้ ชี่เลี้ยขึ้นมาเป็นหัวหน้าเผ่าแทน ทั้งข่มขู่บังคับให้เผ่าซีมาร่วมแข็งอำนาจ
พร้อมกับซี่ตันด้วย ตงหวากงจู่ภรรยาของหลี่ส้าวกู้ กับหลี่หลู่ซูหัวหน้าเผ่าซีและภรรยา เห็นเคอทูข่านกบฏ
ฆ่าเจ้านายของตนได้ลงคอก็รีบหนีไปยังเมืองซิวโจว (ปักกิ่งในปัจจุบัน) จ้าวหานจางเจ้าเมืองซิวโจว
จึงรีบมีหนังสือแจ้งข่าวไปยังเมืองหลวง

พระเจ้าถังเสียนจงฮ่องเต้กลับเห็นไปว่า ชายแดนแถบนี้สงบสุขมาช้านานที่เคอทูข่านฆ่า หลี่ส้าวกู้
เป็นเพียงกรณีพิพาทภายใน อันเป็นเรื่องการแย่งชิงอำนาจของเผ่าซี่ตันเอง คงจะมิบังอาจแตะต้อง
อาณาจักรของราชวงศ์ถังเป็นแน่ จึงเพียงแต่มี พระราชโองการให้เจ้าเมืองซิวโจวจ้าวหานจาง
ส่งทหารออกปรามมิให้เหตุการณ์ลุกลามขยายตัวออกไปเท่านั้น จ้าวหานจางจึงยกทัพออกปราบ
เคอทูข่านกับซี่เลี้ยหัวหน้าเผ่าสู้ไม่ไหวก็หลบหนีหัวซุกหัวซน ส่วนเผ่าซีซึ่งความจริง มิคิดจะก่อเรื่องอยู่แล้ว
ก็ยอมสยบแต่โดยดี แต่เคอทูข่านแม้จะต้องได้รับความพ่ายแพ้ถึงกระทั่งต้องหลบหนีกระเจิดกระเจิง
ทว่าในใจหาได้ยอมจำนนไม่ คิดแต่ว่าแค้นนี้ต้องชำระ จึงบุกป่าฝ่าดงด้วยลำพังตัวคนเดียว ตระเวนไป
รวบรวมชาวชี่ตันให้เป็นกลุ่มก้อนเข้าอีก จึงได้ไพร่พลนับด้วยหมื่น ตั้งเป็นกองทัพขึ้นมาใหม่
แล้วยกเข้าบุกดินแดนของราชวงศ์โดยมิเกรงกลัว

ในขณะนั้น เจ้าเมืองซิวโจวเปลี่ยนเป็นเซี่ยฉู่อี้ลูกชายคนที่ ๒ ของเซี่ยเหรินกุ้ย (ซิยิ่นกุ้ย) จึงส่งรองแม่ทัพ
มีเก้ออิงเจี๋ย กับอู๋เค่อฉิน นำพลหมื่นคนไปสกัดเคอทูข่าน ณ เมืองหยีกวาน (ในเขตซานไห่กวาน
มณฑลเหอเป่ยในปัจจุบัน) เผ่าฮวนซีแม้จะสยบด้วยจ้าวหานจางมาก่อนหน้านี้ แต่ด้วยความที่เป็นฮวน
เยี่ยงเดียวกันกับเผ่าชี่ตัน เคยมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกันมาอย่างใกล้ชิดช้านาน เยื่อใยที่เคยมีมาแต่กาลก่อน
ก็หาได้ขาดสะบั้นลงไปไม่ ครั้งต้องติดตามทัพราชวงศ์ถังมาปราบเคอทูข่าน ก็มิใคร่อยากจะรบด้วย เมื่อ ๒ ทัพ
เผชิญกัน ชาวเผ่าซีก็ฉวยโอกาสหนีทัพไปเสียเป็นอันมาก จึงทำให้ทัพถึงชุลมุนวุ่นวาย เคอทูข่านจึงฉวยโอกาส
เข้าตีอย่างไม่ยั้งมือ เก้ออิงเจี๋ยกับอู๋เค่อฉินถูกทหารซึ่งกำลังปั่นป่วนชนจนตกจากหลังม้า จึงถูกไพร่พลของชี่ตัน
สับจนเละทหารถังที่รอดชีวิตไปได้ จึงนำความไปแจ้งเซี่ยฉู่อี้ เซี่ยฉู่อี้จึงมีหนังสือแจ้งเข้าไปยังเมืองหลวง

พระเจ้าถังเสียนจงฮ่องเต้ทรงทราบถึงความพ่ายแพ้ ก็ให้ตกพระทัยจึงมีพระราชโองการให้ขุนพลจางโส่วกุ้ย
ไปเป็นแม่ทัพเมืองซิวโจว เพื่อปราบเผ่าฮวนชี่ตันที่กำเริบอยู่ จางโส่วกุ้ยอ่านตำราพิชัยสงครามมาแต่เด็ก
ชำนาญในกลศึกยิ่งนัก เมื่อมาถึงเมืองซิวโจวแล้ว ก็ปรับปรุงฝึกฝนไพร่พลอย่างเร่งรีบ พร้อมกับเสริมกำแพงเมือง
ให้สูงขึ้นและหน้าขึ้น ขุดดูรอบเมืองและตั้งป้อมค่ายอยู่ทั่วไปเคอทูข่านได้พยายามเข้าตีเมืองซิวโจวเป็นหลายครั้ง
แต่ก็ถูกจางโส่วกุ้ยตีถอยทุกครั้งไป

เคอทูข่านเห็นว่าจะหักด้วยกำลังคงจะไม่สำเร็จ จึงวางกลอุบายส่งทูตฝีปากดีคนหนึ่ง ขอเข้าพบแม่ทัพจางโส่วกุ้ย
เพื่อประวิงเวลาหาอุบายต่อไปจางโส่วกุ้ยนึกหัวเราะอยู่ในใจว่า “แข็งไม่ได้ มาไม้อ่อน” ครั้นแล้วจึงสั่งให้เตรียมการ
ระมัดระวังให้ดี เปิดประตูเมือง ปล่อยสะพานหกลงรับทูตของเคอทูข่านเข้าเมือง ให้นำตัวเข้ามาพบเจรจาความ
ยังจวนแม่ทัพ ทูตของเคอทูข่านเมื่อเข้าเมืองมา ก็รู้สึกประหม่า รำพึงว่า ในเมืองป้องกันเข้มแข็งนัก
คงจะได้รับการฝึกมาอย่างดีเป็นแน่ มิน่าเล่า เคอทูข่านจึงตีเมืองไม่แตกจนแล้วจนรอด

เมื่อเข้าพบจางโส่วกุ้ย จางโส่วกุ้ยจึงถามว่า “สองประเทศเรารบกันอยู่ท่านทูตมาวันนี้ ด้วยเหตุอันใดหรือ?”
ทูตชี่ตันจึงบอกว่า “ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งมาจากท่านชี่เลี้ยหัวหน้าเผ่าของเรา ให้มาขอยอมแพ้ด้วยท่าน
ขุนพลเคอทูข่านแห่งชี่ตันลุแก่โทสะ บุกอาณาจักรถังมาหลายครั้ง แต่ก็พ่ายแพ้มาหลายครั้งราษฎรทั้งหลาย
ต่างไม่พอใจเป็นอันมาก บัดนี้ ยังมาล่วงล้ำซิวโจวอีกเล่า ชาวชี่ตันจงประฌามเขาเป็นเสียงเดียวกัน
เคอทูข่านจึงได้สำนึก หากท่านมิเอกโทษถึงตายแก่เขา ก็จะยอมสวามิภักดิ์ด้วยราชสำนักถัง
มิคิดจะล่วงเกินด้วยตลอดไป ขอให้ท่านแม่ทัพจงอภัยแก่เราเผ่าชี่ตัน ทั้งขอให้แจ้งไปยังเมืองหลวง
ให้ฮ่องเต้ทรงทราบ”

จางโส่วกุ้ยรู้ดีว่า ทูตชี่ตันมาคราวนี้ก็เพื่อสืบสภาพความเป็นไปในค่ายของตนและประวิงเวลาใช้กลอุบายอย่างอื่น
หาได้คิดมายอมสวามิภักดิ์ด้วยอย่างเต็มใจไม่ แต่แสร้งทำเป็นพาชื่อตอบไปว่า “ทั้ง ๒ ฝ่ายคืนดีต่อกัน
ก็เป็นความปรารถนาของฝ่ายเราตั้งแต่องค์ฮ่องเต้ลงมาจนถึงราษฎร ในเมื่อหัวหน้าที่จะสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ถัง
ข้าพเจ้าก็จักกราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบต่อไปพร้อมกันนั้น ข้าพเจ้าก็จะส่งคนไปเยี่ยมเยียนเผ่าท่าน เพื่อปลอบขวัญ
มิให้วิตกกังวล ฝ่ายท่านก็ควรจักถอยทัพกลับไปทำมาหากินตามปกติโดยเร็ว”

ครั้นแล้ว จางโส่วกุ้ยก็สั่งให้หวางหุ่ยและก่วนจี้เป็นทูตแทนราชวงศ์ถังไปปลอบขวัญเผ่าชี่ตัน
เมื่อเข้าไปยังที่พักของเคอทูข่าน เคอทุข่านก็แสร้งทำเป็นต้อนรับด้วยความยินดี ให้แม่ทัพนายกองน้อยใหญ่
รินเหล้าคารวะแก่ทูตทั้งสอง หวางหุ้ยสังเกตเห็นว่า บางคนก็ให้ความคารวะอย่างจริงใจ แต่บางคนก็ทำอย่างเสียไม่ได้
พร้อมทั้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแสดงอาการไม่พอใจออกนอกหน้าในหมู่แม่ทัพนายกองของเผ่าชี่ตันทั้งหลาย
บางคนก็มีความประสงค์ที่จะสงบศึกจริงๆ ไม่เห็นชอบด้วยที่เคอทูข่านก่อเรื่อง รบราฆ่าฟันกับราชวงศ์ถัง
เป็นที่เดือดร้อนกันไปทั่ว เมื่อรู้ว่างานเลี้ยงเป็นเพียงการตบตาก็ให้รู้สึกหวั่นใจ เกรงว่าทูตทั้งสองจักเป็นอันตราย
ด้วยความเหี้ยมโหดของเคอทูข่าน

เมื่องานเลี้ยงเลิกรา ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ในขณะที่ไพร่พลชี่ตันจุดโคมนำหวางหุ่ยไปยังที่พัก
บังเอิญทหารคนหนึ่งของชี่ตัน รู้จักกับหวางหุ่ย จึงเล่าให้ฟังว่า ขุนพลหลี่กว้อเจ๋อซึ่งคุมกำลังพลม้าของเผ่าชี่ตันนั้น
ไม่ถูกกับเคอทูข่านกัดกันจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วจึงฉวยโอกาสจัดการกับเคอทูข่านเสีย
ปราบการแข็งข้อของเผ่าชี่ตันให้ราบคาบโดยเร็ว ในระหว่างที่อยู่ในค่ายของชี่ตัน หวางหุ่ยก็จงใจใกล้ชิดสนิทสนมกับ
หลี่กว้อเจ๋อ พร้อมกับยกย่องความเก่งกาจของเคอทูข่าน และว่าพวกขุนนางแห่งราชวงศ์ถังต่างก็นิยมชมชอบ
ในตัวเคอทูข่านเป็นอย่างยิ่ง เพื่อยั่วยุให้หลี่กว้อเจ๋อเกิดความริษยา หลี่กว้อเจ๋อก็หลงกล ตบโต๊ะพลางพูดขึ้น
ด้วยความขุ่นเคืองว่า “เคอทูข่านฆ่าหัวหน้าเผ่าเรา ซ้ำยังแข็งข้อต่อราชวงศ์ถัง ก่อให้เกิดศึกในครั้งนี้ขึ้น
ทำให้ชาวชี่ตันและเผ่าซีต้องรับทุกข์จากสงครามจนเดือดร้อนกันทั่วหน้า ชาวเผ่าชี่ตันเราต่างพากัน
ด่าว่าอย่างเหลืออดแล้ว ไฉนพวกท่านจึงพึงพอใจในตัวมันอีกเล่า ?

หวางหุ่ยก็แสร้งทำเป็นตกใจ กล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าพเจ้ามิได้รู้เรื่องเลยหากการณ์เป็นไปดังที่ท่านขุนพลว่า
เหตุไฉนหัวหน้าเผ่าชี่เลี้ยจึงยังทนต่อเคอทูข่านได้อีก?” หลี่กว้อเจ๋อจึงบอกว่า “ชี่เลี้ยเป็นหัวหน้าเผ่าก็จริงอยู่
แต่ก็ด้วยการแต่งตั้งของเคอทูข่านนั้นดอก หาได้มีอำนาจอย่างใดไม่ ทุกวันนี้ก็ได้แต่กล้ำกลืนความไม่พอใจอยู่ในอก
มิกล้าเอ่ยปากพูด” หวางหุ่ยก็แสดงความเห็นใจ ยั่วยุหลี่กว้อเจ๋อซ้ำเข้าไปอีกว่า “ท่านก็เป็นขุนพลคนเกล้า เหตุไฉน
จึงยังรีรออยู่มิคิดแก้ไข ความสามารถของท่านก็หาน้อยหน้าผู้ใดไม่ หากท่านขจัดเคอทูข่านได้ ข้าพเจ้าก็ยินดี
จะกราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบ ท่านก็จักมีความดีความชอบมิมีผู้ใดเสมอเหมือน”
หลี่กว้าเจ๋อได้ฟังคำของหวางหุ่ย เห็นตรงกับความในใจของตนมาแต่เดิมก็ให้รู้สึกมีความยินดี ลุกขึ้นยืนคำนับ
กล่าวแก่หวางหุ่ยว่า “ข้าพเจ้าหลี่กว้อเจ๋อเป็นชายชาตรีสูง ๗ เชียะมิได้เป็นรองผู้อื่น หาได้เกรงกลัวเจ้าถ่อยคนนั้นไม่
หากได้ท่านเมตตาอีกแรงหนึ่ง ข้าพเจ้าก็จักขจัดเคอทูข่านให้ท่านได้ประจักษ์แก่สายตา!”

ดังนั้น หลี่กว้อเจ๋อกับหวางหุ่ยก็ลักลอบปรึกษาหาอุบายแก่กันและกันจนเป็นที่ตกลง หวางหุ่ยก็ทราบข่าวในเวลาต่อมาอีกว่า
เคอทูข่านกำลังส่งคนไปติดต่อกับเผ่าฮวนทู่เจี๋ย คิดจะยืมทหารทู่เจี๋ยไปร่วมกันตีเมืองซิวโจว หวางหุ่ยจึงให้รู้สึกคับขันนัก
ขืนรั้งอยู่กับเผ่าชี่ตันต่อไปเห็นทีจะไม่เป็นการ จึงหาทางบอกลาชี่เลี่ย เดินทางกลับไปยังซิวโจวโดยเร็ว
ในคืนวันที่ ๒ หลังจากหวางหุ่ยเดินทางกลับแล้ว หลี่กว้อเจ๋อก็นำไพร่พลของตน ทะลวงเข้าไปในค่ายของเคอทูข่าน
เคอทูข่านมิได้ระมัดระวังตัว มิหนำซ้ำยังเมามายไม่ได้สตินอนหลับสนิท หลี่กว้อเจ๋อจึงตัดคอเคอทูข่านเสียในทันที
ชี่เลี้ยซึ่งมากินเหล้าอยู่กับเคอทูข่าน ก็พลอยถูกหลี่กว้าเจ๋อสังหารเสียด้วยในหมู่เผ่าชนชี่ตัน จึงเกิดโกลาหลกันไปทั้งกองทัพ

ผู้ใกล้ชิดของเคอทูข่านและพวกขุนพลของเผ่าชี่ตันทั้งหลาย เห็นเคอทูข่านกับชี่เลี้ยถูกฆ่าตาย ต่างก็รวบรวมกำลัง
ต้านทานหลี่กว้อเจ๋ออย่างสุดความสามารถหลี่กว้อเจ๋อยามปกติก็ถือดีทะนงตน ใช้อำนาจอย่างไรความเป็นธรรม
จึงมิได้เป็นที่ชอบพอแก่ไพร่พลของชี่ตันเท่าใดนัก ในที่สุด ขุนพลของเคอทูข่านคนหนึ่งชื่อเนี่ยหลี่ซึ่งเข้มแข็งกว่าผู้อื่น
ก็ตีกำลังของหลี่กว้าเจ๋อจนแตกพ่ายหลี่กว้าเจ๋อถูกเนี่ยหลี่จับตัวได้ ก็ให้ตัดคอหลี่กว้อเจ๋อตายตกตามเคอทูข่านและชี่เลี้ยไป
หวางหุ่ยกลับถึงเมืองซิวโจว ก็แจ้งเรื่องที่ตกลงกับหลี่กว้อเจ๋อกับข่าวที่เคอทูข่านจะยืมทหารของทู่เจี่ยมาตีเมืองซิวโจว
ให้จางโส่วกุ่ยทราบ จางโส่วกุ้ยจึงเรียกประชุมขุนนางน้อยใหญ่ในเมืองซิวโจวปรึกษาหารือเรื่องยกทัพปราบเผ่าชี่ตัน
จึงตกลงกันว่า ทางหนึ่ง ให้เสริมการป้องกันเมืองซิวโจวให้แข็งขันขึ้นเพื่อความไม่ประมาท
ทางหนึ่ง จางโส่วกุ้ยก็นำทัพไปสนับสนุน หลี่กว้อเจ๋อตามที่ตกลงกันไว้

แต่ครั้นเมื่อจางโส่วกุ้ยยกทัพไปถึงค่ายของเผ่าชี่ตัน ก็ได้ข่าวว่าเคอทูข่านกับหลี่กว้าเจ๋อถูกฆ่าตายทั้งคู่
ทัพถึงจึงฉวยโอกาสที่เผ่าชี่ตันขาดหัวหน้า ไล่ฆ่าฟันไพร่พลชี่ตันซ้ำเติมจนระส่ำระสายไปทั้งกองทัพมิเป็นอันสู้รบ
จนเนี่ยหลี่ก็ถูกจับเป็น เนี่ยหลี่จึงกล่าวแก่จางโส่วกุ้ยว่า “หลี่กว้อเจ๋อป่าเถื่อนไร้คุณธรรม ไพร่พลทั้งหลายมิยอมขึ้นด้วย
จึงได้พร้อมใจกันสังหารเสีย มิใช่เป็นผู้ใดสั่งความบัดนี้ชี่เลี้ยก็ตายแล้ว เราก็ขาดหัวหน้า ซ้ำก็เบื่อหน่ายในการศึกเป็นกำลัง
จึงคิดจะขอสงบศึก มิแข็งข้อต่อราชวงศ์ถึงอีกต่อไป”
จางโส่วกุ้ยจึงปล่อยเนี่ยหลี่เป็นอิสระ เมื่อเผ่าชี่ตันไร้พิษสงอันใดแล้วชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของราชวงศ์ถัง
ก็สงบราบคาบมานานปี

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ปลาไม่เห็นทิศทางเมื่อน้ำขุ่น คนแยกจริงเท็จไม่ออกยามชุลมุน จึงเกิดช่องว่างอันมากหลายที่จะเอาประโยนช์ได้
“กวนน้ำจับปลา” ย่อมหมายถึงในสงครามชุลมุนแห่งการแก่งแย่งอำนาจกันนั้น ควรฉวยโอกาสใช้กำลังที่อ่อนแอ
ให้คล้อยตามความประสงค์ของตน ที่สำคัญคือเอาเท็จพรางจริง กวนน้ำให้ขุ่นโดยเจตนา แล้วรีบซ้ำเติมเอาชัยแก่ศึกเสีย ดังนี้”
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:20 am

กลยุทธ์ที่ ๒๑ จักจั่นลอกคราบ

คงโครงรูป จบกระบวนท่า มิตรมิแคลง ศัตรูมิเคลื่อน เลี่ยงเพื่อสลาย ลวง

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า รักษาไว้ซึ่งแนวรบเยี่ยงเดิม ให้ดูน่าเกรงขามเหมือนเก่า ฝ่ายมิตรก็มิสงสัย
ฝ่ายข้าศึกก็มิกล้าผลีผลาม ครั้นแล้ว จึงถอนตัวอย่างปกปิด เคลื่อนกำลังหลักให้หลบเลี่ยงไป
“ เลี่ยงเพื่อสลาย ลวง” คำนี้มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ลวง” “ เลี่ยง” ก็คือหลบหลีก “ลวง” ก็คือ
ทำให้งงงวยนี้นับเป็นกลยุทธ์ถอยทัพอย่างไม่กระโตกกระตาก เพื่อเป้าประสงค์ที่กำหนดไว้หรือหลีกเลี่ยง
ความสูญเสียอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ
ใน “บันทึกประวัติศาสตร์ ประวัติตระกูลหาน” มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้
ยุคจ้านกว๋อ ในปีที่ ๑๖ ของซวนฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหาน ซึ่งตรงกับตันปี ที่ ๘ ของ ฮุ่ยเหวินอ๋องแห่งแคว้นฉิน
(๓๑๗ปีก่อนคริสตกาล) จางอี๋ เป็นอัครมหาเสนาบดีของแคว้นฉิน ส่วนแคว้นฉี แคว้นฉู่ แคว้นเอี้ยน แคว้นหาน
แคว้นจ้าว แคว้นเว่ย รวม ๖ แคว้นด้วยกัน ได้ตกลงร่วมกำลังกันเพื่อต่อต้านแคว้นฉิน ภายใต้การโน้มน้าวใจของซูฉิน
นักการทูตสัญจร แต่ครั้นเมื่อเยนเหวินกงแห่งแคว้นเอี้ยนถึงแก่อายุขัย อี้อ๋องบุตรชายขึ้นครองอำนาจแทน
ทางฉีซวนอ๋องแห่งแคว้นฉีก็ละเมิดคำสัญญา ฉวยโอกาสที่แคว้นเอี้ยนยังอยู่ในความทุกข์โศกไม่เรียบร้อย
บุกตีแคว้นเอี้ยน จนได้ ๑๐ หัวเมืองใหญ่ไปครอบครองติดต่อกัน

ในขณะนั้นซูฉินกำลังอยู่ในแคว้นเอี้ยน อี้อ๋องจึงขอให้ซูฉินเดินทางไปแคว้นฉี เพื่อให้แคว้นฉีคืน ๑๐ หัวเมือง
ที่ยึดไปให้กับแคว้นเอี้ยนตามเดิม ซูฉินจึงไปแคว้นฉีตามคำขอร้องของ อี้อ๋อง จางอี๋ได้ข่าวนี้ ก็รู้ว่านโยบาย
รวมกำลังต่อต้านแคว้นฉินของซูฉิน จะต้องล้มเหลวลงในไม่ช้า ก็ออกจากแคว้นฉินไปแคว้นเว่ย เกลี้ยกล่อมให้
แคว้นเว่ยสวามิภักดิ์ด้วยแคว้นฉิน เพื่อทำลายแผนการรวมกำลังของซูฉินเสีย เซียงอ๋องแห่งแคว้นเว่ยสองจิตสองใจ
แต่ก็มิยอมคล้อยตามคำข่มขู่ของจางอี๋ในที่สุด

ฮุ่ยเหวินอ๋องแห่งแคว้นฉินจึงบันดาลโทสะที่แคว้นเว่ยมิยอมค้อมหัวแก่ตนโดยดี จึงยกพลรุกเข้าแคว้นเว่ย
ยึดเอาเมืองชี่ว่อ (ในมณฑลซานตงปัจจุบัน) ของเว่ยได้ และฉวยโอกาสความฮึกเหิมต่อชัยชนะ บุกเข้ารังควาน
แคว้นหานอีกแคว้นหนึ่ง แคว้นหานมิใช่คู่ต่อสู้ของแคว้นฉิน ก็พ่ายแพ้เสียหายหนักขุนพลแคว้นหาน ๒ คนชื่อหยีโซ่ว
กับเซินชา ถูกจับเป็นที่กวนเจ๋อ (ในมณฑลเหอ หนานปัจจุบัน)

เมื่อข่าวความพ่ายแพ้แพร่ไปถึงเมืองหลวงซินเจิ้น (ในมณฑลเหอหนานปัจจุบัน) ของแคว้นหาน ซวนฮุ่ยอ๋อง
ก็ตกใจเป็นที่ยิ่ง จึงเรียกขุนนางทั้งหลายมาปรึกษาหารือ กงจ้งฉื่นอัครมหาเสนาบดีจึงเสนออุบายขึ้นมาว่า
“บัดนี้พันธมิตรที่เคยทำข้อตกลงร่วมกันมาแต่กาลก่อน จักหวังพึ่งมิได้แล้วแม้เราจะมีข้อสัญญากับแคว้นฉู่
แต่แคว้นฉู่ก็ไม่แน่ว่าจะส่งกองทัพมาช่วยเรารบกับแคว้นฉิน อันแคว้นฉินนั้น นับแต่ซางเอียงได้ปรับปรุง
ราชการแผ่นดินเป็นต้นมา ก็นับวันเข้มแข็งยิ่งขึ้น และหมายใจจะตีเอาแคว้นฉู่มาช้านาน ตามความเห็นของข้าพเจ้า
เรามิสู้เจรจาสงบศึกกับแคว้นฉิน ยอมเสียเมืองให้สักเมืองหนึ่ง และให้อาวุธยุทโธปกรณ์ไปสักจำนวนหนึ่งให้แคว้นฉิน
มุ่งไปตีแคว้นฉู่ทางใต้ ให้ไฟสงครามลามไหม้ไปยังแคว้นฉู่เสีย ด้วยประการฉะนี้ความคับขันภัยพิบัติแห่งแคว้นหานเรา
ก็จักแก้ไขให้ลุล่วงไปได้” ซวนฮุ่ยอ๋องมิรู้ที่จะคิดเป็นประการใดอีก จึงจำใจต้องเห็นด้วยกับกงจ้งฉื่อ และให้กงจ้งฉื่อ
ลงมือดำเนินการโดยพลัน

กงจ้งฉื่อก็นำหนังสือของซวนฮุ่ยอ๋อง เตรียมตัวไปเจรจากับแคว้นฉินแต่ยังมิทันจะได้ออกเดินทาง
แคว้นฉู่ก็ได้ข่าวในเรื่องนี้ ทางไหวอ๋องแห่งแคว้นฉู่จึงคิดว่า หากปล่อยให้ฉินกับหานตกลงกันได้
ปลายหอกก็จะพุ่งมาทางแคว้นฉู่เป็นแม่นมั่น จึงเรียกเฉินเจิ่นอัครมหาเสนาบดีของตนมาพบ
เพื่อปรึกษาอุบายตอบโต้กับแผนของแคว้นหาน

อันเฉินเจิ่นนั้น เดิมทีเป็นนักการทูตสัญจรซึ่งช่วยราชการร่วมกับจางอี๋อยู่กับฮุ่ยเหวินอ๋องแห่งแคว้นฉิน
แต่จางอี๋ริษยาในสติปัญญาของเฉินเจิ่นจึงมักใส่ความเฉินเจิ่นต่อหน้าฮุ่ยเหวินอ๋องอยู่เสมอ ๆ ฮุ่ยเหวินอ๋อง
จึงโปรดปรานในจางอี๋ แต่งตั้งให้เป็นอัครมหาเสนาบดี เฉินเจิ่นเห็นมิเป็นการ จึงออกจากแคว้นฉิน
ไปอยู่กับไหวอ๋องแห่งแคว้นฉู่ เมื่อได้ถูกเรียกตัว ก็นึกรู้ว่าคงจะเป็นเรื่องการสงบศึกระหว่างแคว้นฉินกับแคว้นหาน
จึงรีบเข้าไปพบตามความประสงค์

ไหวอ๋องจึงถามเฉินเจิ่นว่า เรื่องที่ฉินกับหานจะเจรจากันนั้น เฉินเจิ่นเห็นว่าควรจะทำประการใดดี เฉินเจิ่นจึงกล่าวว่า
“ที่แคว้นฉินจักตีแคว้นฉู่ของเรานี้ หาได้เพิ่งจะมาคิดในวันสองวันนี้ไม่ แต่มีมาช้านานแล้ว บัดนี้ ฉินก็จะได้ดินแดนของ
แคว้นหานไปครองไว้เมืองหนึ่ง ซ้ำยังจะได้อาวุธยุทโธปกรณ์อีกมากหลาย ทั้งข้าพเจ้าก็ฟังมาว่า แคว้นหานยังแสดงว่า
ยินดีจะส่งกองทัพมาช่วยแคว้นฉินตีแคว้นฉู่เราอีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่แคว้นฉินตั้งความประสงค์มาหลายเพลาแล้ว
เมื่อการสำเร็จดังคิด แคว้นฉินก็คงจะกรีฑาทัพมาตีแคว้นฉู่ในไม่ช้า” ไหวอ๋องจึงว่า “ที่ท่านพูดตรงกันกับที่เราคิด
จึงเชิญท่านมาปรึกษาท่านจะมีอุบายแก้ความคับขันของแคว้นเราดังที่ท่านกล่าวมาหรือไม่ประการใด?”

เฉินเจิ่นจึงกล่าวต่อไปว่า “ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านอ๋องควรจะออกประกาศให้ทราบทั่วไปในแผ่นดิน แจ้งว่า
แคว้นฉู่กับแคว้นหานเคยทำสัญญาร่วมต่อต้านแคว้นฉินด้วยกัน อันที่จริงก็เป็นพันธมิตรกันอยู่ บัดนี้
แคว้นหานถูกแค้นฉินโจมตี แคว้นฉู่จึงมีหน้าที่ต้องไปช่วย ในขณะเดียวกัน ก็ควรจะจัดกำลังแม่ทัพนายกอง
ยกไพร่พลไปตามเส้นทางสู่แคว้นหาน ให้ผู้คนทั้งหลายทราบทั่วกันว่า แคว้นฉู่กรีฑาทัพไปช่วยแคว้นหาน
ตามข้อสัญญา พร้อมกันนั้นก็ให้แต่ทูตไปด้วยคนหนึ่ง นำของขวัญอย่างดี รวมทั้งเสบียงอาหารและ โค แกะ
ไปปลอบขวัญทหารของแคว้นหาน ให้แคว้นหานเชื่อว่า แคว้นฉู่ยกกำลังไปช่วยแคว้นหานจริง ให้แคว้นหาน
ไว้วางใจในแคว้นฉู่เรา ไม่ยกทัพไปช่วยแคว้นฉิน มาตีแคว้นฉู่ ถึงแม้จะยกทัพไปแล้วก็จะลังเล รบแต่พอเป็นพิธี
ดังนี้ การคุกคามต่อแคว้นฉู่ก็จะลดน้อยถอยลงเป็นอันมาก ในเมื่อแคว้นหานไม่สมัครสมานด้วยแคว้นฉินแล้ว
แคว้นฉินก็จักโกรธ อาฆาตแค้นในแคว้นหาน ซึ่งแต่เดิมมา แคว้นหานก็ดูหมิ่นแคว้นฉินเป็นทุนอยู่แล้ว
บัดนี้กลับมาคืนดีกับเราก็ย่อมจะยิ่งมองแคว้นฉินไม่ขึ้น กระนี้แล้ว ใช่แต่ฉินกับหานจะรวมทัพกันไม่สำเร็จ
ยังอาจจะถึงขั้นรบราฆ่าฟันกันด้วยซ้ำไป !”

ไหวอ๋องได้ฟังความเห็นของเฉินเจิ่นแล้ว ก็รู้สึกพอใจ พยักหน้ารับเป็นหลายครั้งว่า “ดี! ดีจริงๆ !
จงทำตามที่ท่านว่านี้เถิด!” ดังนั้น ไหวอ๋องจึงออกประกาศให้ทวยราษฎร์รับรู้การตัดสินใจของตน
พร้อมทั้งแต่ทัพแพร่ข่าวว่าจะยกทัพไปช่วยแคว้นหาน จากนั้น บนเส้นทางไปสู่แคว้นหานก็เต็มไปด้วย
ไพร่พลของแคว้นฉู่ เฉพาะรถที่บรรทุกของขวัญไป ก็มีมากถึงหลายสิบคัน ข่าวจึงระบือไปจนถึงแคว้นฉิน
ทูตของแคว้นฉู่เมื่อไปถึงแคว้นหาน ก็เข้าเฝ้าซวนฮุ่ยแห่งแคว้นหานในทันที กล่าวว่า

“แคว้นฉู่เราแม้จะไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็ได้ระดมพลังทางวัตถุเงินทองและไพร่พลทั่วประเทศ
มาช่วยแคว้นหานอย่างเต็มสติกำลัง ขอท่านอ๋องจงอย่าได้ห่วงกังวลในเรื่องตีโต้แคว้นฉิน
แคว้นฉู่เรายอมเสี่ยงกับความหายนะ ช่วยแคว้นของท่านอ๋องเป็นตามร่วมกันมิผิดวาจา”

ซวนฮุ่ยอ๋องก็ให้ปิติยินดีเป็นที่ยิ่ง ครั้นยิ่งเมื่อได้เห็นของขวัญที่แคว้นฉู่ส่งมามอบให้มีจำนวนถึงหลายสิบคันรถ
ก็เชื่อว่า แคว้นฉู่ยินดีทำตามข้อสัญญามาช่วยแคว้นหานย่างจริงใจ จึงกล่าวแต่กงจ้งฉื่อว่า แคว้นฉู่ตั้งใจจะช่วย
แคว้นหานต่อต้านแคว้นฉินจริง ๆ ให้ยับยั้งการเดินทางไปขอสงบศึกกับแคว้นฉินไว้ก่อน
กงจ้งฉื่อเห็นซวนฮุ่ยอ๋องเชื่อคำพูดของทูตแคว้นฉู่อย่างง่ายดาย ล้มเลิกการเจรจากับแคว้นฉินดังนั้น
ก็รู้ว่า ความหายะคืบคลานเข้ามาหาแคว้นหานแล้ว จึงทัดทานซวนฮุ่ยอ๋องด้วยความวิตกว่า

“ปัจจุบัน ทัพที่เรียงรายอยู่ตามชายแดนของเรา พร้อมที่จะบุกแคว้นหานในวันในพรุ่ง คือทัพใหญ่ของแคว้นฉิน
ที่แคว้นฉู่นำทัพมาทำทีว่าจักช่วยเรานั้น ที่แท้เป็นเรื่องเสแสร้งแล้งทำหาใช่จักช่วยเราต้านแคว้นฉินอย่างใจจริงไม่
บัดนี้ท่านอ๋องเชื่อการช่วยเหลือจอมปลอมของแคว้นฉู่เอาง่าย ๆ ตัดการเจรจากับแคว้นฉินซึ่งส่งทัพประชิดอยู่
ณ ชายแดนของเราอย่างไม่ไยดี ดังนี้ ผู้รู้ทั้งหลายในแผ่นดิน ก็จักหัวเราะเยาะท่านอ๋องได้ว่า
ความคิดของท่านอ๋องตื้นเขินนัก มิรู้ซึ่งในเหตุผลกลอุบายของแคว้นฉู่กับกับแคว้นหานหาได้เป็นบ้านพี่เมืองน้องกันไม่
ทั้งก็มิได้ปรึกษาหารือเรื่องการต้านทานทัพฉินมาก่อน ที่แคว้นฉู่ส่งทูตมาครั้งนี้ ก็ด้วยเหตุการณ์บัง เห็นถึงอันตราย
ที่ตนจักถูกบุกรุกในเร็ววัน การประกาศช่วยหานรบฉินจักต้องเป็นเล่ห์กระเท่ห์ของเฉินเจิ่นโดยแท้ ท่านอ๋องมิควร
จะหลงกลอีกประการหนึ่งเล่า เราก็ส่งคนไปแจ้งของเจรจากับแคว้นฉินแล้ว มาบัดนี้ก็จะกลับคำเสีย
แคว้นฉินจักต้องเข้าใจว่า เราหลอกลวงดูหมิ่นเขาเป็นแม่นมั่นเมื่อหมางใจกับแคว้นฉินอันยิ่งยงฉะนี้แล้ว
ก็ยากที่จะคาดถึงผลเสียหายอันร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น ครั้งถึงเวลานั้น จักเสียใจก็สายเกินไปเสียแล้ว ขอให้ท่านอ๋อง
ทรงโปรดไต่ตรองให้จงดี!” ถ้อยคำของกงจ้งฉื่อเต็มไปด้วยเหตุผลอันพึงรับฟัง แต่ซวนฮุ่นอ๋องถูกมธุรสวาจา
และเครื่องบรรณาการของทูตแคว้นฉู่ กล่อมเอาจนหูตาถูกปิดไปสิ้นแล้ว จึงยืนยันมิยอมเจรจาด้วยกับแคว้นฉินเป็นอันขาด
กงจ้งฉื่อให้รู้สึกเสียเป็นที่ยิ่ง ฝ่ายฮุ่ยเหวินอ๋องแห่งแคว้นฉิน เมื่อจับหยีโซ่วกับเซินชาขุนพลของแคว้นหาน
ได้ที่กวนเจ๋อแล้ว เดิมก็คิดจะบุกเข้าตีเมืองหลวงซินเจิ้นของหานให้เป็นการเสร็จสิ้นไป แต่เพราะแคว้นหานขอเจรจาสงบศึก
แสดงว่ายินดีจะส่งทัพมาช่วยตีแคว้นฉู่ จึงได้รั้งทัพเอาไว้ก่อน แต่ฮุ่ยเหวินอ๋องรออยู่หลายเดือนก็ไม่เห็นแคว้นหาน
ส่งทูตมาตามคำขอ มิหนำซ้ำยังได้ข่าวว่า แคว้นฉู่ส่งทูตมาโน้มน้าวซวนฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหาน มิให้เจรจาด้วยกับฉิน
ฮุ่ยเหวินอ๋องจึงพิโรธ บัญชาให้ทัพฉินพุ่งเข้าขยี้แคว้นหานโดยไม่รั้งรออีกต่อไป ซวนฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหานทราบดังนั้น
ก็รีบส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉู่ พร้อมกับเตรียมกำลังไพร่พลไว้รับมือกับทัพฉิน ซวนฮุ่ยอ๋องเชื่ออย่างสนิทใจว่า

เมื่อมีการช่วยเหลือของแคว้นฉู่แล้ว ก็จักรบชนะแคว้นฉินได้โดยไม่ยาก แต่ซวนฮุ่ยอ๋องต้องผิดหวังอย่างแรง
แคว้นฉู่กลับทำเมินเฉยต่ำคำขอไม่ส่งกำลังมาช่วยตามคำตกลง ปล่อยให้แคว้นหานรับข้าศึกกับแคว้นฉินแต่โดยลำพัง
ถึงตอนนี้ ซวนฮุ่ยอ๋องจึงตะหนักในสายตาเล็งการณ์ไกลของกงจ้งฉื่อนึกเสียใจที่มิได้เชื่อในคำทัดทานของกงจ้งฉื่อ
จึงต้องได้รับเคราะห์กรรมที่เลี่ยงไม่พ้น ตกอยู่ในภาวะ “ขี่เสือไม่กล้าลง กอดมังกรก็หล่นจากฟ้า” เยี่ยงนี้
แม้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตามที่สุดจะหลีกเลี่ยง ซวนฮุ่ยอ๋องก็ฮึดสู้ ระดมกำลังทุกอย่างบรรดามี
ทั้งประเทศสู้รบกับแคว้นฉินอย่างไม่คิดชีวิต

สงครามใหญ่ระหว่างแคว้นฉินกับแคว้นหานในคราวนี้ กินเวลานานถึง ๓ ปี ก็ยังไม่แพ้ไม่ชนะกัน
แต่แคว้นหานต้องประสบกับความยากลำบากนานัปการ จนกระทั้งถึงปีที่ ๑๙ ของซวน ฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหาน
(๓๑๔ ปีก่อนคริสตกาล) ทัพฉินตีเมืองอั้นเหมิน (ในมณฑลเหอหนานปัจจุบัน) ของแคว้นหานแตก
แคว้นหาจำต้องยอมขอสงบศึกกับแคว้นฉิน ยอมสยบแก่ฉิน ซวนฮุ่ยอ๋องต้องส่งบุตรชาย
ไปเป็นตัวประกันอยู่ในแคว้นฉิน สงครามสองแคว้นจึงได้ยุติลง

อีก ๒ ปีต่อมา คือปีที่ ๒๑ ของซวนฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหาน (๓๑๒ ปีก่อนคริสตกาล) แคว้นฉินก็เตรียมบุกแคว้นฉี
แต่แคว้นฉีกับแคว้นฉู่มีสัญญาพันธมิตรแก่กัน แคว้นฉินจึงส่งจางอี๋ไปเจรจากับไหวอ๋องแห่งแคว้นฉู่ว่า
“ขอแต่เพียงแคว้นฉู่ตัดความสัมพันธ์กับแคว้นฉี แคว้นฉินก็จะคืนพื้นที่ ๖๐๐ ลี้
ที่เมืองซางอีของแคว้นฉู่ที่ฝ่ายฉินยึดครองไว้กลังไปให้” ไหวอ๋องดีใจคิดว่าแคว้นฉินมีเจตนาดี
ไม่ฟังคำเตือนของเฉินเจิ่น จึงตัดความสัมพันธ์กับแคว้นฉีเสีย ผลสุดท้ายพื้นที่เมืองซางอีที่แคว้นฉินว่าจะคืนให้
ไหวอ๋องก็มิได้รับคืน มิหนำซ้ำตัวเองกลับต้องตกอยู่ในภาวะโดดเดี่ยว ไหวอ๋องโกรธที่ถูกแคว้นฉินหลอกลวง
จึงตัดความสัมพันธ์กับแคว้นฉินและส่งกองทัพบุกฉินเพื่อแก้แค้นที่เสียรู้ ฉินส่งทัพออกมารับศึก ทั้งสองฝ่ายรบกัน
ที่เมืองตันหยาง (อยู่ในระหว่างมณฑลส่านซีกับเหอหนานปัจจุบัน) แคว้นฉินขอให้แคว้นหานยกทัพมาช่วย
ตามข้อตกลงสงบศึกที่เมืองอั้นเหมินซวนฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหานก็ส่งกองทัพมาโจมตีแคว้นฉู่จากทางใต้
เพื่อแก้แค้นที่ถูกแคว้นฉู่หลอกใช้ให้ปะทะกับแคว้นฉินอย่างโดดเดี่ยวเมื่อครั้งกระโน้น
การรบที่เมืองตันหยาง แคว้นฉู่พ่ายแพ้ยับเยิน เสียทหารไป ๘ หมื่น ฝ่ายฉินจับแม่ทัพชี่หวาง ขุนพลฝงโหวโฉ่ว
และแม่ทัพนายกองอื่นๆ อีก ๗๐ กว่าคน ยึดพื้นที่ของแคว้นฉู่ที่เมืองฮั่นจงได้อีก ๖๐๐ ลี้
ใน “จดหมายเหตุราชวงศ์ซ้อง” ก็มีเรื่องทำนองเดียวกันในอีกแง่มุมหนึ่ง ดังต่อไปนี้

ในสมัยราชวงศ์ซ้อง พวกฮวนเผ่าจิน (แมนจู) เข้มแข็งมาก บุกรุกเข้ามาในแผ่นดินของชาติฮั่น
อย่างรวดเร็วเหมือนไร้สิ่งกีดขวาง ขุนพลปี้จ้ายแห่งราชวงศ์ซ้องนำทัพออกไปรบ ก็พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ขุนพลปี้จ้ายจึงคิดจะถอยทัพที่ประจันหน้ากันอยู่ ไปตั้งหลักใหม่เพื่อให้พ้นจากการคุกคามของข้าศึก
จึงใช้กลยุทธ์ “จักจั่นลอกคราบ”
กล่าวคือ ในระหว่างที่ทัพซ้องถอยตัว ก็ปล่อยให้ธงทิวในค่ายปลิวสะบัดอยู่ย่างสง่าผ่าเผยมิผิดกับทุกวันที่ผ่านมา
พร้อมกันนั้นก็เอาแพะมาแขวนเอาหัวลง ให้เท้าหน้าเหยียบอยู่กับกลอง ในยามที่แพะดิ้นเพื่อจะให้หลุดจากการผูกมัด
เท้าหน้าก็จะซอยเท้ากระทบกับหน้ากลองเหมือนหนึ่งทหารย่ำกลองในยามปรกติ

ทหารฝ่ายจีนได้ยินเสียงกลองยังดังอยู่ตลอดเวลา ก็เข้าใจว่าทหารซ้องยังอยู่ในค่าย ไม่สงสัย แต่นานวัน
ก็เกิดรู้สึกผิดสังเกต ส่งทหารอกไปสอดแนมยังค่ายของทหารซ้อง ก็พบว่า ที่แท้ค่ายนั้นว่างเปล่าไปนานแล้ว
หาได้มีทหารเดินขวักไขว่อยู่เยี่ยงปกติไม่ ครั้นบุกเข้าไปดูในค่าย ก็เห็นแพะถูกแขวนไว้ตีกลองในที่ต่าง ๆ รอบค่าย
ส่วนทหารซ้องจะถอนตัวไปเมื่อใดและไปไหนทหารจีนก็ไม่มีใครรู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“จักจั่นลอกคราบ เป็นวิธีสะบัดให้หลุดพ้นจากการเผชิญหน้ากับข้าศึก ด้วยการเคลื่อนย้ายหรือถอยทัพ
ที่ว่า “ลอก” มิใช่อย่างตื่นตระหนก อย่างขวัญหนีดีฝ่อ แต่ยังคงไว้ซึ่งรูปโฉมภายนอก ทว่าได้ถอดเนื้อหา
ออกไปหมดสิ้นแล้ว หนีแสดงว่าไม่หนี ปกปิดข้าศึก เพ่อให้หลุดพ้นจาห้วงอันตราย วิธีการ “ลอกคราบ”
มีหลายแบบหลายอย่าง เนื้อแท้ก็คือการใช้เล่ห์กลหลอกลวงข้าศึก เป็นพฤติการณ์ที่ใช้การพรางตา
ปลอมปนความจริงเอาตัวรอดนั่นเอง”
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:21 am

กลยุทธ์ที่ ๒๒ ปิดประตูจับโจร

ศัตรูเล็กพึงล้อม ปล่อย มิเป็นคุณซึ่งติดพัน

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ต่อข้าศึกอ่อนแอจำนวนน้อย พึงโอบ้อมแล้วทำลายเสียให้สิ้น
เพื่อมิให้เป็นภัยแก่เราภายหลัง “ปล่อย มิเป็นคุณซึ่งติดพัน” มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ปล่อย”
“ปล่อย” ในที่นี้หมายถึงการแตกกระจายออกเป็นกองเล็กกองน้อยของข้าศึก กำลังก็อ่อนเปลี้ย
จนไร้สมรรถนะที่จะสู้รบแล้ว “ติดพัน” หมายถึงการไล่ติดตามไม่ลดละทั้งใกล้และไกล “มิเป็นคุณซึ่งติดพัน”
ก็คือ ต่อข้าศึกกองเล็กกองน้อยปล่อยให้หนีไปได้ แม้จะเล็ก แต่ก็สามารถย้อนกลับมาสร้างความยุ่งยากแก่เรา
จนเราต้องไล่ติดตามเพื่อทำลายเสีย เช่นนี้ มิเป็นประโยชน์แก่เรา ใน “จดหมายเหตุราชวงศ์ถึงเก่าและใหม่
ประวัติหวงฉาว” มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้

ในระยะหลังของราชวงศ์ถัง การปกครองบ้านเมืองเต็มไปด้วยความเหลวแหลกเละเทะ
การขึ้นครองและสืบราชสมบัติล้วนแต่ได้ถูกกำหนดโดยขันทีผู้ทรงอิทธิพลทั้งสิ้น องค์ฮ่องเต้เองหาได้มี
พระราชอำนาจอันใดไม่ ขุนนางทั้งหลายแม้จะมีปากก็พูดไม่ออก ที่ลาออกเพราะทนดูความหายนะต่อไปไม่ไหว
ขันทีก็มีไม่น้อย ต่างก็ก่อกรรมทำเข็ญแก่ราษฎรนานัปการ ความโอ่อ่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมในราชสำนักเป็นประดุจคำ
ที่กล่าวเสียดสีไว้ว่า “ภายในประตูแดงเหล้าเนื้อแรงด้วยกลิ่นเหม็น ตามถนนคนลำเค็ญ อดอยากเป็นศพเกลื่อนไป”
ประชาราษฎร์ทั้งหลายต่างร้องระงมไปทุกหย่อมหญ้า พากันไม่พอใจ สาบแช่งราชวงศ์ถังกันทั่วไป

ในขณะที่พระเจ้าถังอี้จงฮ่องเต้จัดพิธีอภิเษกสมรสราชธิดาถงชางกงจู่ก็ใช้จ่ายเงินไปถึง ๑ ล้าน ๒ แสนหมิน
(๑ หมินเท่ากับ ๑,๐๐ อีแปะ) ม่านหน้าต่างห้องประทับประดับด้วยไขมุก บ่อน้ำก็ก่อด้วยหยกก้อน
ส่วนแก้วแหวนเงินทองก็พระราชทานเป็นสินสมรสนับจำนวนไม่ถ้วน เมื่อท้องพระคลังต้องร่อยหรอไป
เพราะการใช้จ่ายอย่างไม่ยับยั้ง ถึงอี่จงฮ่องเต้ก็จำต้องรีดภาษี อากรจากราษฎรมาชดเชย
ความเดือดร้อนของประชาราษฎรก็หนักหน่วงยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ

กาลมาถึงรัชสมัยของพระเจ้าถังซีจงฮ่องเต้ (ค.ศ.๘๗๔ – ๘๗๙) ทางเหอหนานเกิดทุพภิกขภัย
ราษฎรอดอยากยากแค้นแสนสาหัส จึงพากันไปร้องเรียนยังจวนเจ้าเมือง เจ้าเมืองหาได้รับฟัง
ความทุกข์ยากของราษฎรไม่ กลับชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ในจวนของตน พลางตวาดราษฎรที่มาร้องทุกข์ว่า
“พวกเจ้าว่าฝนแล้งไรนาแห้งตามหมด พวกเจ้าจงถ่างตาดูซิว่า ต้นไม้ของข้ายังใหญ่โต ใบไม้เขียวชอุ่ม
งอกงามดีอยู่อย่างเดิม ถ้าฝนแล้วอากาศแห้งอย่างพวกเจ้าว่า ต้นไม้ข้าจะอยู่ได้อย่างไรกัน?” ขุนนางเลวแบบนี้
มีอยู่มากมายในปลายสมัยราชวงศ์ถัง ที่ใกล้จะสิ้นราชวงศ์แล้ว

ในปีที่ ๒ ของถังซีจงฮ่องเต้ (ค.ศ.๘๗๕) ทางซานตงเกิดแล้งจัด ประชาราษฎรทนต่อการดูดายของทางราชสำนัก
ต่อไปอีกไม่ไหว หวางเซียนจือ คนเมืองผูโจว (ในมณฑลซานตงปัจจุบัน) ก็รวบรวมราษฎรแข็งข้อลุกขึ้นสู้
กับทางราชวงศ์ถัง ในปีรุ่งขึ้น หวางเซียนจือก็นำกำลังบุกเข้าไปในแคว้นฉาวโจว (ในมณฑลซานตง
และเหอหนานในปัจจุบัน) ต่อมาหวงฉาวก็ลุกขึ้นสู้ นำราษฎรที่ทุกข์ยากแข็งข้อต่อราชวงศ์ถังอีกแรงหนึ่ง
หวงฉาวเป็นคนเมืองเหมี่ยนจี้ (ในมณฑลซานตง) ในวันเด็กเคยร่วมมือกับหวางเซียนจือ ค้าเกลือเถื่อน
ชอบการเล่าเรียนและฝึกเพลงอาวุธ เคยเข้าสอบไล่เพื่อเป็นบัณฑิตหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ ครอบครัวพอมีอันจะกิน
มักจะจับจ่ายทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือ คนตกทุกข์ได้ยากเสมอมา ครั้นเห็นชาวนาทั้งหลายอดอยากยากแค้นสุดคณนา
ทรัพย์สินที่ตนมีอยู่ก็หมดสิ้นแล้ว เมื่อได้ข่าวว่าหวางเซียนจือเพื่อนเกลอนำราษฎรแข็งข้อต่อฮ่องเต้
จึงรวบรวมบรรดาชาวนาที่ไม่พอใจใคร่จะกบฏ ก่อการแข็งข้อขึ้นมาบ้าง ต่อมา หวางเซียนจือถึงแก่ชีวิตในการรบ
กับเจิงหยวนยี่แม่ทัพปราบกบฏของราชวงศ์ถัง ที่เมืองหวงเหมย (ในมณฑลฆูเป่ยในปัจจุบัน) กำลังของหวางเซียนจือ
จึงตกมาเป็นของหวงฉาวทั้งหมด หวงฉาวจึงตั้งตนขึ้นเป็น “ขุนพลทะลุฟ้า” อันมีความหมายว่า จักขจัดฮ่องเต้
ผู้อุปโลกน์ตัวเองเป็นพระราชบุตรแห่งสวรรค์ให้สิ้นไป

ในปีแรก ๆ หวงฉาวนำไพร่พลร่อนเร่รบไปในแถบซานตง เหอหนานอันฮุย และหูเป่ย ฆ่าขุนนางที่ข่มเหงราษฎร
ปล้นคนรวยช่วยคนจน ขจัดคนพาลอภิบาลคนดีเรื่องมา ต่อมาหวงฉาวก็นำกลับข้ามแม่น้ำแยงซีตีลงมาทางใต้
ยังเมืองหังโจว เย่โจว ฉีโจว (ในมณฑลเจ๋อเจียงปัจจุบัน) เจี้ยนโจว ฝูโจว (ในมณฑลฮกเกี้ยนปัจจุบัน)
จนถึงกว่างโจว (ในมณฑลกวางตุ้งปัจจุบัน) เดิมทีหวงฉาวเห็นกว่างโจวมีชัยภูมิดี คิดจะตั้งหลักอยู่กว่างโจว
แต่เนื่องจากไพร่พลส่วนใหญ่เป็นคนทางเหนือ ไม่ชินต่อดินฟ้าอากาศทางใต้ ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยกันเป็นอันมาก
หาวฉาวจึงเลิกล้มความตั้งใจ จำต้องนำกำลังบุกกลับขึ้นไปทางเหนือ เข้าหูหนานก่อน ต่อมาก็เข้าไปในหูเป่ย

ในขณะนั้น หวางต้ออัครหาเสนาบดีของราชวงศ์ถังถูกส่งตัวให้มาหาทางสกัดทัพของหวงฉาวที่เมืองเจียงหลิง
(ในมณฑลหูเป่ยในปัจจุบัน) มิให้รุกขึ้นไปทางเหนือ แต่หวางต้อกลับตั้งมั่นอยู่ในเมืองเจียงหลิงเฉยอยู่
แต่เมื่อข่าวแพร่มาว่าวหวงฉาวนำทัพ ๕๐ หมื่นพุ่งเข้ามาหาอย่างเร็วรี่ พวกขุนนางน้อยใหญ่ และแม่ทัพนายกองทั้งหลาย
ในเมืองเจียงหลิงต่างก็พากับหลบหนีเอาตัวรอด มิมีใจรบด้วยหวงฉาวเป็นจ้าละหวั่น หวางต้อเห็นดังนั้นก็ขวัญหนีดีฝ่อ
ก็ทิ้งเมืองเจียงหลิงเอาตัวรอดไปบ้าง หวงฉาวทราบว่า หวางต้อถูกส่งตัวมาสกัดทัพของตนที่เมืองเจียงหลิง
ก็นำทัพตรงเข้ามายังเมืองเจียงหลิงเพื่อรบกับหวางต้อให้รู้ดีรู้ชั่ว แต่ครั้นมาถึงเมืองเจียงหลิง จึงรู้ว่าหวางต้อหนีไป
จนไม่เห็นเงาแล้ว ก็ยกทัพวกลงมาทางเมืองเจียงโจว ซิ่นโจว (ในมณฑลเจียงซีปัจจุบัน) ฉือโจว
(ในมณฑลอันฮุยในปัจจุบัน) ข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงที่เมืองไฉ่สือ เข้าตีเมืองซู่โจว (ในมณฑลเจียงซูปัจจุบัน) แล้ว
พุ่งเข้าตีเมืองเลาะหยาง จากเลาะหยางก็รุดเข้าตีเมืองหลวงฉางอัน ที่หวงฉาวสามารถเดินทัพและรบชนะได้รวดเร็วเช่นนี้
ก็เพราะกองทัพลุกขึ้นสู้ของหวงฉาวมีวินัยเข้มงวด ได้รับการสนับสนุนจากมวลชนโดยเฉพาะชาวนาอย่างกว้างขวาง
ไปถึงที่ใด ที่นั่นก็ราบเป็นหน้ากลอง แทบจะมิได้รับการต่อต้านขัดขวางแต่ประการใดเลย

เมื่อกองทัพลุกขึ้นสู้ของหวงฉาวได้เมืองเลาะหยางอันเป็นเมืองหลวงทางตะวันออกของราชวงศ์ถังแล้ว
พระเจ้าถังซีจงฮ่องเต้ก็เตรียมการหลบหนีออกจากนครฉางอัน เมื่อกองทัพของหวงฉาวผ่านด่านถงกวนเข้ามา
ถังซีจงฮ่องเต้พร้อมด้วยขันดีคนโปรดเถียนลิ่งเซี่ยว และขุนนางผู้ใหญ่อีกหลายคนก็หลบออกจากนครฉางอัน
ไปยังเมืองซิงหยวน (ในมณฑลส่านซีปัจจุบัน) อย่างเงียบๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกขุนนางทั้งหลายก็ไปเข้าเฝ้ายังท้องพระโรงตามปกติแต่เฝ้าคอยก็คอยหาย
ไม่เห็นพระเจ้าถังซีจงฮ่องเต้ออกขุนนางเยี่ยงทุกวัน ก็เกิดรวนเรกันเป็นการใหญ่ เมื่อไต่ถามเข้าไปยังพระราชวังชั้นใน
จึงรู้ว่าฮ่องเต้ชิงหนีไปเอาตัวรอดไปก่อนแล้ว ขุนนางทั้งหลายก็ยิ่งตื่นตกใจ ที่หนีก็หนี ที่ซ่อนก็ซ่อน
มิมีผู้ใดคิดการที่จะกอบกู้เมืองหลวงเลย ในเมืองหลวงฉางอันจึงเต็มไปด้วยความอลหม่าน ไม่เป็นอันรบป้องกันเมือง
ทำให้หวงฉางสามารถยาตราทัพเข้านครฉางอันโดยมิต้องเสียทหารเลยแม้สักคนเดียว ประชาราษฎรในเมืองหลวง
พากันต้อนรับทหารของหวงฉาวด้วยความปิติยินดี เวลานั้น ตรงกับปีที่ ๑ แห่งศักราชกว่างหมิงของพระเจ้าถังซีจงฮ่องเต้
(ค.ศ.๘๘๐)

เมื่อทัพของหวงฉาวเข้าเมืองหลวงฉางอันได้แล้ว ก็นำราชสมบัติในท้องพระคลังและทรัพย์สินของพวกขุนนางทั้งหลาย
ออกแจกจ่ายแก่อาณาประชาราษฎร์ผู้ทุกข์ยากโดยทั่วหน้า แล้วประกาศแก่ราษฎรทังหลาย ว่า
“กองทัพลุกขึ้นสู่ของหวงฉาว ที่แท้นั้นเพื่อประราษฎร์ หาได้กดขี้บีฑาไม่คำนึงถึงความเป็นความตายของราษฎร
เฉกเช่นราชวงศ์ถังแห่งตระกูลหลี่ไม่ บัดนี้ความสงบสุข มิต้องเกรงกลัวอีกต่อไป”
ในชั้นแรกที่เข้าเมืองหลวง หวงฉาวมิได้เข้าไปพำนักอยู่ในพระราชวังเพียงแต่สั่งให้คอยพิทักษ์วังต้องห้ามเหล่านั้นให้ดี
ตนเองก็ไปพักเสียที่บ้านของขันทีเยนลิงเซี่ยว ให้เข้มงวดในวินัยของทหาร เพื่อมิให้ฮึกเหิมจนเสียการจึงได้รับ
การสนับสนุนจากราษฎรในเมืองหลวงเป็นอันดี แต่ชั่วระยะเวลาไม่นาน หวงฉาวก็หลงในคารมของพวกประจบสอพลอ
นำครอบครัวย้ายเข้าไปอยู่ในพระราชวัง ตั้งตนเป็นฮ่องเต้มีชื่อว่าพระเจ้าไต้ฉีฮ่องเต้ เปลี่ยนศักราชเป็นจิงถ่ง
ตั้งให้ช่างย่างเป็นอัครมหาเสนาบดี การหลงระเริงต่อความสุสำราญในพระราชวัง ทำให้หวงฉาวค่อยๆ ลืมไปว่า
ถังซีจงฮ่องเต้ยังอยู่ อิทธิพลของขุนนางเก่าในราชวงศ์ถังยังอยู่ จึงมิได้รุกไล่ติดตามถังซีจงให้สิ้นแผ่นดิน
ถังซีจงจึงสามารถหลบหนีเอาชีวิตรอดไปได้โดยสะดวก

ถังซีจงหนีไปอยู่เมืองเฉิงตู (ในมณฑลเสฉวนปัจจุบัน) เมื่อเห็นว่าพ้นจากการคุกคามของหวงฉาว
ก็ทรงเรียกขุนนางทั้งหลายเข้าปรึกษาเพื่อตอบโต้หวงฉาว ครั้นแล้ว ก็จัดฝึกปรือกำลังทหาร
เสริมอาวุธยุทโธปกรณ์ โยกย้ายกำลัง เตรียมการตีโต้กลังอย่างเร่งรีบ ในขณะเดียวกันก็ลักลอบติดสินบน
ขุนพลของหวงฉาวตลอดจนขุนพลราชวงศ์ถังเก่าที่สวามิภักดิ์ด้วยหวงฉาว ยุยงให้ทรยศหักหลังหวงฉาว
พร้อมกันนั้น ก็ส่งทูตไปขอความช่วยเหลือจากซาทอหลี่เค่อเผ่าฮวนชาติทู่เจี๋ย (เตอร์ก) ทางตะวันตก
เพื่อให้ส่งกำลังมาช่วยขจัดกองทัพชาวนาของหวงฉาว การดำเนินงานของถังซีจงฮ่องเต้
หวงฉาวตั้งอยู่ในความประมาทมิได้ใส่ใจในพฤติการณ์ของฝ่ายราชวงศ์ถังอย่างใกล้ชิด
ในเดือนที่ ๕ ปีที่ ๒ แห่งศักราชจินถ่งของหวงฉาว (ค.ศ.๘๘๑) การจัดวางกำลังของราชวงศ์ถังก็เสร็จสิ้น
เรียงรายโอบล้อมนครฉางอันไว้โดยรอบในระยะห่าง หวงฉาวก็ยังมิได้เล็งเห็นถึงความคับขันของเหตุการณ์
เพียงแต่ส่งซ่างย่างให้นำทัพไปตีเมืองฝังเสียง (ในมณฑลส่านซีปัจจุบัน) เจิ้นเถียนขุนพลราชวงศ์ถัง
ซึ่งจัดวางกำลังซุ่มไว้คอยท่าในชัยภูมิที่ได้เปรียบอยู่ก่อนแล้ว ก็นำกำลังออกล่อรบด้วย โดยตั้งทัพไว้บนเนินสูง
ซ่างย่างเห็นดังนั้นก็เข้าใจว่าเจิ้นเถียนอ่อนหัดมิรู้เรื่องพิชัยสงคราม จึงเร่งทหารเข้าตี ยังไม่ทันที่ทัพของซ่างย่าง
จะขึ้นเนิน ก็ถูกกองทัพที่เจิ้นเถียนซุ่มเอาไว้ก่อน บุกเข้าตีจนถูกตัดออกเป็นหลายส่วน คุมกันไม่ติด สั่งการไม่ได้
ซ่างย่างจึงรีบถอยทัพกลับ แต่ก็เสียกำลังไพร่พลไปกว่าครึ่งแก่คนที่ตนดูถูกว่า มิรู้ซึ้งถึงตำราพิชัยสงครามคนนั้น

ชัยชนะที่เมืองฝังเสียง ทำให้ทางราชวงศ์ถังฮึกเหิมเป็นอย่างยิ่ง จึงเร่งเดินทัพติดตามซ่างย่างมาอย่างไม่ลดละ
ด้วยกำลังทัพที่เตรียมไว้ ซ่างยางเมื่อถึงเมืองหลวงฉางอัน ก็เข้าไปแจ้งแก่หวงฉาวให้ทราบถึงความพ่ายแพ้ของตน
โดยตลอดแล้วว่า “บัดนี้ ทหารราชวงศ์ถังมากมาย กำลังไล่ตามหลังมาติด ๆ คงจะประชิดฉางอันในไม่ช้า
เหตุการณ์คับขันนัก ท่านจะทำประการใดก็จงเร่งคิดโดยเร็วเถิด”
หวงฉาวพร้อมด้วยขุนพลทั้งหลายจึงปรึกษาการศึกครั้งนี้โดยละเอียดเห็นว่า ควรจะให้กลยุทธ์ถอยเพื่อรุก
“ปิดประตูจับโจร” ครั้งแล้ว ในวันที่ ๖ เดือน ๕ หวงฉาวก็ถอยออกจากฉางอันทางตะวันออกอย่างปิดเงียบ
พักซุ่มซ่อนตัวอยู่บนเขื่อนแห่งหนึ่ง ไม่ห่างจากฉางอันนัก

กองทัพของราชวงศ์ถังซึ่งนำทัพไปโดยขุนพล เฉินจงฉู่ ถังหงฟู หวางซู่ฉุน ก็ตีบุกเข้าไปในเมืองหลวงฉางอัน
ได้โดยสะดวก เห็นทหารของหาวฉาวไม่มีเหลืออยู่เลยสักคน ก็เข้าใจว่าหวงฉาวรักตัวกลัวตาย
รีบถอยหนีไปเสียก่อน เหล่าทหารจึงต่างพากันปล้นสะดมชาวเมือง ข่มเหงรังแกสตรีเพศโดยปราศจากความกังวล
เมืองหลวงฉางอัน แทบจะกลายเป็นเมืองนรกไปในบัดดล

ตอนดึกของคืนวันนั้น กองทัพลุกขึ้นสู้ของหวงฉาวก็เข้าล้อมฉางอันไว้ทุกด้าน แล้วแยกกันเข้าฉางอันจากทุกทิศ
ทหารราชวงศ์ถังเหนื่อยเพลียจากการปล้นสะดมข่มเหงรังแกชาวเมืองมาทั้งวัน อีกทั้งเป็นห่วงทรัพย์สินที่ปล้นชิงมาได้
เมื่อถูกทหารหวงฉาวตีกระหนาบเข้ามาทุกทาง ก็ไม่เป็นอันสู้รบถูกฆ่าตายเป็นเบือ ส่วนแม่ทัพเฉินจงฉู่กับคนอื่น ๆ
ผวาตื่นกลางดึก เพราะเสียงโห่ร้องเข้าตีของทหารหวงฉาวจนแยกทิศทางไม่ถูก จึงได้แต่คว้าอาวุธประจำตัว
ต่างคนต่างคิดหนีเอกตัวรอด แต่พวกขุนพลทั้งหมดกลับถูกทหารหวงฉาวล้อมไว้อย่างหนาแน่น สุดจะตีฝ่าออกไปได้
ก็จำต้องฝืนสู้อย่างสุนัขจนตรอก ก็ถูกฆ่าตายในที่รบหมดทุกคน

เมืองหลวงฉางอันกลับคืนสู่อุ้งมือขงราชวงศ์ถังยังไม่ทันจะครบวันดีก็ต้องมาเสียให้แก่กองทัพลุกขึ้นสู้ของชาวนาหวงฉาวอีก
พร้อมกับพ่ายแพ้ไปอย่างยับเยิน

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“เมื่อจักจับโจร พึงตัดทางหนี โอบล้อมไว้ให้แน่นหนา หากโจรเข้าในเมือง จงปิดประตูเมืองให้สนิท
มิให้มีทางเล็ดรอดออกไปได้ จึงจักถูกจับได้โดยละม่อม กลับกัน พบโจรก็ไล่ ไม่ปิดประตูเมือง
ไล่เหนือไปใต้ โจรก็พ้นไป โจรที่หนีพ้น ย่อมจักย่ามใจ จักย้อนกลับมาอีกพร้อมด้วยพรรคพวก
หากปิดทางหนีโจรจักมิกล้า อู๋จื่อกล่าวไว้ว่า “โจรที่ไม่คำนึงถึงความตาย หากซ่อนตัวตามสุมทุมพุ่มไม้ในป่ากว้าง
ก็พอจักทำให้กำลังซึ่งติดตามมาเป็นพันคนอกสั่นขวัญแขวนลมพัดใบไม้ไหวก็แตกตื่น เพราะมิรู้ว่า
โจรจักปรากฏตัวออกมาจู่โจมเอาชีวิตเมื่อใด” จับโจร จึงควรระวังมิให้เป็นปลาลอดร่างแห”
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:22 am

กลยุทธ์ที่ ๒๓ คบไกลตีใกล้

สภาวการณ์บังคับ เอาใกล้จักได้ มุ่งไกลจักเสีย เปลวไฟลอยขึ้น น้ำบึงไหลลง

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อถูกจำกัดโดยสภาพแวดล้อม ควรตีเอาข้าศึกที่อยู่ใกล้ตัว
จึงจะเป็นประโยชน์แก่ตน โจมตีข้าศึกที่อยู่ไกล จัดเป็นผลร้ายแก่ตน “ เปลวไฟลอยขึ้น น้ำบึงไหลลง”
หมายความว่า การผูกมิตรนั้น แม้ความคิดเห็นจะไม่ตรงกันก็สามารถที่จะร่วมมือกันได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
คำนี้มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ต่าง” ความว่า “เปลวไฟลอยขึ้น น้ำบึงไกลลง บุรุษจักร่วมกันเราความผิดแผก”
ดังนั้น ต่อข้าศึกใกล้และไกล พึงมีนโยบายที่แตกต่างกัน นี่เป็นกลยุทธ์ที่ผูกมิตรกับรัฐไกล
เพื่อเอาชัยต่อรัฐใกล้อย่างหนึ่ง

ตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์นี้คือ.......
ประเทศสิงคโปร์ เป็นประเทศขนาดเล็กที่อยู่ปลายแหลมมาลายู ที่เมื่อครั้งในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่ง
ของประเทศมาเลเซีย แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้ได้แยกตัวเป็นอิสระจากประเทศมาเลเซียไป
ชื่อเสียงของประเทศสิงคโปร์ในสายตาของประชาคมโลกนับว่าเป็นประเทศที่ค่อนข้างจะมีเครดิตดี
อันเนื่องมาจากการที่สิงคโปร์มีการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าตามแนวทางของลัทธิทุนนิยม
อย่างได้ผล ทั้ง ๆ ที่สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กเป็นเกาะที่มีขนาดเล็กกว่าจังหวัดภูเก็ตของไทยด้วยซ้ำไป
มีประชากรประมาณ ๓ ล้านคนเศษ แต่รายได้ต่อหัวของประชากรสิงคโปร์มีสูงกว่าทุกประเทศ
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกือบทุกประเทศ บรรพบุรุษของชาวสิงคโปร์เป็นชาวจีนโพ้นทะเล
โดยกำเนิด แต่เนื่องจากเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษมายาวนานจึงทำให้ชาวสิงคโปร์มีวิถีชีวิตคล้ายคลึง
กับชาวตะวันตกหรือตามแบบอย่างอังกฤษ สิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ
ที่จะสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับประเทศได้จึงจำเป็นต้องดิ้นแสวงหาความมั่งคั่งด้วยวิธีอื่น
ที่ไม่ใช่ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยการบริหารจัดการที่ดีและเป็นระบบทำให้ประเทศสิงคโปร์
เป็นประเทศที่มั่งคั่งร่ำรวยในที่สุด เป็นเสือหนึ่งในห้าของเอเชีย ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าด้วยข้อจำกัด
ด้านทรัพยากรธรรมชาติและเป็นประเทศเล็ก สิงคโปร์จึงใช้ทุกวิธีทางในอันที่จะสร้างความมั่งคั่ง
ให้กับตนเอง ในกลยุทธ์นี้อยากที่จะกล่าวถึงพฤติกรรมในการดำเนินนโยบายการคบไกลตีใกล้ของสิงคโปร์
ที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของตน

ใคร่ที่จะขอกล่าวถึงการแย่งชิงความเป็นใหญ่ของประเทศมหาอำนาจในโลกในแต่ละยุคแต่ละสมัย
ก่อนที่จะกลับมากล่าวถึงสิงคโปร์อีกครั้งหนึ่งนั้น นับตั้งแต่โบราณกาลเป็นต้นมา ประเทศใดก็ตาม
ที่ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจในโลก ย่อมพยายามที่จะแย่งชิงผลประโยชน์จากพื้นที่ต่าง ๆ
ในทั่วทุกมุมโลกมาเป็นของตน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในยุคสงครามเย็นที่ผ่านมา
ประเทศมหาอำนาจหลายประเทศต่างแข่งขันกันแย่งชิงผลประโยชน์กันทั่วทุกมุมโลก
ด้วยการแข่งขันกันแสวงหาอาณานิคมในดินแดนต่าง ๆ แล้วนำความมั่งคั่งกลับสู่ประเทศของตน
ยิ่งในยุคปัจจุบันเป็นยุคโลกาภิวัฒน์ที่ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายประการด้วยกัน
อย่างน้อยที่สุดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้แก่ ความรวดเร็วของข้อมูลข่าวสาร ความรวดเร็วของ
การขนส่ง และความรวดเร็วของการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากภูมิภาคหนึ่งไปยังอีกภูมิภาคหนึ่ง
โลกาภิวัตน์ เกิดขึ้นก่อนที่จะสิ้นสุดยุคสงครามเย็น แต่มาเกิดผลเป็นรูปธรรมของการเปลี่ยนแปลง
หลังจากที่สิ้นสุดยุคสงครามเย็นเรียบร้อยแล้วคือหลังปี พ.ศ.๒๕๓๒ เป็นต้นมา


ยุคต่างๆ ของการต่อสู้ของมหาอำนาจ
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นดินแดนที่เป็นเป้าหมายการแย้งชิงของประเทศมหาอำนาจนับตั้งแต่
ยุคล่าอาณานิคมเป็นต้นมา ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ล้วนแล้วแต่ถูกประเทศมหาอำนาจยึดครองเป็นอาณานิคม
ยกเว้น ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวเท่านั้น ประเทศสิงคโปร์ เป็นเมืองท่าที่ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบมะละกา
มหาอำนาจทั้งปวงมหาอำนาจที่มีพลังอำนาจมากกว่าจะรีบเร่งเข้ายึดครอง สิงคโปร์ทันที ที่เห็นได้ชัดก็ได้แก่
อังกฤษ ที่มีพลังอำนาจทางเรือมากกว่าประเทศใด ๆ ในยุคนั้นได้เข้ายึดครอง มาเลเซีย และสิงคโปร์
เพื่อดำรงอิทธิพลของตนเหนือช่องแคบมะละกาให้ได้

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ การสู้รบระหว่างมหาอำนาจเจ้าถิ่นในเอเชียกับมหาอำนาจตะวันตกคือ
อังกฤษก็เริ่มขึ้น ญี่ปุ่นได้รีบเร่งเข้ายึดภูมิประเทศ สำคัญคือสิงคโปร์นี้ให้ได้ครั้นเมื่อสิ้นสุด สงครามโลกครั้งที่ ๒
อำนาจอิทธิพลของอังกฤษเสื่อมลง มหาอำนาจในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ คือ
สหรัฐอเมริกา ได้นำพาประชาคมโลกเข้าสู่สงครามเย็นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ยังเป็นพื้นที่แย่งชิงอำนาจ
และผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจอยู่เช่นเดิม ประเทศในค่ายสังคมนิยม อันมีสหภาพโซเวียตและจีนเป็นผู้นำ
ได้พยายามจะขยายอิทธิพลของตนเข้าครอบครอง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐอเมริกาก็ได้ระดมพลังของประเทศ
ในค่ายโลกเสรีต่อต้าน การแพร่ขยายอิทธิพลอันนั้น มีสมรภูมิการต่อสู้ย่อย ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งด้วยกันเช่น
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกมีสงครามเกาหลี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสงครามเวียดนาม สงครามในอินโดจีน
ทั้งลาวและกัมพูชา ซึ่งฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์สามารถที่จะขยายอำนาจอิทธิพลของตนลงมาทางใต้ครอบครอง
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ในระดับหนึ่ง จุดแย่งชิงสำคัญอยู่ที่ประเทศไทย ถ้าประเทศไทยล้มไปพร้อมกับประเทศ
ในอินโดจีนทั้งหมด ตามทฤษฎีโดมิโนในขณะนั้นแล้วเชื่อแน่ว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคก็จะต้องล้มตามไปด้วย
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่การต่อสู้บนผืนแผ่นดินคนไทยมีความเหนียวแน่นมาก ที่เหนียวแน่น และทำให้ประเทศไทย
ไม่ล้มตามทฤษฎี โดมิโน ดังที่กล่าวแล้ว ถ้าศึกษาให้ละเอียดลึกซึ้ง จริง ๆ แล้ว เป็นเรื่องไม่ใช่บังเอิญ
แต่เป็นด้วยการมีลักษณะพิเศษของสังคมไทย ที่จะใช้ทฤษฎีใดๆ มาอธิบายและคาดเดาสังคมไทย
ก็ไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจน สิ่งที่ทำให้เห็นความเป็นพิเศษ และเอาประเทศชาติของไทย
ได้มีมาโดยตลอด ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ประเทศไทยไม่แพ้ด้วย ในยุคล่าอาณานิคมทุกประเทศ
ในภูมิภาคตกเป็นอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจหมดสิ้นเหลืออยู่เพียงประเทศเดียวคือ ประเทศไทย
ที่ยังคงดำรงเอกราช และอธิปไตยของชาติไว้ได้

กล่าวถึงสิงคโปร์ในยุคหลังสงครามเย็น ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า สิงคโปร์เป็นจุดแย่งชิงสำคัญของ
มหาอำนาจอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะถ้าประเทศใดยึดครองสิงคโปร์ได้ก็สามารถที่จะยึดครอง
และมีอำนาจเหนือช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นเส้นทางทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อมหาอำนาจทั้งหลาย
จำเป็นอยู่ดีที่ผู้บริหารประเทศของสิงคโปร์ต้องหาทางออกที่ เมื่อมีการเปลี่ยนมหาอำนาจเข้ามามีอิทธิพล
เหนือเกาะสิงคโปร์ ผู้บริหารประเทศของสิงคโปร์ก็ต้องพึ่งพาประเทศชาติของตนให้รอดพ้นความบอบช้ำ
และถูกทำลายให้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้นำสิงคโปร์ต้องมีความฉลาดเพียงพอที่จะสร้างความมั่งคั่งของประเทศตน
ให้ได้ภายใต้จังหวะการเปลี่ยนแปลงการเข้ามีอิทธิพลและอำนาจเหนือเกาะสิงคโปร์ของมหาอำนาจ
ในแต่ละยุคสมัยถ้าไม่เช่นนั้นแล้วสิงคโปร์ก็จะดำรงความเป็นประเทศอยู่ไม่ได้ ดังที่กล่าวแล้วว่า
ในช่วงยุคสงครามเย็น สิงคโปร์เป็นเพียงฐานการส่งกำลังบำรุง และเส้นทางผ่านที่สำคัญของสหรัฐฯ
ที่เข้าสู้รบในสมรภูมิเวียดนาม ลาว กัมพูชา และแม่แต่ในประเทศไทยเองก็ตาม สิงคโปร์ไม่ได้เป็นสมรภูมิ
การสู้รบด้วยอาวุธในสมัยนั้น ดังนั้นในยุคนี้สิงคโปร์จึงยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจผู้นำโลกเสรีคือ
สหรัฐอเมริกา สหรัฐฯ ได้มีส่วนเสริมสร้างความแข่งแกร่งหลายด้านให้สิงคโปร์ต่อจากอังกฤษที่ยึดครองสิงคโปร์
จนกระทั้งสงครามเย็นสิ้นสุดลง สิงคโปร์ก็ยังคงอยู่ในบรรดาประเทศที่อยู่ภายใต้อิทธิพลอำนาจของ
มหาอำนาจสหรัฐอเมริกา

จะเห็นได้จาก นายกรัฐมนตรี ลีกวน ยู ซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายสหรัฐอเมริกา ทั้งทางลับและเปิดเผย มาถึงยุค
นายกรัฐมนตรี โก๊ะ จ๊ก ตง ของสิงคโปร์ สิงคโปร์ก็ยังคงอิงสหรัฐอเมริกาอยู่เช่นเดิม จากการขยายอิทธิพลของจีน
หลังยุคสงครามเย็น หลังจากที่จีนประกาศนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ (Reform and Openning Up Policy)
โดยผู้นำ เติ้ง เสี้ยว ผิง ของจีน ทำให้อิทธิพลของจีนขยายเข้ามาสู้ภูมิภาค เอเชียตะวันออก เฉียงใต้อย่างรวดเร็ว
ด้วยการที่จีนมีชาวจีนโพ้นทะเลอยู่ตามประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ ทำให้การดำเนินกินกรรมใด ๆ ของจีน
เป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งจีนค่อย ๆ มีอิทธิพลเข้าไปถึงสิงคโปร์ด้วยอย่างน้อยที่สุดคนสายเลือดเดียวกัน
ของชาวจีนแผ่นดินใหญ่กับชาวจีนโพ้นทะเลที่อยู่ในสิงคโปร์ เมื่อจีนขยายอิทธิพลของตนเข้าทับพื้นที่อิทธิพลของสหรัฐฯ
แต่เดิมทำให้สหรัฐฯ อยู่นิ่งเฉยไม่ได้ สหรัฐฯ ยังคงดำเนินนโยบายการปิดล้อมการขยายอิทธิพลของจีนอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้นการโต้ตอบการขยายอิทธิพลของจีนโดยสหรัฐฯ จึงต้องกลายเป็นเรื่องที่เร่งด่วนมากขึ้น วิกฤตเศรษฐกิจ
ที่เห็นได้ชัดอีกช่วงหนึ่งของการปิดล้อมการขยายอิทธิพลของจีน โดยสหรัฐอเมริกาคือ การสร้างวิกฤติเศรษฐกิจ
ให้เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เริ่มต้นจากประเทศไทย แล้วขยายออกไปสู่ภาคอาเซียน
และภูมิภาคเอเชีย ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สหรัฐฯ ได้ใช้กลยุทธ์ในการเข้าครอบครองเอเชียด้านเศรษฐกิจ
โดยการดำเนินการ ๒ ทางด้วยกัน

๑) ทางที่หนึ่งคือการ ใช้นักการค้าตนเอง ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่าประเทศสหรัฐฯ ได้ดำเนินการในการรุกเข้าสู่พื้นที่ต่างๆ
เช่นเดียวกับประเทศล่าอาณานิคมในอดีตทำ กล่าวคือ เป็นลักษณะของการรุกไปพร้อม ๆ กันทุกองค์กร ทั้งด้านการค้า
การทหาร และด้านศาสนา ที่ทั้งสามองค์กรดังกล่าวจะต้องมีการประสานงานและเกื้อกูลประโยชน์กันอย่างสอดคล้อง
ถ้าศึกษาและสังเกตให้ดีจะทราบว่ากำลังทหารก็มีส่วนสนับสนุนงานด้านการค้าขาย นักการข่าวหรือสายลับ
อย่างองค์กร ซีไอเอ ก็แสวงหาข้อมูลเพื่อสนับสนุนนักธุรกิจทั้งสิ้นเหมือนกัน นักธุรกิจของสหรัฐฯ ที่ประกอบไปด้วย
บรรษัทข้ามชาติทั้งหลายร่วมมือกับองค์กร ของรัฐอย่างเช่น องค์กร ซีไอเอ รวมทั้งองค์กรการเคลื่อนไหวอย่าง NGOs
เข้าสู่ประเทศเป้าหมายโดยตรง ดังจะเห็นได้จากการที่มีบรรษัทข้ามชาติของทั้งสหรัฐฯ และชาติตะวันตกเข้ามาลงทุน
ในประเทศไทยเป็นจำนวนมากองค์กรที่แฝงเข้ามากับบรรษัทข้ามชาติในขณะนั้นก็คือ องค์กรซีไอเอ ทั้งนี้เพราะ
ซีไอเอเป็นองค์กรที่รวบรวมข่าวสารในทุก ๆ ด้าน ซีไอเอจะเข้าแทรกซึมในทุกองค์กรของประเทศไทยเป้าหมาย
เข้าแทรกแซงทางการเมือง ทางการทหารเข้าสู่ระบบราชการของประเทศนั้น ๆ การปฏิบัติงานของซีไอเอ
จะสอดคล้องกับกิจกรรมของ NGOs ที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าไม่สังเกตจะไม่มีทางเข้าใจว่าทั้ง ซีไอเอ
กับ NGOs ทำงานประสานสอดคล้องกันอย่างไร ซึ่งได้กล่าวถึงความมาขององค์กรทั้ง ๒ ไปแล้วในเนื้อหาตัวอย่าง
กลยุทธ์ต้น ๆ และเมื่อศึกษาให้ดีจะเห็นในภาพรวมว่าการเคลื่อนไหวของซีไอเอ และ NGOs เป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์
ต่อบรรษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ มีข้อมูลด้านการติดที่ทันสมัยกว่าบรรษัทข้ามชาติของประเทศอื่นๆเพราะมีองค์กรของรัฐบาล
สหรัฐฯ คอยป้อนข้อมูลข่าวสารด้านการค้าที่ทันสมัยให้อยู่อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างของบรรษัทสหรัฐฯดังกล่าวก็ได้แก่
บ.จีอี แคปปิตอล เลแมน บราเดอร์ส์ โกลด์ มานแซ็กซ์ ซึ่งอยู่ในเครือของ จอร์จ โซรอส ที่เข้ามาตีค่าเงินบาทของไทย
และคนไทยก็ทราบภายหลังว่า ผู้อยู่เบื้องหลังจอร์จ โซรอส คือ รัฐบาลสหรัฐฯ นั้นเอง แล้วเมื่อวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้น
นักธุรกิจของสหรัฐฯ และประเทศในเครือก็เข้าควบคุมและครอบครองธุรกิจของไทยโดยเบ็ดเสร็จ อันเป็นที่ทราบกันทั่วไป
ของนักธุรกิจชั้นนำ นักยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงชั้นนำของประเทศไทยอยู่แล้ว ซึ่งการครอบครองธุรกิจดังกล่าว
เป็นไปทั้งทางลับ และเปิดเผย ทางลับคือใช้ชื่อนักธุรกิจของไทยเป็นตัวแสดงแต่เจ้าของทุนและผู้มีอำนาจสั่งการจริง ๆ แล้ว
เป็นเจ้าของบรรษัทข้ามชาติสหรัฐอเมริกา

๒) การใช้สิงคโปร์เป็นฐาน ในบทบรรยายเพิ่มเติมตำราพิชัยสงคราม ซุน วู กล่าวไว้ว่า การต่อสู้ด้านการค้ากับการต่อสู้
ด้านการทหารก็ใช้หลักการเดียวกัน ฉะนั้นผู้ที่วางแผนการรบ และปฏิบัติการสู้รบเก่งก็จะทำการค้าเก่งด้วยการดำเนินการ
คิดของสหรัฐฯ ก็เช่นเดียวกันที่มีการวางแผนเหมือนกันกับการสู้รบทางทหาร คือ การโจมตีเป้าหมาย ๒ ระลอก

ระลอกแรกคือส่วนที่โจมตีเป้าหมายโดยตรงตามข้อ ๑) ที่ได้กล่าวไปแล้ว คือ การเข้าสู่เป้าหมายการยึดครองโดยตรง
ของนักการค้าและการข่าวของสหรัฐฯ เช่น เข้าสู่ประเทศไทย และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรง

ระลอกที่ ๒ จะตั้งฐานอยู่ที่สิงคโปร์ มีรายงานข่าวหลายกระแสที่น่าเชื่อถือและมีเหตุมีผลถึงเรื่องความร่วมมือ
ของนักธุรกิจสิงคโปร์กับนักธุรกิจสหรัฐฯ คือเงินทุนเป็นของ บรรษัทข้ามชาติสหรัฐฯ แต่ชื่อบริษัทในสิงคโปร์
เป็นชื่อชาวสิงคโปร์

หมายเหตุ
เรื่องนี้อธิบายได้ด้วย ความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่สามารถจะทุ่มเงินทุนผ่านประเทศเล็ก ๆ
และเข้าซื้อประเทศบางประเทศ ทั้งประเทศอย่างไม่เป็นทางการหรือเป็นทางการก็อยู่ในขีดความสามารถ
ที่จะทำได้โดยง่าย นอกจากนั้นสิงคโปร์จำเป็นที่จะต้องทำประเทศชาติของตนเองให้รอด สิ่งใดที่เป็นประโยชน์
ต่อสิงคโปร์ สิงคโปร์ทำได้ทั้งนั้น เป็นหลักธรรมดา สิ่งที่เห็นชัดเจนในเรื่องนี้คือ หลักวิกฤตเศรษฐกิจบริษัทจำนวนมาก
ในชื่อ สิงคโปร์เข้ามากว้านซื้อกิจการด้านเศรษฐกิจของไทยไว้เป็นอันมาก สิงคโปร์ทำเช่นนี้กับประเทศเพื่อนบ้าน
ที่ประสบวิกฤตเศรษฐกิจทุกประเทศ สิ่งที่สิงคโปร์ได้รับคือ ผลประโยชน์ตอบแทนหลายๆ ด้าน ทั้งด้านการเงิน
ด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รวมทั้งอนาคต ในระยะยาวของสิงคโปร์สำหรับประเทศไทยที่คนไทยรู้กันดีอีกเรื่องหนึ่งคือ
การที่นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ที่ถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้เข้าซื้อกิจการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตของไทยไว้ทั้งหมด
โดยมีการจ่ายเงินให้กับนักการเมืองผู้รับผิดชอบด้านนี้อยู่ ในขณะนั้นจำนวนถึง ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินก้อนมหาศาล
สำหรับนักการเมืองที่สามารถจะตัดสินใจขายกิจการของประเทศไทยให้กับต่างชาติได้อย่างสบาย

ที่ผู้เขียนได้กล่าวมาทั้งหมดเพื่อที่จะอธิบายกลยุทธ์ “คบไกลตีใกล้” โดยยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์
ที่คบกับสหรัฐอเมริกาที่เป็นมหาอำนาจและให้ประโยชน์แก่สิงคโปร์แล้วสิงคโปร์ก็เข้าตีเพื่อนบ้าน อย่างไม่ปราณี
เข้าแย่งยึดผลประโยชน์ในประเทศเพื่อนบ้านไป สิงคโปร์ไม่ได้คำนึงถึงความเป็นเพื่อนบ้าน ไม่คำนึงถึงความเป็น
สมาชิกอาเซียนด้วยกัน สิ่งที่สิงคโปร์ทำไปเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติของตน เพื่อความอยู่รอดของตนเอง
และเพื่ออนาคตของประเทศสิงคโปร์เอง นั้นเป็นเรื่องธรรมดา

อีกตัวอย่างหนึ่งที่เข้าข่ายการใช้กลยุทธ์ “ คบไกลตีใกล้” ที่กระทบกับประเทศไทยอยู่ในปัจจุบันนี้ก็คือ
การที่ประเทศไทยส่งกำลังทหารเข้าไปในนามขององค์การสหประชาชาติเพื่อรักษาสันติภาพที่ติมอร์ตะวันออก
ถ้าคิดกันให้ดีแล้ว ถ้ามองในมุมมองของอินโดนีเซียก็จะมองประเทศไทยว่า ได้คบกับสหรัฐฯ หรือออสเตรเลีย
ทำลายความเป็นเอกภาพหรือบูรณภาพของอินโดนีเซีย ก็เหมือนว่าเราช่วยประเทศที่ได้ผลประโยชน์จากการแยกตัว
ออกมาเป็นประเทศเอกราชของติมอร์ตะวันออก ออสเตรเลียได้ประโยชน์ในเรื่องการสลายความแข็งแกร่งของอินโดนีเซีย
ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของออสเตรเลียมานาน นอกจากนั้นยังได้ประโยชน์ในด้านของผลประโยชน์ทาง
ทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ในพื้นที่บริเวณโดยรอบติมอร์ตะวันออกที่มีปริมาณมหาศาล และอื่น ๆ อีกมาก ส่วนสหรัฐฯ
ก็มีส่วนที่ได้รับประโยชน์อยู่เป็นอันมากแต่จะไม่ขอกล่าวในรายละเอียดในที่นี้ นักการทหารไทยมักจะกล่าวกันเสมอว่า
เป็นความชอบธรรมของติมอร์ตะวันออกที่จะแยกตัวออกไปจากอินโดนีเซีย เพราะที่ผ่านมาติมอร์ตะวันออกเคยเป็นรัฐอิสระ
ได้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินโดนีเซียในสมัยประธานาธิบดีซูฮาร์โต้ แต่ถ้าเราคิดกันในมุมมองของอินโดนีเซียแล้ว
เราจะเห็นว่า ไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ซ้ำเติมความบอบช้ำเพื่อนบ้าน ไทยช่วยเหลือกบฏของอินโดนีเซียให้แยกตัว
ออกจากรัฐบาลกลางอินโดนีเซีย ทำให้อินโดนีเซียเกิดความเคียดแค้น รอเวลาว่าเมื่อใดประเทศไทยมีสภาพเช่นอินโดนีเซีย
อินโดนีเซียก็จะทำอย่างไทยบ้างคือสนับสนุนกบฏในประเทศไทยแบ่งแยกดินแดนหรือแยกตัวออกเป็นรัฐอิสระบ้างเหมือนกัน

ดังเช่นที่ทราบกันจากข่าวสารที่ได้รับทราบกันว่า อินโดนีเซีย เรียกร้องให้ไทยให้ความเป็นธรรมแก่ชาวมุสลิมภาคใต้
นั่นเป็นแนวโน้มว่าเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่อินโดนีเซียจะแก้แค้นไทยบ้างแล้ว อาจจะสนับสนุนชาวมุสลิมภาคใต้
แบ่งแยกดินแดนออกไปจากรัฐบาลกลางจริง ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ นี้เป็นยุทธศาสตร์ยุทธวิธีแยกสลายหรือป้องกันการร่วมมือกันของฝ่ายตรงข้าม
เพื่อจุดมุ่งหมายในการตีให้แตกทีละส่วน ที่คำโบราณจีนเคยกล่าวไว้ว่า “ ญาติไกลมิสู้มิตรใกล้” นั้น
ตรงกันข้ามกับกลยุทธ์นี้ แท้ที่จริงแล้ว ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบัน
ความขัดแย้งกับประเทศไกลมักจะน้อย กับประเทศใกล้กับจะมากกว่า เพราะอาจจะมีการกระทบกระทั่งกัน
ในเรื่องผลประโยชน์และอื่น ๆ อีกนานัปการ กลยุทธนี้มีหลักปรัชญาในการแสวงหาประโยชน์
พร้อมทั้งป้องกันตัวไปด้วยในขณะเดียวกัน สุดแต่ผู้ใดจักใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตน”
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:23 am

กลยุทธ์ที่ ๒๔ ยืมทางพรางกล

ระหว่างสองใหญ่ ศัตรูบังคับให้สยบ เราพึงแสดงท่าที ทุกข์ จักมิเชื่อเพียงวาจา

กลยุทธ์นี้มีความว่า ประเทศเล็กที่อยู่ในระหว่าง ๒ ประเทศใหญ่เมื่อถูกข้าศึกบังคับให้สยบอยู่ใต้อำนาจเรา
พึงให้ความช่วยเหลือโดยพลัน เพื่อให้ประเทศที่ถูกข่มเหงเชื่อถือ ต่อประเทศที่ตกอยู่ในความยากลำบาก
การช่วยเหลือแต่เพียงทางวาจา มิได้มีการกระทำที่เป็นจริง ย่อมจะมิได้รับความไว้วางใจ
จากผู้ที่รอความช่วยเหลืออยู่ “ ทุกข์ จักมิเชื่อเพียงวาจา” มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ทุกข์” ความเต็มว่า
“เมื่ออยู่ในทุกข์ จักไม่เชื่อใครโดยง่าย จึงมิเชื่อเพียงวาจา” อันนับเป็นกลยุทธ์ใช้การหลอกยืมทางผ่าน
เพื่อบรรลุการให้ยึดครองอีกฝ่ายที่เราต้องประสงค์อย่างหนึ่ง

ตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์นี้คือ การที่จีนให้การช่วยเหลือพม่าในยามที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศทางตะวันตกที่ประณามและบีบคั้นพม่าเป็นอันมากทำให้พม่าไม่มีทางออก
ผู้ที่เห็นประโยชน์ที่จะใช้พม่าให้เป็นประโยชน์ได้คือจีน ซึ่งมีรายละเอียดของการใช้กลยุทธนี้ดังต่อไปนี้

หลังจากที่พม่าต้องตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษในยุคล่าอาณานิคม อังกฤษได้แสวงประโยชน์จากความมั่งคั่ง
ทางทรัพยากรธรรมชาติของพม่าเพื่อสร้างความมั่งคั่งไปสู่ประเทศแม่ของตนเป็นอันมากนั้น อังกฤษไม่เพียงจะ
ไม่ได้สร้างพื้นฐานการพัฒนาให้กับพม่าเท่านั้น ยังได้วางยาพม่าด้วยการกำหนดในรัฐธรรมนูญพม่าหลังจากที่ให้
เอกราชแก่พม่าว่า ให้ชนกลุ่มน้อยของพม่าสามารถที่จะแยกตนเองเป็นอิสระหรือประกาศอิสรภาพจากพม่าได้
นั่นคือปัญหายิ่งใหญ่ของพม่าที่ตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่อังกฤษวางยาพม่าไว้นั่นเอง
พม่าต้องขมขื่นกับการวางยาของอังกฤษที่ทำให้พม่าต้องพยายามที่จะรวบรวมแผ่นดินของตนให้เป็นหนึ่งเหมือนเดิม
การสร้างบูรณาการของชาติพม่าที่ประกอบด้วนชน กลุ่มน้อยต่าง ๆ มากมายเป็นปัญหาที่รัฐบาลทหารพม่าต้องทุ่มเท
ความพยายามทั้งทรัพยากรเงินทุน และกำลังทหารเข้าดำเนินการแต่ก็ยังไม่มีวี่แววจะสำเร็จลงได้

ถ้าศึกษาเรื่องเกี่ยวกับปัญหาในประเทศพม่าให้ดีก็พอที่จะมองปัญหาโดยสรุปออกมาเป็นปัญหาหลัก ๆ ดังนี้คือ

๑. ปัญหาเรื่องชนกลุ่มน้อย ซึ่งเป็นปัญหาที่พม่าต้องใช้เวลาและทรัพยากรทุ่มเทเพื่อแก้ปัญหาอันนี้มายาวนาน
แต่ก็ยังมองไม่เห็นฝั่งดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

๒. ปัญหาการบีบคั้นกดดันจากประเทศโลกเสรี ประเทศพม่านับเป็นประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองในระบอบ
เผด็จการทหารมายาวนาน ประเทศที่ปกครองในระบอบเผด็จการทหารนั้นก็ต้องตกเป็นเหยื่อของการการกดดัน
และบีบคั้นของประเทศในค่ายโลกเสรีทางตะวันตก ประเทศที่บีบคั้นกดดันพม่าหลัก ๆ คือประเทศทางตะวันตก
ทั้งกลุ่มประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริการวมทั้งอังกฤษที่เคยวางยาพม่ามาแล้วเมื่อครั้งให้เอกราชแก่พม่า
ประเด็นที่ประเทศทางตะวันตกบีบคั้นและกดดันพม่าอย่างรุนแรงต่อเนื่องคือเรื่อง สิทธิมนุยชนและเรื่องประชาธิปไตย
อันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วนั้น

๓. ปัญหานาง ออง ซาน ซู จี ประเทศตะวันตกพยายามที่จะหยิบยกกรณีนาง ออง ซาน ซู จีมาในการกดดันพม่า
กรณีของนางอองซานซูจี เป็นประเด็นหลักในการกดดันพม่าเพื่อที่จะให้รัฐบาลทหารพม่าเปิดทางให้ นางออง ซานฯ
ขึ้นมาบริหารประเทศตามครรลองประชาธิปไตยตามที่ตะวันตกต้องการ ในขณะที่พม่ามีความเห็นว่า
ตัวนาง ออง ซาน ซู จี ขึ้นบริหารประเทศพม่ามีความเห็นว่า พม่าหรือเมียนม่าในปัจจุบันต้องล่มสลายไป
ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ต้องประกาศอิสรภาพและตั้งประเทศใหม่ขึ้นอีกหลายประเทศ และประเทศตะวันตก
ก็จะเข้ามาครอบครองพม่าและแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรณ์อันมั่งคั่งของพม่าไปเหมือนดังเช่นที่
อังกฤษเคยทำมาแล้วเมื่อยุคสมัยล่าอาณานิคม ประเด็น นาง ออง ซาน ซูจี ในแง่คิดมุมมอง ของผู้นำทหารพม่า
กล่าวว่า นาง ออง ซาน ซูจี เหมือนไม่ใช่คนพม่าเพราะตั้งแต่เด็กจนกระทั้งเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่และเข้ามาเคลื่อนไหว
ทางการเมืองพม่า นางอองซานซูจี ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับประเทศพม่าเลย เพราะนางอองซานฯ เติบโตในอังกฤษ
ได้รับการศึกษาและมีครอบครัวที่อังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่เคยครอบครองพม่าและทำลายประเทศพม่ามาแล้ว

ฉะนั้น นางออง ซาน ซูจี เข้ามาเคลื่อนไหวทางการเมืองในพม่าต้องได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกเพื่อตอบสนอง
ต่อผลประโยชน์ของประเทศตะวันตกอย่างไม่ต้องสงสัย เงินช่วยเหลือต่อนางอองซานฯ จากประเทศตะวันตก
มีจำนวนปีละไม่น้อย ซึ่งสิ่งเหล่านี้รัฐบาลทหารของพม่ารู้ดี เมื่อเป็นเช่นนั้นจำเป็นที่รัฐบาลทหารพม่า
จะต้องแสวงประโยชน์จากนาง ออง ซาน ซูจี ดีกว่าที่จะสังหารหรือต่อต้านนาง ออง ซาน ซูจี เพียงแต่ปล่อยให้
นาง ออง ซาน ซูจีได้แสดงกิจกรรมตามความประสงค์ของประเทศตะวันตก บางครั้งบางคราวเท่านั้น
ส่วนที่รัฐบาลทหารของพม่าคือ เงินที่ได้รับจากประเทศตะวันตกที่ให้การช่วยเหลือสนับสนุนกิจกรรมของ
นาง ออง ซาน ซูจี แต่ละปีซึ่งเป็นเงินเงินก้อนโต เพียงพอที่รัฐบาลทหารพม่าจะนำไปใช้ในการบริหารกิจการต่าง ๆ
ของตนได้

๔. ปัญหาความยากจน ด้วยการปิดประเทศของพม่ามายาวนานตั้งแต่ครั้งมีการยึดอำนาจของรัฐบาลทหาร
เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันซึ่งต้นเวลาเกือบครั้งศตวรรษแล้ว ทำให้การพัฒนาด้านเศรษฐกิจของพม่าดำเนินไปอย่างล่าช้า
ประชาชนส่วนใหญ่ยากจน มีภาพบ้านเมืองทั่วไปอยู่ในสภาพที่ไม่ได้รับการพัฒนาดังนี้มีคนกล่าวเปรียบเทียบ
สภาพบ้านเมืองและความเป็นอยู่ของประชาชนในพม่าในปัจจุบันนี้ว่า สภาพดังกล่าวเหมือนกับสภาพของประเทศไทย
ที่นับย้อนถอยหลังไปจากปัจจุบัน (๒๕๔๗) อีกประมาณ ๓๐ – ๔๐ ปี ซึ่งผู้เขียนเองก็เชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง
ความยากจนค้นแค้นของประชาชนชาวพม่าทำให้คนพม่าต้องหลบหนีเข้ามาทำงานในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก
ในปัจจุบัน ดังที่ทราบกันดี

๕. ปัญหาอื่น ๆ ซึ่งเป็นที่สืบเนื่องมาจากข้อต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ทำให้การแก้ปัญหาประเทศชาติ
โดยรัฐบาลทหารพม่าไม่อาจสัมฤทธิ์ผลได้ เหมือนงูกินหาง ซึ่งปัญหาก็ยังคงวนเวียนกลับมาสู่
ต้นเหตุของปัญหาเช่นเดิม ยังทำให้รัฐบาลทหารพม่ายากที่จะหาทางออก จึงทำได้เพียงรักษา
สถานะของรัฐบาลทหารพม่าไว้ให้ได้ยาวนานที่สุดเท่านั้น

นี่คือสภาพที่เป็นอยู่ของรัฐบาลพม่าประเทศที่รู้ปัญหาของพม่าดีที่สุดและพร้อมที่จะเข้าโอบอุ้มรัฐบาลพม่าคือ
ประเทศจีน จากรายงานข่าวสารอันเป็นทราบกันโดยทั่วไปว่า จีนได้ให้การช่วยเหลือรัฐบาลทหารพม่า
มาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน แต่ยุคสมัยเริ่มต้นยุคสงครามเย็นที่พม่าปิดประเทศเป็นต้นมามีรายงาน
ที่เป็นหลักฐานเรื่องการช่วยเหลือของจีนต่อพม่าที่คิดเป็นจำนวนเงินแล้วมีมูลค่ามหาศาลนั้นมีรายการ
โดยประมาณดังต่อไปนี้

๑) อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติการทางทหารทั้งทางบก เรือ และ อากาศ
๒) เงินทุน จีนให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่พม่าเป็นเงินก้อนมหึมา
๓) ที่ปรึกษาทางทหาร
๔) กำลังทหาร
๕) การสร้างเมืองโดยชาวจีนที่อยู่ในพม่า ที่มีชาวจีนเข้าไปในพม่าเป็น ล้านคนเศษ
๖) อื่นๆ

การที่จีนให้การสนับสนุนพม่า เช่นนี้จีนย่อมการผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน ซึ่งที่เห็นชัดที่สุด
และเป็นเหตุผลที่สอดคล้องกับหลักการที่ว่า “ไม่มีอะไรได้เปล่าในโลกนี้” นั้นพอที่จะประมาณสิ่งที่จีน
ต้องการจากพม่า อันได้แก่

๑) เส้นทางออกสู่ทะเลทางด้านอันดามัน จากแผนการปิดล้อมจีน ของสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น
และมีการปรับปรุงให้ทันสมัยต่อยุคสมัยอยู่เสมอ นั้น ทำให้จีนต้องการทางออกทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในช่วงที่จีนกำลังขยายตลาดทางการค้ากับประเทศในตะวันออกกลางกลุ่มประเทศในทวีปอัฟริกา
กลุ่มประเทศในอเมริกาใต้และอเมริกากลาง เฉพาะในกลุ่มประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง
จีนได้ขยายพันธมิตรด้านการค้าและการลงทุนเพิ่มขึ้นโดยลำดับ การติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าอุปโภคของจีน
กับสินค้าพลังงานปิโตรเลียมของชาวตะวันออกกลาง ซึ่งมีประมาณการแลกเปลี่ยนค้าขายกันเป็นจำนวนมหาศาล
ในระยะหลังนับตั้งแต่จีนใช้นโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ ( Reform and Openning up policy )
ปริมาณการค้าขายระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางยังเพิ่มทวีมากขึ้นโดยลำดับ ในเวลาต่อมา
เมื่อชาวตะวันตกข่มเหงรังแก ชาวมุสลิมทั่วโลกมากขึ้น ยังทำให้ชาวมุสลิมในตะวันออกกลางหันมาสถาปนา
ความร่วมมือกับจีนในด้านต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งเห็นได้ว่าตะวันออกกลาง เป็นแหล่งค้าขายที่ใหญ่ที่สุด
และสำคัญที่สุดของจีน แห่งหนึ่งที่จีนต้องดำรงรักษาไว้ ตราบใดที่จีนยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้เศรษฐกิจของตน
มีความเจริญอย่างต่อเนื่อง
จะเห็นได้ว่าเส้นทางออกสู่ทะเลทางด้านฝั่งทะเลอันดามัน ของจีนที่ต้องผ่านพม่าเป็นเส้นทางสายยุทธศาสตร์ของจีน
จีนจะอยู่รอดและมั่งคั่งได้หรือไม่ด้านหนึ่งมาจากเส้นทางนี้ เหมือนกัน นั้นแสดงว่าการที่จีนลงทุนทุ่มงบประมาณ
และทรัพยากรมหาศาลลงที่พม่าย่อมให้ผลคุ้มค่าแก่จีน

๒) รักษาเส้นทางส่งกำลังทางทหารของจีน แม้ว่าจีนจะประกาศนโยบายต่อชาวโลกที่ค่อนข้างชัดเจนว่า
จีนจะไม่มีนโยบายส่งกำลังทหารไปประจำอยู่ในพื้นที่ใด ๆ บนพื้นโลกนอกจากบนผืนดินและผืนน้ำของจีนเอง
ก็ตามแต่สิ่งหนึ่งที่ชาวโลกยังไม่ค่อยจะรู้กันมากนักก็คือการที่จีนมีกองกำลังส่วนหนึ่งที่เป็นกำลังทางทหาร
และช่างเทคนิคที่ไปประจำอยู่ในเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ติดหัวรบนิวเคลียร์ของอดีตสหภาพโซเวียต
ลอยลำอยู่ใต้ผิวน้ำในทะเลแถบตะวันออกกลางทั้งทะเลแดง และทะเลอาราเบียน รายงานข่าวที่เชื่อถือได้
ยังแจ้งอีกว่า หลังจากที่อดีตสหภาพโซเวียตล้มสลายกองเรือขนาดมหึมาของอดีตสหภาพโซเวียตได้ตกไปอยู่
ในการดูแลของรัสเซียเป็นส่วนใหญ่ แต่รัสเซียซึ่งประสบกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำไม่สามารถที่จะดำรงกองเรือดำน้ำ
พลังงานนิวเคลียร์ติดหัวรบนิวเคลียร์เหล่านั้นไว้ได้ จึงจำเป็นที่จะต้องหาแหล่งเงินทุนเพื่อนำมาใช้การซ่อมบำรุง
อาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านั้นไว้พันธมิตรเก่าที่เชื่อถือต่อการรักษาความลับได้มากที่สุดในขณะนั้นมีเพียงจีนเท่านั้น
โดยเงือนไขของทั้ง ๒ ประเทศตกลงกันว่าจะดูแลเรือดำน้ำด้วยกันแต่ผู้จ่ายงบประมาณมหาศาลเหล่านั้นคือจีน
ทำให้ขณะนี้มีกองกำลังของจีนครึ่งหนึ่งอยู่ในเรือดำน้ำของรัสเซีย จึงเป็นความสำคัญประการหนึ่งที่จีนจำเป็น
ที่จะต้องรักษาเส้นทางส่งกำลังบำรุงด้านนี้ของตนไว้คือการรักษาเส้นทางด้านพม่าไว้นั้นเอง

๓) ความร่วมมือกับกลุ่มเอเชียใต้ แม้ว่าจีนจะเคยมีข้อขัดแย้งกับอินโดนีเซียถึงขั้นใช้กำลังทางทหารเข้าสู้รบกัน
บริเวณชายแดนมาแล้ว เมื่อครั้ง เหมา เจ๋อ ตุง ขยายอำนาจของตนทำให้เป็นข้อพิพาทอันยาวนาน
ของทั้ง ๒ ประเทศมาแล้วนั้นก็ตาม มาระยะหลังจีนกับอินเดียได้สถาปนาความสัมพันธ์ด้านการค้า
และการลงทุนระหว่างกันมากขึ้นจะเห็นได้จากการที่ผู้นำของจีนเน้นการไปเยือนอินเดียและผู้นำอินเดีย
ได้เดินทางมาเยือนจีนเป็นการตอบแทนเมื่อปี ๒๕๔๖ ที่ผ่านมาปรากฏการณ์เช่นนี้ นับเป็นก้าวใหม่ของ
ความสัมพันธ์จีน อินเดีย ผลที่เกิดขึ้นจากการเยือนซึ่งกันและกันครั้งนั้นเด่นชัดที่สุดคือการที่อินเดียยอมรับว่า
ธิเบตเป็นดินแดนของจีนและจีนจะรีบดำเนินการแก้ไขปัญหาคาใจที่ค้างกับอินเดียให้หมดสิ้นโดยเร็ว
และหันมาร่วมมือกันด้านการค้าและการลงทุน ดังที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าจีนเข้าไปมีอิทธิพลในเอเชียใต้อย่างมาก
ความสัมพันธ์ของจีนกับปากีสถาน , บังคาเทศ, ศรีลังกา, เนปาล, ก่อนข่าวจะมีการพัฒนาขึ้นมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
กับปากีสถานซึ่งถือว่าเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของจีน เมื่อความสัมพันธ์กับประเทศในเอเซียใต้ดำเนินไปด้วยดี
จะทำให้สามารถที่จะเอื้อประโยชน์กับอินเดียถ้าอินเดียมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน อย่างน้อยที่สุดจะสามารถ
ประสานรอยร้าวระหว่างอินเดียกับปากีสถานที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมายาวนานได้กับทั้งความสัมพันธ์ระหว่าง
อินเดียกับสหรัฐฯ ไม่ค่อยสู้ดีนักอันเนื่องจากอินเดียไม่พอใจที่สหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังการปฏิบัติการของปากีสถาน
ที่กระทบกับอินเดีย สิ่งเหล่านี้คำตอบอยู่ที่จีน เมื่อจีนสามารถประสานรอยร้าวทั้งหมดของกลุ่มประเทศในเอเชียใต้
จะทำให้ทั้ง จีนและอินเดียและประเทศอื่น ในเอเชียได้ประโยชน์ จุดเริ่มต้นนำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์อันดี
จะเริ่มต้นขยายออกไปจากเส้นทางด้านพม่านี่เอง

ต่อเรื่องเกี่ยวกับพม่าที่กำลังเกิดเป็นข่าวฮือฮาเรื่องการทำรัฐประหารในพม่าเมื่อประมาณวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๗
ที่ผ่านมา มีข่าวที่นำเสนอทางสื่อมวลชนกล่าวถึงสถานการณ์ในพม่าว่า สาเหตุของการทำรัฐประหารในพม่า
เป็นเพราะนายพล ขิ่น ยุ้นต์ นายกรัฐมนตรีพม่าที่ถูกยึดอำนาจและให้ถูกออกไปนั้นเข้าไปมีส่วนพัวพันกับการคอรัปชั่น
เป็นอันมากในรัฐบาลของพม่าช่วงที่นายพล ขิ่น ยุ้นต์ บริหารประเทศ ทำให้คณะนายทหารทั้งหลายไม่พึงพอใจ
อีกทั้งนายพล ขิ่น ยุ้นต์ ดังกล่าวนี้กำลังจะพาประเทศของตนออกห่างจากความเป็นรัฐบาลทหารพม่า
และอีกกระแสหนึ่ง นายพลขิ่น ยุ้นต์ มีสุขภาพที่ไม่สู้ดีนักทำให้อาจจะไม่สามารถที่จะบริหารประเทศต่อไป
อย่างมีประสิทธิภาพได้ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีในที่สุด จึงต้องเกิดรัฐประหารขึ้น
อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า รัฐบาลทหารพม่าอยู่ยงคงกระพันมายาวนาน ไม่สามารถมีประเทศมหาอำนาจใด ๆ
มาโค่นล้มได้แม้ว่าประเทศตะวันตกจะรุมกระหน่ำโจมตีพม่าอย่างไม่หยุดหย่อนก็ตาม จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถ
ที่จะโค่นล้มรัฐบาลทหารพม่าได้ ความเข้มแข็งดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากการที่ได้รับการสนับสนุนหรือการหนุนหลังจากจีน
ตราบใดที่จีนยังคงเป็นใหญ่สามารถที่จะท้าทายอำนาจของประเทศตะวันตกได้ ตราบนั้นพม่าก็จะยังคงยืนท้าทายอิทธิพล
และอำนาจของประเทศตะวันตกได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้นกรณีพม่ามีข่าวที่ท้าทายความเชื่อถืออยู่กระแสหนึ่งคือ

การที่ผู้นำรัฐบาลทหารพม่าไปรับเงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ และกู้เงินประเทศไทยที่พม่าเชื่อว่าเป็นเงินของสหรัฐฯ
โดยที่ผู้รับผิดชอบคือพล.อ.ขิ่น ยุ้นต์ นายกรัฐมนตรี เงื่อนไขของการรับเงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ คือการปล่อยตัว
นาง ออง ซาน ซู จี ออกจากที่คุมขัง เมื่อรัฐบาลทหารพม่ารับเงินมาแล้วแต่ไม่ต้องการที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว
จึงปล่อยข่าวว่ามีการทำรัฐประหารและปลดนายกรัฐมนตรีเดิมออก ผลที่ตามมาคือ พม่าได้เงินฟรี ไม่ต้องใช้หนี้
และไม่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับสหรัฐฯ หรือแม้แต่กับไทยก็ตาม พม่าก็อาจจะไม่ใช้หนี้รัฐบาลไทยก็ได้
ส่วนพล.อ.ขิ่น ยุ้นต์ ก็ยังคงมีอำนาจในรัฐบาลทหารพม่าอยู่เหมือนเดิมเพียงแต่ว่าไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
บริหารประเทศเท่านั้นเอง ( ๒๓ ต.ค.๔๗ )

ดังนั้นเมื่อพม่าถึงจุดอับ จีนยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ พม่าได้ประโยชน์จีนได้ประโยชน์แต่จีนได้ประโยชน์มากกว่า
เพราะได้ประโยชน์ด้านการสู้รบในภาพรวมที่จะรวมพลังทั้งสิ้นของตน โดยใช้เส้นทางผ่านพม่า นำไปสู่ผลประโยชน์
ในกลุ่มประเทศต่างๆ ทั่วโลก เป้าหมายสุดท้ายของจีนอยู่ที่สร้างความเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก
และโค่นล้มสหรัฐอเมริกาลงให้ได้นั้นเอง จีนได้รับความมั่งคั่งจากการใช้เส้นทางพม่าเป็นอันมาก ทั้งการค้าขายกับอัฟริกา
ค้าขายกับลาตินอเมริกา และค้าขายกับกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ล้วนแต่ต้องใช้เส้นทางออกด้านพม่าทั้งสิ้น
จีนจึงจำเป็นที่จะต้องให้ได้เส้นทางนี้มา และจีนจะต้องรักษาเส้นทางนี้ไว้ให้ได้อย่างเหนียวแน่น
สิ่งที่จีนทำกับพม่าคือการใช้กลยุทธ์ “ ยืมทางพรางกล” แล้วยึดครองประเทศพม่าและยึดครองเส้นทางของจีน
ในประเทศพม่าตามกลยุทธ์นั่นเอง

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ ปัญหาของกลยุทธ์นี้อยู่ที่คำว่า “ ยืมทาง” ถ้ายืมทางได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็สำเร็จ เพราะฉะนั้น
ผู้ที่ใช้กลยุทธ์ยืมทาง จักต้องหาเหตุผลในการยืมทางให้ดี เพื่อปกปิดจุดประสงค์ที่แท้จริงของตน
ความจริงคำว่า “ ศัตรูบังคับให้ ( อีกฝ่ายหนึ่ง) สยบ เราพึงแสดงท่าที” นั้น ก็คือ
ฉวยโอกาสที่ “อีกฝ่ายหนึ่ง” เพลี่ยงพล้ำ เรายื่นมือเข้าไปช่วย แล้วเอาประโยชน์จากนี้
อันที่จริงการกระทำดังนี้ เป็นพฤติการณ์ที่ไร้คุณธรรมอย่างยิ่ง แต่ในสงครามหรือในการต่อสู้ใด ๆ
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรามักจะเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้อยู่ทั่วไปในชีวิตจริง เพราะเหตุว่า
แต่ละฝ่ายย่อมจะเริ่มต้นจากผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่ หากปราศจากเสียซึ่งการร่วมมืออันถาวร
ก็จักไม่มีการช่วยเหลือที่แท้จริง มิตรและศัตรู คำมั่นสัญญากับการปฏิบัติจึงพึงจำแนกให้ชัด
พิจารณาให้ถ่องแท้ มิฉะนั้นแล้ว หากเห็นแก่ได้ถ่ายเดียวก็จักสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิตตน”
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:24 am

ส่วนที่ ๕
กลยุทธ์ร่วมรบ
เมื่อร่วมรบด้วยพันธมิตร
พึงให้ได้อำนาจบัญชาการ
ทั้งฝ่ายเราและศัตรู

กลยุทธ์ที่ ๒๕ ลักขื่อเปลี่ยนเสา
ลวงให้ย้ายแนวบ่อย หลอกให้ถอนทัพหลัก รอให้พ่ายไปเอง ฉกฉวยเอาภายหลัง หยุดซึ่งกงล้อ

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ต่อกำลังที่ร่วมรบด้วยข้าศึกกับเราหรือต่อข้าศึกจักต้องหาทางเปลี่ยนแปลง
แนวรบของฝ่ายนั้นอยู่เสมอ ถอดถอนเคลื่อนย้ายกำลังสำคัญของฝ่ายนั้นไป รอให้ฝ่ายนั้นอ่อนแอ
ต้องประสบกับ ความพ่ายแพ้จึงฉวยโอกาสแปรกำลังของฝ่ายนั้น ให้กลายมาเป็นของเราแล้ว
ควบคุมกำลังของฝ่ายนั้นไว้ใต้การบัญชา “ หยุดซึ่งกงล้อ” มาจาก “คัมภีร์อี้จิง มิทัน”
อันหมายความว่า รถคันหนึ่งนั้นสำคัญที่ล้อ ถ้าหยุดล้อได้ก็สามารถบังคับให้เคลื่อนที่ไป
ตามความประสงค์ของเรา อันเป็นกลยุทธ์กลืนกำลังของพันธมิตรหรือสลายกำลังของข้าศึกอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ กรณีจีนเข้าไปควบคุมพม่าในลักษณะ “ ลักขื่อเปลี่ยนเสา”
ดังมีรายละเอียดของเนื้อหาดังนี้ ดังที่เคยนำเสนอมาแล้วในกลยุทธ์ที่ผ่านมาว่า จีนเป็นประเทศที่มี
ความทะเยอทะยานอย่างสูงที่จะยกตัวเองให้ขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกแทน
สหรัฐอเมริกา ดังที่ได้เคยกล่าวมาแล้วเช่นเดียงกัน แต่การที่ประเทศใด ๆ จะขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกได้
จำเป็นจะต้องสร้างพื้นฐานของการยึดครองประชาคมโลกให้ได้หลาย ๆ มิติ ดังเช่นที่สหรัฐฯ ทำอยู่ในขณะนี้
ขอนำเสนออีกครั้งหนึ่งถึงเนื้อหาในหนังสือเรื่อง Hegemony of a new type ซึ่งเขียนโดย Bezezinski
โดยเนื้อหาแล้วกล่าวถึงเรื่อง ความเป็นเจ้าของสหรัฐฯ ที่เป็นเจ้าโลกอย่างแท้จริง ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน
ที่อิทธิพลของประเทศสหรัฐฯจะมากมายเท่านี้และในอดีตก็ยังไม่มีประเทศใดมีอิทธิพลมากมายมาก่อน
ซึ่งครอบคลุมไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก ด้านการทหาร สหรัฐฯ ใช้งบประมาณครึ่งหนึ่งของงบประมาณทหาร
ของโลกทั้งหมด ในปัจจุบันนี้ ๔๐๐,๐๐๐ ล้านเหรียญ เป็นงบประมาณทางทหารของสหรัฐฯ ( ๒๕๔๗ )
เมื่อเทียบกับ GDP ของไทย ปัจจุบัน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านเหรียญเท่านั้นเอง

สหรัฐฯ จะต้องครองความเป็นเจ้า ๔ มิติ

ทหาร: สหรัฐฯ มีการวางกำลังทหารเพื่อควบคุมพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วทุกภูมิภาคของโลก สหรัฐฯ เป็นประเทศ
ที่มีพลังอำนาจเหนือประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
เศรษฐกิจ : GDP ใหญ่เป็นครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลก ในปัจจุบันร้อยละ ๓๐ หรือประมาณ ๑๐ ล้านล้านเหรียญ
ซึ่งเมื่อเทียบกับไทยของไทยเป็นเพียงร้อยละ ๑ ของสหรัฐฯ
เทคโนโลยี : การวิจัยพัฒนาด้านเทคโนโลยีทุก ๆ ด้านของสหรัฐฯ มีความก้าวหน้ากว่าประเทศอื่น ๆ
อย่างเห็นได้ชัด
วัฒนธรรม: ประเทศต่าง ๆ ยอมรับวัฒนธรรมของสหรัฐฯ อย่างเต็มใจ เช่น Mass Culture ๓ใน ๔
ของตลาดหนังมาจากสหรัฐฯ ซึ่งแทรกความเป็นฮีโรของสหรัฐฯ ตลอดเวลา ซึ่งทำให้สหรัฐฯ
เข้าครอบงำทางวัฒนธรรมของสหรัฐฯ อยู่ตลอดเวลา เช่น ภาพยนตร์ , ภาษา ,อาหาร ,การแต่งกาย
, การเมือง , ระบบเศรษฐกิจ , วิชาความรู้ , อินเตอร์เน็ต , สหรัฐฯ ได้สร้างสถาบันการยอมรับจากทั่วโลก
เช่น UN , IMF ,WB , WTO ….( รศ.ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
ฉะนั้นถ้าจีนต้องการที่จะเป็นมหาอำนาจดังเช่นสหรัฐอเมริการในปัจจุบัน จำเป็นที่จีนจะต้องสร้างความเหนือกว่า
สหรัฐฯ อย่างน้อย ๔ มิติดังที่กล่าวมาแล้ว คือ ทั้งการทหาร เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และวัฒนธรรม
ถ้าเมื่อใดก็ตามที่พลังอำนาจทั้ง ๔ ประการหรือมากกว่านั้นของจีนยังไม่สามารถที่จะทัดเทียม สหรัฐอเมริกาได้
ความเป็นมหาอำนาจของจีนที่หวังไว้จึงจะยังเป็นไปไม่ได้ ทางด้านการสร้างความเหนือกว่าของจีน
บริเวณโดยรอบผืนแผ่นดินจีนนั้น จีนได้ใช้ความพยายามอย่างขมักเขม้น จีนพยายามสร้างอิทธิพลให้เกิดขึ้น
ทั้งในเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในทวีปอัฟริกา เกือบทั้งทวีปเป็นพันธมิตรกับจีนตั้งแต่ครั้งที่อิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์เข้าไปมีอิทธิพล
ทวีปอเมริกาใต้และอเมริกากลางก็เป็นพันธมิตรของจีนไม่ใช่น้อย ประเทศที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากรน้ำมัน
อย่างประเทศในกลุ่มตะวันออกกลางก็ให้ความเห็นใจจีนมากว่าสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน รัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตร
ในยุคสงครามเย็นของจีนก็กลับมาเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับจีนอีกครั้งหนึ่ง กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป
ที่ได้รับพิษสงการใช้พลังอำนาจ ( Hard Power ) ของสหรัฐอเมริกา ทำให้หันมาร่วมมือกับจีนด้านเศรษฐกิจ
ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีในประเทศจีนสินค้าของทางประเทศในแถบยุโรปในจีนมีเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
สินค้าด้านเครื่องยนต์กลไก เช่น รถยนต์ ประมาณร้อยละ ๘๐- ๙๐ เป็นยี่ห้อของทางยุโรปทั้งสิ้น นอกจากนั้น
ความสัมพันธ์ระหว่างจีน กับประเทศคู่อริเก่าอย่างเช่น ญี่ปุ่น เริ่มได้รับการพัฒนามากขึ้น จีนเคยบอบช้ำ
จากการรุกรานของญี่ปุ่นในอดีต ในขณะนี้จีนเริ่มผ่อนคลายการต่อต้านญี่ปุ่นลงบ้างแล้วหันมาร่วมมือ
ทางการค้ากับญี่ปุ่นมากขึ้น ดังที่มีตัวอย่างของการทำข้อตกลงระหว่างญี่ปุ่นกับจีนที่จะให้มี
การผลิดรถยนต์ยี่ห้อของญี่ปุ่น เช่น โตโยต้าในจีนได้ เป็นต้น ซึ่งเชื่อกันว่า ในความพยายามทั้งหลายของจีน
ล้วนมุ่งไปสู่เป้าหมายหลักคือการสร้างพันธมิตรเพื่อที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่งและเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่ง
ให้ได้ในที่สุด ซึ่งโดยความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนที่คลุกคลีเรื่องราวเกี่ยวกับจีนมาพอสมควรนั้น จะเห็นว่า
ด้วยการที่จีนมีประวัติศาสตร์มายาวนานมากกว่าประเทศใด ๆ ที่เป็นมหาอำนาจอยู่ในปัจจุบันนี้ จีนเคยเป็น
มหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เคยเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดประเทศหนึ่งมาแล้วในอดีด
เมื่อมีความรุ่งเรืองแล้วก็มีความเสื่อมแล้วรุ่งเรืองใหม่ หมุนเวียนเช่นนี้เป็นวัฐฎจักรเรื่อยไป จนกระทั่งถึงยุคที่
จีนเสื่อมถอยอำนาจลง ทำให้จีนถูกประเทศเล็ก ๆ อย่างญี่ปุ่นรุกราน ประเทศผู้ล่าอาณานิคมตะวันตกย่ำยีจีน
อย่างบอบช้ำ จีนพยายามที่จะยกตนเองขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอีกครั้งตั้งแต่เริ่มมีการตั้งจีนใหม่ ( Modern China )
ขึ้นมาหลังจากที่มีการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๒ และพัฒนาเรื่อยมา
จนกระทั่งปัจจุบันนี้ จีนเชื่อว่า เมื่อครั้งอดีต จีนเคยรุ่งเรืองเป็นมหาอำนาจมา กับการที่จีนจะกลับมาเป็น
มหาอำนาจอีกครั้งย่อมเป็นเรื่องที่อยู่ในวิสัยที่จะเป็นไปได้

กรณีด้านพม่า จีนถือว่าพม่าเป็นมิตรที่เก่าแก่มากที่สุดประเทศหนึ่ง แม้ว่าในอดีตจีนกับพม่าจะเคยมีกรณีพิพาท
กันเรื่องชายแดนของทั้งสองประเทศแต่เมื่อมาถึงปัจจุบัน จีนกับพม่าถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีความแนบแน่น
ทางด้านความสัมพันธ์ทุก ๆ ด้านอย่างหาประเทศที่เป็นมิตรกับจีนใด ๆ จะมาเปรียบได้จีนถือว่า เมื่อครั้งที่จีน
ถูกรุมประณามเรื่องการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ ประเทศโลกเสรีทุกประเทศประณามจีนหมด
ประเทศที่มีความเห็นอกเห็นใจและไม่ประณามจีนคือพม่า และพม่าก็ยังคงเป็นมิตรที่ซื่อสัตย์กับจีนมาโดยตลอด
ระยะเวลาอันยาวนาน มา ณ ปัจจุบันนี้จีนกับพม่าก็ยังคงมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อกันไม่เสื่อมคลาย
สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้ทั้งสองประเทศ ดังกล่าวมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันได้ ก็คือ
เรื่องของการมีผลประโยชน์ร่วมกันนั่นเอง จีนได้หยิบยื่นผลประโยชน์ในสิ่งที่พม่าโหยหายากที่พม่า
จะหาจากแหล่งอื่น ๆ ได้ นั่นคือการช่วยเหลือ ต่อต้านผู้คุกคามพม่าหรือผู้ที่บีบคั้นและประณามพม่า
เช่นประเทศตะวันตก และประเทศที่ได้ชื่อว่า ประเทศในโลกเสรี ที่ต้องการเห็นพม่าเป็นประชาธิปไตย
ตามแบบตน จีนไม่เคยประณามพม่าในกรณีใด ๆ เลย กลับให้การสนับสนุนช่วยเหลือพม่าอยู่ตลอดเวลา
จึงทำให้พม่าเพิ่มความไว้เนื้อเชื่อใจจีนมากยิ่งขึ้นโดยลำดับ นอกจากนั้นจีนยังให้การสนับสนุนเงินทุน
ในการพัฒนากองทัพเพื่อปราบปรามชนกลุ่มน้อยของพม่า ตามโครงการสร้างบูรณาการของประเทศเมียนม่า
จีนทุ่มเทงบประมาณไม่น้อยให้กับพม่าในด้านนี้ รวมทั้งจีนได้ให้การสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์
พร้อมทั้งที่ปรึกษาทางทหารให้กับพม่าเป็นธรรมดาที่ผู้รับย่อมเกรงใจผู้ให้ พม่าก็ยิ่งเพิ่มความเกรงอกเกรงใจ
จีนมากขึ้นเป็นทวีคูณ ผลประโยชน์ที่จีนกำลังได้รับคือการได้ใช้พม่าเป็นเส้นทางไปสู่ทะเลอันดามัน
อันเป็นเส้นทางที่มีความสำคัญต่อเส้นชีวิตของจีนอีกเส้นหนึ่ง นัยว่าผลประโยชน์ด้านการค้าขายของจีน
ที่ต้องผ่านเส้นทางนี้มีมากมาย ทั้งนี้เพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางการค้าขายของจีน ที่จีนดำเนินกิจกรรม
ทางด้านการค้าขายกับหลายกลุ่มประเทศ เช่น กลุ่มประเทศในทวีปอัฟริกา กลุ่มประเทศในทวีปอเมริกาใต้
กลุ่มประเทศในอเมริกากลาง กลุ่มประเทศบางส่วนของเอเชียใต้ รวมทั้งพื้นที่สำคัญยิ่งอีกกลุ่มหนึ่งคือ
กลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง สินค้าอุปโภค บริโภคราคาถูก แต่คุณภาพชั้นดีจำนวนมากของจีนส่งไปขาย
ให้กับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ในขณะเดียวกันจีนก็นำสินค้าพลังงานปิโตรเลียมจากกลุ่มประเทศ
ตะวันออกกลางกลับประเทศตน นอกจากนั้นจีนยังได้ทำสัญญากับบางประเทศในการแลกเปลี่ยนสินค้า
อุปโภคบริโภคกับน้ำมันโดยตรง ( Exchanged ) ไม่ใช่ Barter Trade ซึ่งมีการทำกันโดยทั่วไป
กับประเทศคู่ค้าหลายประเทศอยู่แล้ว จึงเห็นได้ว่าประเทศจีนมีผลประโยชน์จากพม่าที่เพียงขอใช้เส้นทางผ่าน
แต่คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ได้รับจำนวนมหาศาล จึงทำให้จีนจะไม่ยอมสูญเสียเส้นทางนี้ไปเป็นอันขาด
เป็นที่น่าสังเกตที่ เมื่อครั้งที่ผู้เขียนกำลังศึกษาหลักสูตรป้องกันประเทศของมหาวิทยาลัยป้องกันประเทศ
ของจีนอยู่นั้น นักศึกษาร่วมชั้นเรียนที่เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ชาวพม่าได้เดินทางไปร่วมต้อนรับ
ผู้นำทหารพม่าที่เดินทางไปเยือนจีนทุก ๆ เดือน หลังจากที่มีการเยือนเสร็่จแล้ว รุ่งขึ้นก็จะมีข่าว
เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพม่ากับจีน หรือความร่วมมือกันของทั้ง ๒ ประเทศ เช่น มีการให้เงินช่วยเหลือ
จากจีนต่อรัฐบาลทหารพม่าเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้ จึงทำให้เห็นอย่างแน่ชัดว่า ความสัมพันธ์ของทั้ง ๒ ประเทศนี้
มีความแน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน ทั้งนี้เพราะต่างมีผลประโยชน์เอื้อซึ่งกันและกัน จีนมีผลประโยชน์ด้านการใช้เส้นทาง
ผ่านพม่า พม่าได้รับเงินช่วยเหลือจากจีน

เป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐบาลทหารพม่า เป็นรัฐบาลทหารที่มีความอยู่ยงคงกระพันมากที่สุดในโลกรัฐบาลหนึ่ง
ที่ท้าทายอำนาจของประเทศตะวันตกที่กระหายประชาธิปไตย พม่าไม่ได้สนใจต่อคำว่ากล่าวและประณามใด ๆ
จากประเทศตะวันตกถึงเรื่องประชาธิปไตย ถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน นั่นเพราะพม่าไม่ได้จำเป็นที่จะต้องอาศัย
ประเทศเหล่านั้น พม่าทำเช่นนี้มายาวนานก็ไม่เห็นว่าจะมีประเทศตะวันตก ที่บูชาประชาธิปไตยประเทศใด
ที่จะล้มล้างรัฐบาลทหารพม่าได้ อีกในแง่มุมหนึ่งก็คือ ถ้ารัฐบาลทหารพม่าไม่ได้รับความเห็นชอบหรือได้รับ
การสนับสนุนจากประชาชนในประเทศของตน ก็เชื่อแน่ว่ารัฐบาลทหารพม่าคงอยู่ไม่ได้เช่นกันที่มีคนกล่าวว่า
ประชาชนทั้งประเทศต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าจึงน่าจะไม่เป็นจริงทั้งหมด อย่างน้อยที่สุดส่วนใหญ่ต้องให้
การสนับสนุนไม่เช่นนั้นแล้วรัฐบาลใด ๆ ก็ไม่สามารถที่จะดำรงคงอยู่นานได้ถึงเพียงนี้ นี่น่าจะเป็นหลักสัจจธรรม
ผู้เขียนเองมีความเชื่อว่า รัฐบาลทหารพม่าคงไม่ใช่คนโง่เสมอไปและประชาชนที่เป็นปัญญาชนของพม่า
ก็คงไม่ใช่คนโง่เสมอไป ต้องรู้เหตุและผล อย่างน้อยที่สุด การแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างปัญญาชน
และเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของพม่าต้องลงตัว และประชาชนทั้งประเทศต้องได้รับผลประโยชน์ร่วมกันด้วย
หรืออย่างน้อยเรื่องของการปฏิบัติการจิตวิทยาของรัฐบาลทหารพม่าต้องเป็นเลิศอย่างแน่นอน
และเขาคงจะให้สัญญากับประชาชนอย่างพึงพอใจจึงสามารถที่จะตกลงกันได้และอยู่ทนนานเช่นนี้ ( ผู้เขียน)

เรื่องราวเกี่ยวกับที่พม่าและจีนจะต้องร่วมมือกันรักษาผลประโยชน์ของซึ่งกันและกัน คือจีนรักษาเส้นทาง
พม่ารักษาเอกราชของชาติตน ประเทศที่เป็นภัยคุกคามของทั้งสองประเทศนี้คือชาวตะวันตก
ถ้าเป็นกลุ่มประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป จีนยังพอที่จะเป็นตัวประสานให้เพลาการกดดันพม่าลงได้
เพราะความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปค่อนข้างจะมีความแน่นแฟ้น
แต่ประเทศที่เป็นปัญหาของทั้งพม่าและจีนคือสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาพยายามที่จะใช้อิทธิพลของตน
เข้าไปสู่ประเทศพม่าให้ได้แต่ยังไม่เป็นผลทั้งนี้เพราะได้รับการต่อต้านจากพม่าอย่างเหนียวแน่น
สาเหตุที่สหรัฐฯ ต้องการที่จะเข้าไปในพม่าก็เพราะว่า สหรัฐฯ ต้องการที่จะตัดเส้นทาง
การออกสู่ทะเลของจีนนั่นเอง ซึ่งถ้าสามารถตัดเส้นทางออกสู่ทะเลด้านอันดามันของจีนได้
ก็เท่ากับว่าได้ดำเนินการไปตามแผนการปิดล้อมจีนอย่างได้ผล คือการที่จะทำให้ผลประโยชน์
ทางการค้าของจีนที่ต้องใช้เส้นทางผ่านพม่าต้องถูกตัดไปซึ่งเป็นผลประโยชน์อย่างมหาศาลของจีน
ที่ได้รับในแต่ละปีซึ่งจีนจะยอมไม่ได้เป็นอันขาดที่ต้องสูญเสียผลประโยชน์ส่วนนี้ไป ดังที่ผู้เขียน
ได้เคยกล่าวมาแล้วและคงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปของนักการทหารและนักการข่าวด้านความมั่นคง
โดยทั่วไปว่า สิ่งที่จีนให้การช่วยเหลือแก่พม่าได้แก่

๑) งบประมาณทางทหาร
๒) อาวุธยุทโธปกรณ์ อาวุธยุทโธปรกรณ์จำนวนมากของพม่าที่ได้รับจากจีน
๓) ที่ปรึกษาทางทหาร จีนให้ที่ปรึกษาทางทหาร
๔) ด้านการค้า เศรษฐกิจส่วนใหญ่ของพม่าต้องพึ่งพาจีน
๕) ด้านการเมืองระหว่างประเทศ จีนจะออกมาปกป้องพม่าต่อการกดดันและบีบครั้งของประชาคมโลก
ไม่ว่าเรื่องใด ๆ ก็ตาม

สำหรับสหรัฐอเมริกานั้น ภารกิจในการสกัดกั้นการเจริญเติบโตของจีนก็ยังคงเป็นเรื่องหลักไม่เช่นนั้นแล้ว
สหรัฐฯจะอยู่ไม่ได้ หรือจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจชั้นรองหรือมหาอำนาจขนาดเล็ก
อย่างประเทศอังกฤษไป ถ้าจีนขึ้นมาเป็นผู้นำของโลกได้ตามที่มีการคาดการณ์กันไว้ โดยนักวิเคราะห์
จากหลายสำนักนั้น สิ่งที่สหรัฐฯ จะต้องทำคือการที่ต้องรีบตัดเส้นทางออกสู่ทะเลอันดามันของจีนให้ได้
ถ้าภารกิจอันนี้สำเร็จลงได้ ก็เท่ากับว่าสามารถทำลายความหวังที่จะเป็นมหาอำนาจผู้นำของโลกของจีน
ตามกำหนดเวลาได้ กิจกรรมต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ ดำเนินการเพื่อการตัดเส้นทางออกสู่ทะเลอันดามันของจีน
ได้แก่
๑) ใช้กรณียาเสพติด เป็นที่เปิดเผยกันอย่างตรงไปตรงมาว่า ผู้ที่ให้การสนับสนุนต่อขบวนการผลิต
และค้ายาเสพติดตามแนวชายแดนไทย- พม่า คือสหรัฐฯ โดยมีองค์กรที่เกี่ยวข้องด้วยดังนี้คือ

(๑) UNHCR คือองค์กร NGOs สาขาหนึ่ง ที่มีชื่อเต็มว่า สำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ
องค์กรนี้ ถ้าสืบค้นหาต้นตอของความเป็นไปเป็นมาก็คือองค์กรที่อยู่ในการควบคุมของสหรัฐอเมริกา
( เพราะสหรัฐฯเป็นผู้นำในการตั้ง UN และสามารถควบคุม UN ให้เป็นเครื่องมือในการดำเนินการ
ตามนโยบายของตนได้ ) องค์กรนี้จะเข้าประจำอยู่ตามค่ายผู้ลี้ภัยชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนไทย-พม่า
ชนกลุ่มนี้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก จากรายงานข่าวของทางทหารและสายข่าวหน่วยรบพิเศษ
ที่เป็นเพื่อนของผู้เขียนเอง ที่ได้เข้าไปปฏิบัติงานใกล้ชิดและบางครั้งได้เข้าร่วมปฏิบัติงานกับชนกลุ่มนี้
สามารถชี้ชัดได้ว่า ชนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสนับสนุนให้ชนกลุ่มน้อยของพม่าผลิตและค้ายาเสพติด
พร้อมกับส่งเข้ามาในประเทศไทยเพื่อมอมเมาคนไทย และพยายามอย่างยิ่งที่จะให้เกิดข้อพิพาทระหว่าง
ทหารไทยกับทหารพม่า ให้ได้เพื่อให้เกิดการสู้รบกันทางทหารของทั้งสองประเทศ เรื่องเช่นนี้ถ้าวิเคราะห์
กันให้ดีก็จะพบว่า เมื่อ UNHCR เป็นชาวคาทอลิก ที่มีอุดมการณ์ในการเผยแพร่ศาสนาของตนตามแนวทาง
ของวาติกัน ที่ให้การสนับสนุนหลักด้านการเงิน จึงต้องทำลายศาสนาอื่น หรือไม่ก็ต้องพยายามให้
ศาสนิกของศาสนาอื่นที่เชื่อมั่นศรัทธาศาสนาของตนอย่างแนบแน่นให้ละความศรัทธาลงแล้วหันเข้าหา
และนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในที่สุด ดังที่เห็นได้จากการที่เมื่อคนไทยที่เป็นชาวพุทธ
เสพยาเสพติดแล้วจิตใจก็มิได้จดจ่อต่อหลักการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของพระพุทธศาสนา
ไม่สามารถปฏิบัติสมาธิจิตได้ ไม่สามารถรักษาศีลได้ หันไปสนใจในสิ่งยั่วยุทางจิตใจ หันเข้าหาอบายมุข
การห่างเหินศาสนาเป็นการทำลายวัฒนธรรมเดิมของตนเอง เพราะวัฒนธรรมประเพณีของคนไทยมาจาก
รากฐานของพระพุทธศาสนา เมื่อประชาชนชาวไทยห่างเหินจาก ศาสนาพุทธก็เท่ากับเป็นการทำลาย
ศาสนาพุทธไปในตัว แล้วในที่สุดวัฒนธรรมแบบตะวันตกที่มีแนวทางของ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
เป็นแกนก็จะเข้าครอบงำสังคมไทย ดังที่เห็นกันอยู่ในสังคมไทยในปัจจุบันนี้ สังคมไทยกำลังถูกกลืน
ด้วยวัฒนธรรมของสังคมอื่น คนไทยมองเห็นพุทธศาสนาแต่เพียงเปลือก ศาสนาพุทธถูกทำลายไปทุกวัน
ด้วยชื่อเสียต่าง ๆ นานา เป็นประจำทุกวัน ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการที่มีองค์กรของศาสนาอื่นอยู่เบื้องหลัง
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:25 am

ตัวอย่างที่เห็นชัดอีกตัวอย่างหนึ่งคือ เมื่อชาวพุทธทะเลาะกับชาวมุสลิม ชาวคริสต์เริ่มโฆษณาหนังสือ“ พลังชีวิต”
นั่นคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ( นักการทหารต้องมองภาพรวมที่ครบถ้วน ) ซึ่งช่วงที่คนไทยจำนวนหนึ่งติดยาเสพติด
จำนวนมากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ นอกจากนั้นแล้วยังทำให้ทั้งประเทศไทยและพม่ามีความระแวงสงสัยซึ่งกันและกัน
เช่น คนไทยก็จะระแวงสงสัยว่าพม่าให้การสนับสนุน ชนกลุ่มน้อยของพม่าผลิตและส่งยาเสพติดเข้ามามอมเมาคนไทย
ส่วนพม่าก็ระแวงสงสัยว่าคนไทย สร้างเรื่องขึ้นเองเพื่อหาเหตุที่จะรุกรานพม่าด้วยกำลังทหารซึ่งต่างฝ่ายต่างแค่
สงสัยและระแวงซึ่งกันและกันเท่านั้นและบ่อยครั้งถึงขั้นส่งกำลังเข้าละเมิดดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง
นั่นเป็นการยุแหย่ที่ได้ผลที่สุดโดยเจ้าหน้าที่ของ UNHCR ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยเป็นเรื่องหลัก
แต่ทำแค่บังหน้า ส่วนภารกิจหลักมี ๒ ประการหลัก ๆ คือ

ประการแรก การพยายามสร้างความอ่อนแอให้กับสังคมชาวพุทธของไทย
และประการที่สองคือ การพยายามตอกลิ่มลงในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับพม่า เพื่อที่จะเมื่อทั้งสองประเทศ
รบกันแล้ว ผู้ที่จะได้ให้การช่วยเหลือคือสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯ ก็จะรีบส่งกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์มาช่วย
เมื่อเกิดสงครามขึ้นจริง ทั้งพม่าและไทยก็ต่างจะต้องได้รับความบอบช้ำ ส่วนผลประโยชน์ที่จะตกแก่สหรัฐฯ
คือการได้เข้ายึดพม่าและตัดเส้นทางออกทะเลอันดามันของจีนนั่นเอง

(๒) CIA ดังที่ทราบกันดีว่า องค์กรนี้ได้ส่งไปเป็นสายลับอยู่ทั่วโลก มีวีรกรรมที่สร้างความสับสนวุ่นวาย
ให้กับประเทศต่าง ๆทั่วโลก จึงเป็นเรื่องที่ไม่แปลกที่จะพูดว่า CIA เข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องราว
ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ด้วยเจตนาและขีดความสามารถขององค์กรนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ดังที่ได้รับข่าวสาร
จากญาติของผู้เขียนเอง ที่เข้าไปเป็นครูฝึกของหน่วยงาน CIA ก็ยังยืนยันได้อีกเช่นกันว่า
องค์กรนี้รู้เรื่องและเข้าไปข้องเกี่ยวกับทุกเรื่องในโลกนี้อย่างแท้จริง เรื่องยาเสพติดที่โคลัมเบียก็มีองค์กรนี้
เข้าไปเป็นผู้สร้างเรื่องราวให้บานปลายแล้วทำให้สหรัฐฯ สามารถที่จะหาเหตุส่งกำลังเข้าไปยึดครองประเทศโคลัมเบีย
โดยอาศัยเงื่อนไขการปราบยาเสพติด ฉะนั้นก็เช่นเดียวกัน องค์กรปราบยาเสพติดของสหรัฐฯ ที่มีที่ตั้งอยู่ในตอนเหนือ
ของประเทศไทยก็ล้วนแล้วแต่เป็นหน่วยงานที่อยู่ในการดูแลและกำกับขององค์กร CIA นี้ทั้งสิ้น

หน่วยงานรบพิเศษที่เป็นเพื่อนกับผู้เขียนได้เคยเข้าร่วมทำงานกับองค์กรนี้และสามารถยืนยันการทำงานขององค์กรนี้ว่า
เป็นองค์กรที่อยู่ในกำกับของ CIA และทำงานร่วมกับชนกลุ่มน้อยของพม่าตามแนวชายแดนไทย- พม่าผลิตยาเสพติด
แล้วสั่งยาเสพติดให้ไหลทะลักเข้าประเทศไทยแล้วอ้างว่าพม่าให้การสนับสนุนชนกลุ่มน้อยเพื่อที่จะให้ฝ่ายไทยหลงผิด
และเข้าโจมตีพม่า ซึ่งสหรัฐฯ ก็จะรีบให้การช่วยเหลือโดยเร็วเช่นกัน แล้วในที่สุดสหรัฐฯ ก็จะหาเหตุเข้ารุกรานพม่า
ด้วยกลไกทั้งปวงเพื่อบรรลุเป้าหมายในการตัดเส้นทางออกสู่ทะเลอันดามันของจีนในที่สุดเหมือนข้อที่ ๑

(๓) ชนกลุ่มน้อยที่ค้ายาเสพติดจริง มีชนกลุ่มน้อยที่มีความต้องการที่จะผลิตและค้ายาเสพติดจริงตามที่ทราบกัน
เมื่อผสมกับผู้ยุแหย่อยู่เบื้องหลังคือฝ่ายตามข้อที่ ( ๑) และ ( ๒) แล้วยิ่งทำให้ชนกลุ่มน้อยบางส่วนเหล่านี้
มีความสะดวกสบายในการดำเนินการในเรื่องนี้มากขึ้น แต่คนพวกนี้ก็ไม่ได้มีอุดมการณ์อะไรนอกจากทำมาค้าขาย
ของผิดกฏหมาย ไม่ได้คำนึงถึงผลเสียหาที่จะเกิดขึ้นกับฝ่ายใด ๆ

(๔) นักการเมืองบางคนที่อยู่เบื้องหลังยาเสพติด คงเป็นเรื่องของรายงานข่าวทางทหารที่ทั้งหน่วยรบพิเศษ
และรายงานข่าวที่ได้จากองค์กร CIA ที่มีรายละเอียดของผู้ทำผิดกฎหมายทั้งหมดในประเทศไทยว่า
มีใครทำอะไรที่ผิดกฎหมายบ้าง สิ่งเหล่านี้องค์กร CIA จะรวบรวมไว้ทั้งหมด ดังตัวอย่างครั้งหนึ่งนายทหาร
ที่เคยร่วมทำงานกับองค์กรปราบยาเสพติดของสหรัฐฯ ได้ถูกใช้ให้ไปรวบรวมข้อมูลการกระทำผิดกฎหมาย
ของนักการเมืองที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยบางคน เมื่อรวบรวมเสร็จเรียบร้อยแล้วนำกลับมาส่งให้กับ
เจ้าหน้าที่ขององค์กร CIA แต่ข้อมูลที่นายทหารไทยดังกล่าวได้มาเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากนั้น
เจ้าหน้าที่ขององค์กร CIA ก็นำหลักฐานการทำความผิดของนักการเมืองไทยทั้งหลายได้กระทำมาแล้วให้ดู
ซึ่งในนั้นได้รวบรวมความผิดของนักการเมืองไทยไว้มากมายที่สามารถจะถูกโค่นล้มด้วยหลักฐานต่าง ๆ
เหล่านี้ให้ออกจากตำแหน่งทางการเมืองได้ทั้งสิ้น นี่คือตัวอย่างของนักการเมืองไทยที่มีบางส่วน
เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่แพร่ระบาดอยู่ในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้
สิ่งที่ผู้เขียนกล่าวถึงเรื่องนี้ที่มีส่วนในการพาดพิงถึงนักการเมืองมิใช่ว่านักการเมืองไทยเป็นเช่นนี้ทุกคน
เป็นเพียงนักการเมืองบางคนเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้และในต่างประเทศก็มิใช่ว่าจะไม่มีนักการเมืองเช่นนี้ก็หาไม่

๒) ใช้กรณีนาง ออง ซาน ซู จี
กรณีของนาง ออง ซาน ซู จี เป็นที่รู้จักกันของผู้ที่ติดตามข่าวสารต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวสารเกี่ยวกับ
ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่นประเทศพม่า เรื่องราวที่เป็นข่าวฮือฮาอยู่เป็นประจำและเป็นเรื่องหลักของประเทศพม่า
ที่ชาวโลกสนใจติดตามก็คือเรื่องนาง ออง ซาน ซู จี ชาวโลกได้รับทราบข้อมูลว่า นาง ออง ซาน ซู จี เป็นสัญญลักษณ์
ของประชาธิปไตยในพม่า ทุกคนต่างหวังที่จะให้พม่าเป็นประเทศ ที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ดังเช่นประเทศอื่น ๆ
ตามแนวทางการปกครองในระบอบที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก ในอดีตที่ผ่านมาเมื่อมีการเลือกตั้งในพม่าซึ่งรัฐบาลทหารพม่า
ได้ล้มกระดานการเลือกตั้งครั้งนั้นโดยสิ้นเชิงโดยที่นาง ออง ซาน ซู จี เป็นฝ่ายได้คะแนนเสียงข้างมากที่จะขึ้นมา
บริหารประเทศ แต่แล้วรัฐบาลทหารพม่าก็ยึดอำนาจและปกครองด้วยระบอบการปกครองแบบทหาร

ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ไม่วายที่ประชาคมโลกจะประณามการดำเนินการของรัฐบาลทหารพม่าก็ตาม หลายครั้งที่มี
การกดดันจากประเทศตะวันตก เช่นประเทศในกลุ่มยุโรปและสหรัฐอเมริกา พม่าก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะมอบคืนอำนาจ
การปกครองบริหารประเทศให้แก่นาง ออง ซาน ซู จี ตามครรลองประชาธิปไตย นอกจากไม่มอบคืนอำนาจแล้ว
รัฐบาลทหารพม่ายังกักขังตัวนางออง ซาน ฯ อีกด้วย นั่นคือการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการละเมิดการปกครอง
ในระบอบประชาธิปไตยของรัฐบาลทหารพม่าที่ดำเนินการมาโดยตลอดเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา
หันมาฟังความคิดเห็นของชาวพม่าโดยเฉพาะรัฐบาลทหารพม่ากันบ้างว่าเขามีความคิดเห็นและมีเหตุผลอย่างไร
ทำไมจึงมีแรงจูงใจให้เขายังคงยึดครองอำนาจเบ็ดเสร็จแบบทหารต้านกระแสการประณามของประชาคมโลก
อยู่ในขณะนี้ หรือว่าฝ่ายทหารจะเพียงต้องการที่จะรักษาอำนาจทางทหารเพื่อฝ่ายทหารของตนที่จะครอบครอง
อำนาจให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้เท่านั้นเอง ผู้นำทางฝ่ายทหารและฝ่ายทหารทั้งหมดมองเป็นมุมมอง
อันเดียวกันว่า นางออง ซาน ซู จี ไม่ได้มีความรู้เรื่องของพม่า เหมือนไม่ได้เป็นคนพม่าจริง ๆ เพราะไม่ได้เติบโต
ที่ประเทศพม่า ย่อมไม่รู้ปัญหาที่แท้จริงของพม่า จึงไม่อาจที่จะแก้ปัญหาให้กับชาวพม่าและประเทศพม่าได้เพราะ
นาง ออง ซาน ฯ เดินทางไปอยู่ประเทศตะวันตก มาตั้งแต่เด็กไม่ได้คลุกคลีรับรู้ปัญหาของชาวพม่าและประเทศพม่า
อย่างเพียงพอ อีกทั้ง นาง ออง ซาน ฯ ได้รับการสนับสนุนจากศัตรูของพม่าคือประเทศที่ข่มเหงรังแกประเทศพม่า
และชาวพม่ามาในอดีตคือ ประเทศอังกฤษและประเทศตะวันตก จึงเป็นไปไม่ได้ว่าเมื่อนาง ออง ซานฯ
จะสามารถแก้ปัญหาของชาวพม่าได้ อีกทั้งหลังจากที่พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษแล้วปัญหาหลักของพม่าคือ
การที่ชนกลุ่มน้อยทั้งหลายพยายามที่จะแยกตัวออกเป็นประเทศอิสระตามแนวทางที่อังกฤษได้เขียนแนวทางไว้
ก่อนที่จะให้เอกราชแก่พม่า ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น พม่าก็จะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ มีจำนวนประเทศที่เกิดใหม่ในพม่า
ไม่ต่ำกว่าจำนวนชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในพม่า ซึ่งรัฐบาลทหารพม่าและชาวพม่ายอมไม่ได้ที่จะให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น
จึงยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่พม่าจะปล่อยให้นาง ออง ซานฯ ขึ้นบริหารประเทศ เมื่อหันกลับไปศึกษาอดีตที่ผ่านมาของพม่า
จะเห็นว่า พม่าได้รับความบอบช้ำจากประเทศผู้ล่าอาณานิคมชาวตะวันตกเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งพม่า
ในปัจจุบันนี้เป็นที่แน่ชัดว่า นาง ออง ซานฯ ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนและการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่จะโค่นล้ม
รัฐบาลทหารพม่าจากอังกฤษและมีประเทศตะวันตกอื่น ๆ ผสมโรงด้วยรวมทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดี
ในแต่ละปี มีเงินทุนไหลเข้าประเทศพม่าเพื่อเข้าไปสนับสนุนการเคลื่อนไหวของนาง ออง ซานฯ เป็นจำนวนมาก
ซึ่งรัฐบาลทหารพม่าก็ทราบดี ถ้าเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม รัฐบาลทหารพม่าสามารถที่จะสังหารนาง ออง ซานฯ
ได้หรือไม่ เชื่อว่าทำได้ เพราะพม่าได้สนใจต่อการกดดันใด ๆ อยู่แล้ว แต่ที่รัฐบาลทหารพม่ายังปล่อยให้นาง ออง ซาน ฯ
เคลื่อนไหวอยู่ก็ด้วยหวังผลประโยชน์ที่ได้จากนาง ออง ซานฯ ที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศนั่นเอง จึงเป็นอันว่า
รัฐบาลทหารพม่าใช้นาง ออง ซานฯ ดูดเอาเงินจากประเทศตะวันตกนั่นเอง นี่คือเรื่องของนาง ออง ซาน ซู จี

๓) ใช้กรณีละเมิดสิทธิมนุษยชน มีการเสนอข่าวมากมายเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่า การสังหารหมู่
การเข่นฆ่าชนกลุ่มน้อยอย่างไม่ปราณี เป็นเรื่องที่รัฐบาลทหารพม่าทำอยู่เป็นประจำ นั่นเป็นปัญหาที่ชาวตะวันตก
กำลังกดดันให้พม่ารีบเร่งแก้ไข พม่าโต้ตอบข้อกล่าวหาและแรงบีบคั้นของชาวตะวันตกรวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน
บางประเทศที่พยายามจะกดดันรัฐบาลทหารพม่าในเรื่องนี้ว่า เป็นเรื่องภายในของประเทศพม่า ในครั้งที่ผู้นำระดับสูง
และคณะนักศึกษาด้านการทหารระดับสูงของพม่ามาเยี่ยมสถาบันวิชาการป้องกันประเทศของไทย ผู้นำระดับสูงของพม่า
ได้กล่าวถึงเรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในพม่าว่า พม่ากำลังพัฒนาการปกครองของพม่า
ให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นอย่างต่อเนื่องและอยากจะเห็นพม่ามีความเจริญรุ่งเรืองด้านการปกครองดังเช่นประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ประเทศแต่ละประเทศต่างก็มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ไม่เหมือนกัน มีประเพณีวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกัน
ฉะนั้นการปกครองโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่าประชาธิปไตยของแต่ละประเทศจึงไม่เหมือนกัน ประชาธิปไตยของไทย
ก็คงจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับของคนไทย ประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ก็คงจะต้องเหมาะสมกับอเมริกันชน
ส่วนประชาธิปไตยของพม่าก็ย่อมต้องเหมาะสมกับความเป็นอยู่และประชาชนของพม่า อย่างไรก็ตามเชื่อว่า
ความสัมพันธ์ของไทยกับพม่าคงจะได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าประชาธิปไตยของทั้งสองประเทศ
จะมีความแตกต่างกันอยู่บ้างก็ตาม พม่าถือว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนดังที่ถูกกล่าวหาเป็นเรื่องที่จะเป็นต้องทำ
ถ้าไม่ทำเช่นนั้นประเทศเมียนม่าก็คงอยู่ไม่ได้ รัฐบาลทหารพม่าจึงหัวชนฝาที่จะต่อสู้กับประเทศที่กดดันรัฐบาลพม่า
เรื่องสิทธิมนุษยชน

๔) ให้การสนับสนุนชนกลุ่มน้อยต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า เป็นที่แน่ชัดเช่นเดียวกันว่า ชนกลุ่มน้อยของพม่า
ได้รับการสนับสนุนทั้งเงินทุนและที่ปรึกษาจากประเทศตะวันตก นักการทหารและนักการข่าวของไทยเองก็ยิ่งรู้ดีว่า
บุตรหลายชนกลุ่มน้อยในพม่าได้รับการศึกษาจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสถานศึกษาด้านการทหาร
จากสหรัฐอเมริกา นอกจากนั้นการให้การสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์แก่ชนกลุ่มน้อยในประเทศพม่าโดยสหรัฐอเมริกา
เป็นเรื่องธรรมดา ในปัจจุบันนี้ชนกลุ่มน้อยในพม่ามีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยกว่าของกองทัพพม่าและทันสมัยยิ่งกว่าอาวุธ
ที่ใช้ประจำการในกองทัพไทยเสียอีก อาวุธเหล่านั้นจะมาจากไหนได้นอกจากการให้การสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเรื่องนี้ทหารไทยรู้ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารหน่วยรบพิเศษของไทยที่ปฏิบัติงานที่จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับ
การรวบรวมข่าวสารชนกลุ่มน้อยของพม่า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือในช่วงที่มีการปะทะกันระหว่างทหารไทย
กับชนกลุ่มน้อยพม่าเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติด หลังจากที่เสร็จสิ้นเรื่องนี้หน่วยรบพิเศษของไทยได้รับมอบอาวุธ
ที่ใช้ซุ่มยิงที่ทันสมัยกว่าที่หน่วยรบพิเศษของกองทัพไทยมีอยู่อย่างไม่เป็นทางการจำนวนหลายกระบอก
( ยังไม่ได้เข้าประจำการ ) ซึ่งอาวุธที่ใช้ซุ่มยิงเหล่านี้สามารถทำการซุ่มยิงอย่างแม่นยำได้ในระยะหลายกิโลเมตร
เป็นที่น่าประหลาดใจมากว่าอาวุธดังกล่าวมีใช้อยู่ทั่วไปในกองกำลังของชนกลุ่มน้อยในพม่า นี่เป็นเครื่องยืนยันถึง
การสนับสนุนด้านอาวุธแก่ชนกลุ่มน้อยโดยสหรัฐอเมริกา บ่อยครั้งที่ชนกลุ่มน้อยในพม่าได้ถูกสั่งให้ปฏิบัติการ
ล้ำดินแดนประเทศไทยและประเทศพม่า ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง พม่าเองก็เข้าใจว่า
เป็นความจงใจของกองทัพไทยที่ต้องการจะล่วงล้ำดินแดนของพม่าเข้าไปเพื่อยั่วยุให้เกิดการสู้รบทางทหาร
ทางฝ่ายไทยก็เข้าใจเช่นเดียวกันว่าพม่าให้การสนับสนุนชนกลุ่มน้อยล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ของประเทศไทย
ทั้งสองฝ่ายต่างอดรนทนไม่ไหวต่อการยั่วยุถึงขั้นบางครั้งถึงขั้นตัดสินใจที่จะใช้กำลังทหารขนาดใหญ่เข้าสู้รบกัน

แต่นับว่าเป็นเรื่องโชคดีของทั้งสองฝ่ายที่มีชนชั้นนำของทั้งสองฝ่ายรู้เห็นความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจึงสามารถยุติ
ความขัดแย้งได้ทัน ไม่เช่นนั้นแล้วทั้งสองประเทศอาจจะมองหน้ากันไม่ได้ ซึ่งผลประโยชน์ก็คงต้องตกอยู่กับ
มือที่สามที่คอยยุแหย่คือสหรัฐอเมริกาที่ต้องการจะให้ไทยกับพม่ารบกันเพื่อจะอาศัยกำลังทหารของไทย
ที่จะได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ เข้าโจมตีเพื่อตัดเส้นทางออกสู่ทะเลด้านฝั่งอันดามันของจีน

๕) การพยายามผลักดันให้รัฐบาลไทยใช้กำลังทหารเข้าสู้รบกับพม่า ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในเบื้องต้นว่า
เป็นความพยายามอย่างมากที่สหรัฐฯ จะสนับสนุนกองทัพไทยให้รบกับพม่า โดยการอ้างทั้งประวัติศาสตร์
ของไทยกับพม่าที่เคยสู้รบกันและสร้างความบอบช้ำให้กันและกันมายาวนาน ท่าทีของประเทศพม่าในปัจจุบัน
ที่ให้การสนับสนุนชนกลุ่มน้อยที่มุ่งบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศไทย ซึ่งโดยสรุปแล้วโดยภาพรวมแล้ว
การดำเนินการของพม่าในขณะนี้นั้นคือการที่มีเจตนาที่จะรุกรานไทยด้วยกำลังทหาร ถ้าประเทศไทยต้องการ
ที่จะรักษาเกียรติภูมิของชาติไว้ให้ได้เมื่อมีการละเมิดอธิปไตยของไทยโดยไม่ทราบฝ่ายของให้ทราบว่านั่นคือพม่า
หรือไม่ก็เพื่อเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมคือเปิดฉากการรุกพม่าก่อนก็เป็นเรื่องที่สามารถจะกระทำได้ ซึ่งมีอยู่บ่อยครั้ง
สถานการณ์พัฒนาขึ้นไปถึงขั้นเตรียมที่จะสู้รบกันด้วยกองทหารขนาดใหญ่ด้วยซ้ำไป ทั้งนั้นทั้งนี้ ข่าวสารที่กองทัพไทย
ได้รับล้วนแล้วแต่ได้รับมาจากหน่วยงานด้านการข่าวของสหรัฐฯ หรือไม่ก็เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุการณ์
ที่องค์กรด้านการข่าวของสหรัฐฯ เช่น องค์กรซีไอเอ อยู่เบื้องหลังหรือเป็นผู้สร้างสถานการณ์ขึ้นแทบทั้งนั้น

ที่ผู้เขียนได้กล่าวมาโดยยืดยาวเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหาเกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทย- พม่าและ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในพม่า ที่เป็นแง่คิดมุมมองที่แตกต่างไปจากข่าวสารที่สาธารณะชนได้รับจากสื่อเปิดทั้งหลาย
ซึ่งเมื่อคิดในแง่มุมของความมั่นคงโดยทหารแล้วไม่อาจที่จะคิดเพียงแง่คิดมุมมองเดียวจากข่าวสารที่ได้รับ
จากสื่อทั้งหลายทั้งนี้เพราะนั่นจะเป็นการล่อแหลมต่อการถูกใช้เป็นเหยื่อหรือเป็นเครื่องมือโดยข่าวสารที่
ฝ่ายที่สร้างข่าวสารนั้นขึ้นมา ทหารจะแตกต่างจากบุคคลทั่วไปที่จะต้องคิดเสมอว่าถ้าคนทั่วไปรับรู้ข่าวสารเช่นนี้
ทหารต้องสามารถที่จะมองในมุมที่แตกต่างจากคนทั้งปวงได้อีกแง่มุมหนึ่ง เช่น จะต้องคิดได้ว่า
เมื่อคนส่วนใหญ่ได้รับข่าวสารจากสื่อและเชื่อตามนี้ ถ้าในอีกแง่มุมที่ตรงกันข้ามจะเป็นอย่างไร เป็นไปได้หรือไม่
อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ทหารได้รู้แง่คิดมุมมองที่แตกต่างกันออกไปได้อีกหลายแง่มุมที่เป็นประโยชน์
ต่องานด้านความมั่นคงของกองทัพที่รับผิดชอบในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ที่กล่าวมาแล้วนั้นคือ
“ ลักขื่อเปลี่ยนเสา” ประเทศจีนเมื่อทราบสภาพทั่วไปและปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นโดยตลอดต่อประเทศพม่า
จึงเป็นการง่ายที่จีนจะสามารถแสวงประโยชน์จากสภาพแวดล้อมนั้น ๆ ของพม่าเพื่อเข้าครอบครองพม่าให้ได้
เพราะถ้าตนไม่สามารถครอบครองพม่าไว้ให้ได้ตั้งแต่ต้นจะเป็นการเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ ได้ใช้ประเทศพม่า
เป็นเครื่องมือในการขัดขวางการบรรลุเป้าหมายของจีนเองคือการออกสู่ทะเลทางด้านฝั่งอันดามันเพื่อที่จะ
สามารถติดต่อกับประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ได้ เมื่อสภาพความสัมพันธ์ในเชิงผลประโยชน์ระหว่างจีนกับพม่าเป็นเช่นนั้น
ก็เท่ากับว่าจีนได้เข้ายึดครองพม่าอย่างเบ็ดเสร็จนั่นเอง

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า “ ต่อกำลังที่ร่วมรบด้วยข้าศึกกับเราหรือต่อข้าศึก
จักต้องหาทางเปลี่ยนแปลงแนวรบของฝ่ายนั้นอยู่เสมอ ถอดถอนเคลื่อนย้ายกำลังสำคัญของฝ่ายนั้นไป
รอให้ฝ่ายนั้นอ่อนแอต้องประสบกับความพ่ายแพ้จึงฉวยโอกาสแปรกำลังของฝ่ายนั้น ให้กลายมาเป็นของเรา
แล้วควบคุมกำลังของฝ่ายนั้นไว้ใต้การบัญชา” ดังที่ได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นแล้วนั้น
เมื่อจีนมีอิทธิพลเหนือพม่าอย่างมากแล้วในที่สุดจีนก็จะใช้พม่าเป็นเหมือนกับกำลังของตน ดังคำกล่าวที่ว่า
“.....จึงฉวยโอกาสแปรกำลังของฝ่ายนั้น ให้กลายมาเป็นของเรา แล้วควบคุมกำลังของฝ่ายนั้นไว้ใต้การบัญชา...”
ซึ่งขณะนี้เท่ากับว่าจีนได้ควบคุมกำลังของพม่าให้ปฏิบัติการเพื่อผลประโยชน์ของจีน ดังนั้นถ้าสถานการณ์เป็นเช่นนั้น
สถานการณ์ใด ๆ ที่เป็นฝ่ายที่พม่าสร้างขึ้นหรือเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ขึ้นในพม่าก็เท่ากับว่าเป็นสิ่งที่จีนกำหนดให้พม่าทำเช่นนั้น
หรือเหตุการณ์ทั้งหลายในพม่าล้วนแล้วแต่มีจีนอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ดังเช่น เหตุการณ์ยึดอำนาจในรัฐบาลทหารพม่า
ในเดือนตุลาคม ๒๕๔๗ ที่ผ่านมา

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ กลยุทธ์นี้มีความหมายอยู่ ๒ นัย หนึ่งหมายถึงการหาทางสับเปลี่ยนกำลังหลักของพันธมิตรชั่วคราวที่เป็นศัตรูโดยเนื้อแท้
เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการทำลายหรือกลืนกินพันธมิตรนั้นเสีย ซึ่งในสมัยศักดินาโบราณ มักจะชอบกระทำกันเป็นนิจ
โดยมิได้คำนึงถึงสัจวาจาหรือธรรมแต่ประการใด อีกนัยหนึ่ง หมายถึงเป็นกลยุทธ์ในการโยกย้ายกำลังหลักของฝ่ายข้าศึก
โดยใช้กลลวงต่าง ๆ นานา ทำให้ข้าศึกต้องเปลี่ยนแนวรบหรือเคลื่อนย้ายกำลังไปตามความประสงค์ของเรา
ครั้นแล้วจึงเข้าตีตรงจุดอ่อนของข้าศึก เพื่อให้ได้รับชัยชนะ ดังนั้น ผู้บัญชาการที่ชาญฉลาด
จึงมิใช่แต่จะสันทัดในการใช้กำลังพลของฝ่ายตนเท่านั้น หากยังต้องสันทัดในการเคลื่อนย้ายหรือกระจายกำลังของข้าศึก
ด้วยกลยุทธ์ ให้เกิดประโยชน์แก่ตนอีกด้วย”
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:25 am

กลยุทธ์ที่ ๒๖ ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว
ใหญ่ข่มเหงเล็ก พึงเตือนให้เกรง แกร่งจึงต้อนรับ เสี่ยงจึงยอมสยบ

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อผู้ที่เข้มแข็งกว่าหรือรัฐใหญ่รังแกผู้ที่อ่อนแอหรือรัฐเล็กแล้วก็ควรจะใช้วิธีการ
ตักเตือนให้เกรงกลัว ถ้าแม้นเราแสดงความเข้มแข็งให้ประจักษ์ ก็จักได้รับการสนับสนุนจากผู้อ่อนแอ
ถ้าเรากล้าใช้ความรุนแรง ก็จักเป็นที่ยอมรับนับถือแก่ผู้อ่อนแอ “ แกร่งจึงต้อนรับ เสี่ยงจึงยอมสยบ”
เดิมมาจาก “คัมภีร์อี้จิง แม่ทัพ” ความเต็มว่า“แกร่งจึงต้อนรับ เสี่ยงจึงยอมสยบ นี่คือหนทางปกครอง
แผ่นดินราษฎรจึงขึ้นต่อ” ความหมายของ “ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว” ตรงกับสุภาษิตไทยเราคำว่า
“ ตีวัวกระทบคราด” แต่เมื่อใช้ในการสัประยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางการทหารหรืออื่น ๆ ก็เป็นกลยุทธ์
ที่มีความหมายในทำนองสร้างเกียรติภูมิของตนขึ้นด้วยวิธี “ฆ่าไก่สอนลิง” เพื่อให้ฝ่ายอื่นที่อ่อนแอกว่า
หรือผู้อยู่ใต้การบังคับบัญชายอมสยบด้วยอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ
ในหนังสือ “ชุนชิว ศักราชที่ ๑๓-๓๐ ของจวงกง” และ “จ่อจ้วน” มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้
ในตอนกลางของยุคชุนชิว ฉีหวนกง (อยู่ในอำนาจช่วง ๖๙๕-๖๔๓ ปีก่อนคริสตกาล) ผู้ครองแคว้นฉี
แต่งตั้งให้ก่วนจ้ง เป็นอัครมหาเสนาบดีของตนแคว้นฉีจึงเข้มแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว และใคร่จะเข้าครองอำนาจ
ในจงหยวนแต่ผู้เดียว ในขณะนั้น ทางแคว้นฉู่ ฉู่เฉิงอ๋องกำลังครองอำนาจอยู่ ซึ่งมีจื่อหยวน ผู้เป็นอา
ดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแห่งฉู่ เคยยกทัพไปตีแคว้นเจิ้น แต่มิได้ประสบความสำเร็จ
ต่อมา จื่อหยวน ย้ายเข้าไปพำนักอยู่ในวัง ก็กำเริบเสิบสาน ข่มขืนนางกำนัลตามอำเภอใจ จึงถูกฉู่เฉิงอ๋อง
ประหารให้ตายตกไปตามกันทั้งครอบครัว ครั้งแล้วจึงแต่งตั้งให้จื่อเหวินเป็น อัครมหาเสนาบดีแทน
จื่อเหวินเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เคร่งครัดต่อกฎระเบียบ ทำตัวเป็นแบบอย่าง ทั้งสันทัดในการใช้คน
จึงได้รับความรักและความเคารพนับถือจากราษฎรแคว้นฉู่เป็นอันมาก

เมื่อจื่อเหวินเป็นอัครมหาเสนาบดีแล้ว ก็ปกครองและปรับปรุงกิจการบ้านเมืองอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนอื่น
ได้เสนอว่าผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางมีศักดินา ให้ตัดอาณาเขตศักดินาในอำนาจของตนเข้าแคว้นกึ่งหนึ่ง
เพื่อป้องกันมิให้ขุนนางศักดินาทั้งหลายมีอิทธิพลสูงกว่าผู้ครองแคว้น ในการนี้จื่อหยวนก็เริ่มต้นจากตัวเองก่อน
ดังนั้น ผู้มีศักดินาทั้งหลายจึงต้องปฏิบัติตามโดยมิขัดขืน ต่อมา จื่อเหวินก็โยกย้ายเมืองหลวงจากเมืองตันหยาง
(ในมณฑลหูเป่ยในปัจจุบัน) ไปอยู่เมืองอิ่ง (ในมณพลหูเป่ยในปัจจุบัน) ซึ่งเมืองนี้มีชัยภูมิที่ดีกว่า คือ
ทางเหนือสามารถจุควบคุมแม่น้ำแยงซีเกียงและแม่น้ำฮั่นสุ่ยได้ส่วนทางใต้ก็ควบคุมลุ่มน้ำเซียงเจียงและหยวนสุ่ยได้
อันเป็นอาณาเขตที่นักการทหารโบราณใคร่จะแย่งยึดไว้เป็นของตนโดยทั่วหน้า พร้อมกันนั้น จื่อเหวินก็ส่งเสริม
การฝึกกำลังรบ เลือกเฟ้นคนดีมีความสามารถมาใช้งาน โดยแต่งตั้งให้ชี่อ๋วน เป็นเสนาบดีฝ่ายบุ๋น ให้โต่วจาง
เป็นเสนาบดีฝ่ายบู๊นำทัพของแคว้นฉู่ ดังนั้น แคว้นฉู่จึงเกรียงไกรยิ่งขึ้นทุกวันความรุ่งเรืองของแคว้นฉู่
ย่อมจะเป็นก้างขวางคอต่อการครองอำนาจในจงหยวนของแคว้นฉี

ส่วนทางแคว้นฉีนั้น นับแต่ก่วนจ้งเป็นอัครมหาเสนาบดีเป็นต้น ก็ปกครองแคว้นโดยถือขนบประเพณีเป็นที่ตั้ง
อภัยและลดโทษแก่เหล่านักโทษทั้งหลาย ลดภาษีอากร เพิ่มผลผลิต หล่อเงินตรา ทำนาเกลือ
เพื่อยังความอุดมสมบูรณ์แก่แคว้นตน พร้อม ๆ กับส่งเสริมการเพิ่มพลเมืองเร่งฝึกทหารจัดสำมะโนครัว เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน ก็ใช้คนที่มีความสามารถ เช่น แต่งตั้งให้ซี่เผิงเป็นเสนาบดีฝ่ายราชการ
ดูแลควบคุมเลือกถอดถอนพวกขุนนาง แต่ตั้งให้หลินเย่เป็นเสนาบดีฝ่ายที่นา ดูแลการเพาะปลูก
แต่งตั้งให้หวางจื่อเฉิงเป็นเสนาบดีฝ่ายการทหาร ดูแลควบคุมกองทัพ แต่งตั้งให้ปินซูเป็นเสนาบดีฝ่ายยุติธรรม
ดูแลการฟ้องร้องตัดสินความ แต่งตั้งให้ตงกว่อหยาเป็นเสนาบดีฝ่ายฎีกา ดูแลการร้องทุกข์และการตรวจราชการ
ส่วนตัวก่วนจ้งเองก็เป็นอัครมหาเสนาบดีดูแลกิจการบ้านเมืองทั้งหมด บ้านเมืองแคว้นฉี
จึงอยู่ในความสงบสุขเฟื่องฟูขึ้นเป็นลำดับ

แต่ฉีหวนกงมักมากในกามคุณ และชอบล่าสัตว์อีกโสดหนึ่ง วันหนึ่ง จึงถามก่วนจ้งว่า
“เราชอบสองสิ่งนี้ ท่านว่าจะเป็นภัยแก่การเป็นใหญ่ของเราหรือไม่?” ก่วนจ้งจึงตอบอย่างนอบน้อมว่า
“หาเป็นภัยไม่ ที่เป็นภัยแก่การเป็นใหญ่มีอยู่ ๔ ประการ คือ
ไม่เห็นผู้มีสติปัญญาหนึ่ง พบคนมีสติปัญญาแล้วไม่ใช้สอง ใช้แต่ไม่เชื่อสาม เชื่อแต่กลับไปใช้คนถ่อยสี่
๔ ประการนี้แหละที่เป็นภัยแก่การเป็นใหญ่ของท่าน!”

ฉีหวนกงได้ฟังก็รู้สึกว่า คำของก่วนจ้งเต็มไปด้วยเหตุผล จึงมอบอำนาจทั้งหมดของตนให้กับก่วนจ้งไป
นี่นับเป็นครั้งแรกที่ก่วนจ้งใช้อุบาย “ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว” เพื่อให้ฉีหวนกงไว้วางใจตน เพื่อจะได้ช่วย
ฉีหวนกงเป็นใหญ่ในจงหยวนอย่างปราศจากความกังวลในเจตนาของตน ต่อมาไม่นาน ฉีหวนกงก็อ้าง
พระนามพระเจ้าโจวหลีอ๋อง แห่งราชวงศ์โจวซึ่งเป็นกษัตริย์ของผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ในยุคนั้น
เชื้อเชิญผู้ครองแคว้นซ่งหลู่ เฉิน ช่าย เว่ย เจิ้น ฉาว และจู รวม ๘ แคว้น มาชุมนุมกันที่เมืองเป่ยซิ่ง
(ในมณฑลซานตงปัจจุบัน) เพื่อผูกเป็นพันธมิตรให้รับรองความเป็นใหญ่ในจงหวยนของตน แต่ผู้ที่ได้รับเชิญ
มีแต่ยี่ส้อแห่งแคว้นซ่ง ฉู่จิ้ว แห่งแคว้นเฉิน จื่อกว้อแห่งแคว้นหลู่ เซี่ยนอู่แห่งแคว้นช่ายเดินทางมาเท่านั้น
เมื่อประชุมตกลงอ้างว่าขัดต่อพระราชโองการของพระเจ้าโจวหลีอ๋อง ยี่ส้อแห่งแคว้นซ่งไม่เห็นด้วย
จึงขอลากลับไปก่อน ฉีหวนกงบันดาลโทสะ ก็เปลี่ยนใจจะจัดการกับแคว้นซ่งก่อนหลู่

แต่ก่วนจ้งทัดทานไว้ว่า “ซ่งไกล หลู่ใกล้ซ้ำยังขัดพระราชโองการไม่มาชุมนุมด้วย หากมิกำราบแคว้นหลู่ก่อน
จะทำให้ซ่งยอมสยบได้ไฉน?” ฉีหวนกงจึงกลับใจเตรียมตีแคว้นหลู่ตามเดิม ก่วนจ้งจึงเสนอให้ใช้อุบายสยบหลู่
โดยมิต้องใช้กำลัง ฉีหวนกงจึงถามว่า ก่วนจ้งมีอุบายอะไรที่พอจะใช้ได้
ก่วนจ้งจึงตอบว่า “ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแม่น้ำฉีสุ่ยมีแคว้นเล็กๆ อยู่แคว้นหนึ่งชื่อแคว้นสุย
เป็นแคว้นที่ขึ้นต่อแคว้นหลู่ เป็นแคว้นเล็กและอ่อนแอ จักตีได้โดยง่าย หากทัพฉีเราตีแคว้นสุยได้
แคว้นหลู่ก็จักเกรงกลัวเมื่อหลู่หวั่นก็จักมาเป็นพันธมิตรด้วยกับเรา เราอาจจะรับปาก เมื่อซ่งเห็นหลู่
ยอมเข้าเป็นพันธมิตรกับเราแล้ว ก็จักกลัวเกรงในเรา ดังนี้ เราตีแคว้นสุยแคว้นเดียว ก็สามารถจะสยบ
ได้ถึง ๒ แคว้น! นี่คือกลยุทธ์ “ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว” อันจักได้ผลเป็นทวีคูณ” ฉีหวนกงย่อมจะยินดีในกลยุทธ์นี้
เพราะสามารถสยบได้ถึง ๒ แคว้นมากกว่าที่ตนได้คิดเอาไว้ มิหนำซ้ำยังมิเปลืองไพร่พลจึงพอใจเป็นอันมาก
ให้ก่วนจ้งรีบดำเนินตามอุบายนี้โดยเร็ว
แคว้นสุยจึงถูกแคว้นฉียึดครองเอาไปได้ในไม่ช้า ผู้ครองแคว้นหลู่ก็ตกใจกลัว ส่งคนมาเจรจาปรองดองด้วยดังคาด
และขอให้จัดพิธีเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกันในเขตของแคว้นฉี ดังนั้น ฉีหวนกงจึงให้พบปะกันในเมืองเคอ
(ในมณฑลซานตงปัจจุบัน) หลังจากได้ตกลงเป็นพันธมิตรกันแล้ว แคว้นฉีก็คืนเมืองเหวินหยางเถียน
ที่ยึดเอาไป คืนให้กับแคว้นหลู่ ผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ก็พากันสรรเสริญว่าแคว้นฉีรักษาวาจาสัตย์ยิ่งนัก

ในปีที่ ๒ แห่งรัชสมัยโจวหลีอ๋อง (๖๙๐ ปีก่อนคริสตกาล) ฉีหวนกงก็เตรียมบุกแคว้นซ่ง
ส่วนทางแคว้นเว่ยและแคว้นฉาวรู้เข้าก็กลัวต่อแสนยานุภาพของแคว้นฉี จึงขอเข้าเป็นพันธมิตรด้วย
พร้อมกับส่งกำลังมาช่วยฉีบุกตีแคว้นซ่ง ในระหว่างเดินทัพ ฉีหวงกงก็ได้ที่ปรึกษาชื่อชิหลิงมาอยู่ด้วย
อีกคนหนึ่งจึงแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดี ชิหลิง จึงเสนอแก่ฉีหวนกง ขอใช้ลิ้น ๓ นิ้วของตนไปโน้มน้าว
ซ่งกวนกงแห่งแคว้นซ่ง ให้มาร่วมเป็นพันธมิตรกับฉี หลังจากนั้นฉีหวนกงก็ช่วยเจิ้นลี่กงแห่งแคว้นเจิ้น
คืนสู่อำนาจอีก ดังนั้นแคว้นฉีจึงได้รับการยกย่องจากแคว้นต่าง ๆ เป็นเสียงเดียวกัน

ในปีที่ ๓ แห่งรัชสมัยโจวหลีอ๋อง ฉีก็เรียกชุมนุมผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ณ เมืองซิวโจว (ปักกิ่งในปัจจุบัน)
จึงมีผู้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรด้วยเป็นอันมาก เช่น ซ่ง หลู่ เฉิน เว่ย เจิ้น สี่ เป็นต้น การตั้งต้นเป็นใหญ่ของฉีหวนกง
ก็นับว่าได้รับความสำเร็จขั้นต้น ในขณะนั้น ผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับแคว้นฉีก็ยังคงเป็นแคว้นฉู่ ดังนั้นฉีหวนกงกับก่วนจ้ง
จึงปรึกษากันในเรื่องชิงความเป็นใหญ่เหนือจงหยวนกับแคว้นฉู่อีกชั้นแรก ฉีหวนกงคิดจะใช้ความยิ่งยงของตน
ระดมให้ผู้ครองแคว้นต่างๆ ส่งกำลังมาร่วมตีแคว้นฉู่พร้อมกัน ก่วนจ้งจึงท้วงว่า “แคว้นฉู่เป็นแคว้นใหญ่อยู่ทางภาคใต้
นับแต่ฝั่งใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงลงไปจนถึงทะเลใต้ ล้วนแต่อยู่ในอำนาจของฉู่จนสิ้น และเพราะได้ปกครองมาด้วยดี
แคว้นจึงมั่งคั่งและราษฎรก็อยู่เย็นเป็นสุข แม้แต่กษัตริย์โจวเอง ก็ยังมิกล้าตอแยด้วย
หากจักใช้กำลังของแคว้นต่าง ๆ ไปบุก ก็หาใช่เป็นอุบายที่ดีไม่ บัดนี้ แคว้นเล็กแคว้นน้อยต่าง ๆ
เพิ่งจักยอมสยบต่อฉีเรา ฉะนั้น เราจึงควรสร้างสมบารมีไปพลางก่อน มิพึงร้อนใจใช้กำลังง่ายดายเกินไป
ดังนี้ แคว้นต่าง ๆ จึงจะมิแคลงใจว่า เป็นมือเท้าเรา ควรรอจนเมื่อแคว้นฉู่เกิดความวุ่นวายภายใน
ค่อยอ้างเหตุไปกำราบ จึงจะนับว่าเป็นอุบายชั้นเลิศ” ฉีหวนกงแม้ใจใคร่จะเร่งใช้แสนยานุภาพยกฐานะ
ความเป็นใหญ่ของตนให้สูงขึ้น แต่คำทักท้วงของก่วนจ้งก็มีเหตุผล จึงครุ่นคิดอยู่ช้านาน แล้วกล่าวแก่ก่วนจ้ง
อีกว่า “ถ้ากระนั้น เราก็ใคร่จะตีแคว้นจาง (ในมณฑลซานตงปัจจุบัน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเราก่อน
ท่านจะเห็นเป็นประการใด?”

อันแคว้นจางนี้ ผู้ครองแคว้นเป็นหลานห่าง ๆ ของเจียงไท่กง แคว้นฉีก็เป็นเชื้อสายรุ่นหลังของเจียงไท่กงเช่นเดียวกัน
ก่วนจ้งจึงทักท้วงอีกว่า “จางเป็นแคว้นเล็กก็จริงอยู่ แต่ก็มีศักดิ์เป็นหลายของเจียงไท่กง แซ่เดียวกันกับของท่าน
หากกำจัดแม้แต่คนในตระกูลเดียวกันแล้ว ก็เรียกได้ว่า ไร้คุณธรรมมิบังควรทำเป็นอันขาด” ฉีหวนกงจึงอึ้งไปอีก
ก่วนจ้งคิดอยู่ครู่ใหญ่จึงกล่าวว่า “แคว้นจางติดอยู่กับแคว้นจี่ จางขึ้นต่อจี่ แคว้นจี่ได้ถูกฉีตีพ่ายไปแล้ว
แต่เมื่อครั้นผู้ครองแคว้นคนก่อน ตอนนี้เราควรจะให้เฉิงฟู่บุตรชายของท่านยกทัพไปตรวจตราแคว้นจี่
แล้วแสดงท่าทีว่าจะบุกรุกเข้าไปในแคว้นจาง แคว้นจางก็จะหวาดกลัวรีบมายอมสยบด้วยเรา ดังนี้
ฉีก็จะมิได้ชื่อว่ารังแกแม้กระทั่งคนในตระกูลเดียวกัน แต่โดยความจริงแล้วเราก็ได้ดินแดนของจางมาครอง”
ฉีหวนกงได้ฟังดังนั้น ก็ให้รู้สึกดีใจ จึงดำเนินตามอุบายของก่วนจ้งโดยไม่รอช้า

เมื่อกรีฑาทัพไปถึงจี่แล้ว เฉิงฟู่ก็เที่ยวคุยว่า “ฉีหวนกงบิดาเรา เป็นพันธมิตรกับแคว้นต่าง ๆ มากมาย
แม้แต่กษัตริย์โจวหลีอ๋องก็ยังทรงเกรงกลัวมิอาจขัดด้วยความประสงค์ของบิดาเรา บัดนี้ กลับมีแคว้นเล็ก ๆ
ที่อยู่ใต้เปลือกตามองแคว้นเราไม่ขึ้น ซ้ำร้ายยังเป็นแคว้นที่ใช้แซ่เดียวกันกับเราเสียอีก ถ้าแม้นไม่สำนักตัว
เมื่อกองทัพใหญ่ของเราไปถึง ก็จะถูกเหยียบจนกลายเป็นเศษธุลี” คำของเฉิงฟู่ แม้จะมิได้ระบุชื่อ
แต่ก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่า หายถึงแคว้นจาง อันต้องด้วยอุบาย “ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว” ของก่วนจ้ง
ฝ่ายผู้ครองแคว้นจาง เมื่อได้ข่าวดังนั้น ก็ให้รู้สึกวิตก จึงเรียกขุนนางทังหลายมาปรึกษาความว่า
“บัดนี้ เฉิงฟู่บุตรชายของฉีหวนกงนำทัพมายังแคว้นจี่ แต่กลับประกาศว่าจะเหยียบแคว้นจางเรา
พวกท่านเห็นว่าแคว้นเราควรจะทำประการใดดี”

บรรดาขุนนางทั้งหลายของจาง ล้วนแล้วแต่เป็นคนถ่อยที่เห็นแต่ตัว ห่วงแต่ครอบครัวและชีวิตตน
หากได้คิดถึงชีวิตความเป็นตายของชาติบ้านเมืองไม่จึงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ฉีหวนกงมีความประสงค์จะตั้งตัวเป็นใหญ่แคว้นทั้งหลายในจงหยวนล้วนแต่ต้องเข้าจิ้มก้องกันทุกปีมิได้ละเว้น
แคว้นจางเราเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ หากจะต่อต้านด้วย ก็มิผิดเอาไข่ไปกระทบหิน รังแต่จะแตกทำลาย
เรามิสู้ยอมจำนน ดังนี้ยังจะสามารถรักษาศาลเจ้าบรรพบุรุษเซ่นไหว้ มิฉะนั้นแล้ว ชาติก็จะสูญชีวิตก็จะสิ้น
ด้วยกำลังบุกรุกของแคว้นฉีท่านผู้ครองแคว้นจงพิจารณาไตร่ตรองให้ดี”

ผู้ครองแคว้นจางเห็นขุนนางทั้งหลายแต่ละคนล้วนแต่รักตัวกลัวตาย หาได้เจ็บแค้นต่อคำเหยียดหยามของเฉิงฟู
แม้แต่น้อยหนึ่งไม่ ซ้ำยังมิกล้าสู้ด้วยกับฉีจึงให้เสียใจนัก แต่ก็จนปัญญาที่จะคิดเป็นอื่น จึงจำต้องแต่งทูต
นำแผนที่หนังสือรังวัดและสำมะโนครัวของทั่วทั้งแคว้นจาง ไปมอบให้ฉีหวนกง แสดงความประสงค์
ที่จะสวามิภักดิ์ด้วยแคว้นฉีอย่างไม่มีข้อแม้

ฉีหวนกงมีความยินดีเป็นอันมาก กล่าวแก่ขุนนางทังหลายว่า “อุบายของอัครมหาเสนาบดีช่างเยี่ยมนัก
มิมีผิดไปจากที่คาดคิดไว้เลยแม้แต่น้อย นับเป็นบุญแก่การตั้งตัวเป็นใหญ่ของเราอย่างยิ่ง
ความดีความชอบของท่านก่วนจ้งคราวนี้ ใหญ่หลวงนัก หาผู้ใดเทียบมิได้เลย!”

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“เพื่อที่จะดำเนินตามแผนการที่ได้วางไว้ จักต้องใช้มาตรการเด็ดขาด จึงจะสามารถได้รับผลตามที่กำหนด
แต่ความเด็ดขาดนั้น ใช่ว่าจะต้องอาศัยกำลังความรุนแรงเสมอไป อาจดำเนินด้วยวิธีการหนึ่งใด
ที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามตระหนักในเจตนา ยอมสยบแต่โดยดี เพราะจนปัญญาที่จะต่อตีด้วยเรา นั้นเอง”
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:26 am

กลยุทธ์ที่ ๒๗ แสร้งทำบอแต่ไม่บ้า
แกล้งไม่รู้ไม่ทำ ดีกว่าแสร้งรู้วู่วามทำ เฉยไม่แสดงปฏิกิริยา ดุจดั่งอสนีบาตหยุดฟากฟัน

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ยอมแสร้งทำเป็นโง่ มิเคลื่อนไหว อย่าทำเป็นสู่รู้ทำบุ่มบ่าม
คำว่า “ดุจดั่งอสนีบาตหยุดฟาดฟัน” เก็บความจาก “คัมภีร์อี้จิง หยุด” ความว่า “ อสนีบาตฤดูหนาว
แฝงกายอยู่ใต้พื้นพสุธา จักแผดร้องก้องนภาคราฤดูใบไม้ผลิ” ซึ่งหมายความว่า ผู้ที่มีสติพึงแสดงตัว
แต่พึงเตรียมการทั้งปวงอย่างลับ ๆ ประหนึ่งคมดาบที่อยู่ในฝัก มิปรากฏให้เห็น ครั้นเมื่อถึงกาลอันควร
ก็จักคำรนคำรามเหมือนสายฟ้า ที่จะกระหน่ำพสุธาให้แตกสลายไปฉะนั้น
นี้นับเป็นกลยุทธ์หลวงลวงมึนชาข้าศึก แสดงความบ้าใบ้ทางภายนอกแต่ตื่นตัวโดยตลอดอยู่ภายใน
ดำเนินการอย่างลี้ลับและพลิกแพลงเพื่อเอาชนะข้าศึกอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้ มีส่วนละม้ายคล้ายกับ
สำนวนไทยเราที่ว่า “ หน้าไหว้หลังหลอก” หรือ “ ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก” ในบางแง่มุม

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ.........กรณีจีน และรัสเซีย ปล่อยให้สหรัฐฯ รุกเข้ายึดอิรัก โดยที่มีการต่อต้าน
จากสองฝ่ายแรกพอเป็นพิธี แล้วสหรัฐฯ ก็สามารถยึดครองอิรักได้ แต่เป้าหมายของจีนและรัสเซียคือ
การที่จะร่วมกันกำจัดสหรัฐฯ ในสมรภูมิอิรักนั่นเอง.......

สงครามอิรักครั้งที่ ๒ หรือสงครามอ่าวครั้งที่ ๒ ที่ระเบิดขึ้นเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๔๖ ที่ผ่านมาทำให้ประชาคมโลก
ได้เห็นปรากฏการณ์หลายๆอย่างเกิดขึ้นทั้งที่เป็นความเห็นส่วนตัวที่อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลข่าวสาร
ที่ได้รับจากสื่อที่คนอื่นชอบ อย่างไรก็ตามเนื้อหาของข่าวสารที่จะนำเสนอต่อไปนี้ จะนำเสนอมุมมอง
ที่แตกต่างจากมุมมองทั่ว ๆ ไป โดยจะอยู่บนพื้นฐานการวิเคราะห์สถานการณ์ของโลกในเชิงของความมั่นคง
ที่อยู่บนพื้นฐานของตำราพิชัยสงครามหลักการสงครามทางทหาร และทฤษฎีการสงครามต่าง ๆ
ที่ค่อนข้างจะขัดแย้งกับความรู้สึกนึกคิดและข่าวสารที่ได้รับทราบกันมาโดยต่อเนื่องตั้งแต่ต้นสงครามอิรัก
ครั้งที่ ๒ เป็นต้นมาจนกระทั้งถึงปัจจุบันนี้ ในขณะที่สงครามอิรักปะทุขึ้นผู้เขียนศึกษาอยู่ใน
มหาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรของจีน (NDU) ซึ่งเมื่อเกิดสงครามขึ้นได้มีการศึกษาสงคราม
กันอย่างกว้างขวางและเอาจริงเอาจังท่ามกลางผู้เข้าร่วมศึกษาและสัมมนาจากหลายประเทศทั่วโลก
รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและสถานการณ์ด้านความมั่นคงของโลกผู้เขียนได้มีโอกาสนำเสนอ
ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสงครามอิรักหลายครั้งเริมตั้งแต่การนำเสนอเรื่องเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔
(เวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์) ซึ่งผลที่ตามมาคือจะเกิดสงครามอิรักอีกครั้งหนึ่ง ผู้เขียนได้ทำเป็นเอกสารวิจัย
ให้กับคณะกรรมการตรวจเอกสารวิจัย ของ NDU จีน ตั้งแต่เดือน พ.ย. ๔๕ และได้พยากรณ์ล่วงหน้าว่า
จะเกิดสงครามอิรักขึ้น ซึ่งก็เกิดขึ้นจริงในเดือน มี.ค.๒๕๔๖ คือก่อนเหตุการณ์ ๕ เดือน นอกจากนั้น
ผู้เขียนยังได้นำเสนอวิวัฒนาการของสงครามอิรัก และกล่าวถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นหลังสงครามอิรัก
ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ โดยเฉพาะปรากฏการณ์โรค ซาร์ซ ปรากฏการณ์ไข้หวัดนก สงครามยืดเยื้อในอิรัก
จนกระทั้งเอกสารที่ผู้เขียนนำเสนอได้รับการพิจารณาเป็นเอกสารวิจัยดีเด่นหลักสูตร ๑ ฉบับ
ได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้นำเสนอในที่ประชุมนานาชาติที่ NDU จีน ๑ ฉบับ และได้รับคัดเลือก
ให้บรรยายให้กับเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง และนักศึกษาหลักสูตรความมั่นคงของจีนได้ฟังอีก ๑ ฉบับ
และเมื่อได้รับหนังสือประกาศเป็นหลักฐานว่าเป็นเอกสารวิจัยดีเด่นแล้วเมื่อ เดือน ธ.ค.๒๕๔๖ แล้ว
ผู้บัญชาการสถาบันป้องกันประเทศ กองบัญชาการทหารสูงสุด ของกองทัพไทย ในขณะนั้น
ได้กรุณาอนุมัติให้พิมพ์เป็นเอกสารทางราชการเพื่อให้นักศึกษาด้านความมั่นคงของกองทัพไทย
ได้ศึกษาเป็นแบบอย่างอีกด้วย

ในเนื้อหาของเอกสารวิจัยได้กล่าวถึงการต่อสู้ของประเทศมหาอำนาจเพื่อแย่งชิงพื้นที่สำคัญ
ทางยุทธศาสตร์คือ อิรัก ซึ่งอิรักเป็นประเทศที่นอกจากจะเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งทางทรัพยากรน้ำมัน
มากเป็นอันดับ ๒ ของโลกที่ประเทศมหาอำนาจทุกประเทศปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเข้าครอบครองทั้งสิ้น
ด้วยความจำเป็นของสหรัฐอเมริกาฯ ที่ต้องรีบเข้ายึดอิรักด้วยเหตุผลที่สร้างขึ้น หลายประการ
ดังที่ทราบกันโดยทั่วไปอยู่แล้ว เช่น ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปัญหาด้านค่าเงินดอลลาร์ที่กำลังถูก
ค่าของเงินยูโรคุกคาม ปัญหาภัยคุกคามด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศของมหาอำนาจจีน
ปัญหาการบีบคั้นกดดันจากชนชั้นนำในสังคมอเมริกัน และอื่น ๆ อีกหลายรายการ หลายประเทศ
ซึ่งเป็นมหาอำนาจชั้นรองลงมาต่างต่อต้านมิให้สหรัฐฯ บุกอิรัก ทั้งนี้เพราะประเทศอื่นก็ล้วนแล้ว
แต่มีผลประโยชน์มหาศาลในอิรัก และจะได้รับผลกระทบเมื่อสหรัฐฯ เข้ายึดครองอิรัก สงครามอิรัก
เริ่มขึ้นในเดือน มี.ค.๒๕๔๖ ประเทศต่าง ๆ ที่สูญเสียผลประโยชน์ต่างต่อต้านสหรัฐฯ
รวมทั้ง จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมัน ประเทศที่ได้ชื่อว่าสูญเสีย ผลประโยชน์จำนวนมากคือ จีน และ รัสเซีย
ทั้งนี้เพราะทั้ง ๒ ประเทศมีการค้าขายและมีการลงทุนด้านน้ำมันในอิรักเป็นจำนวนมากเงินมหาศาล

เมื่อสงครามเกิดขึ้นทำให้ผลประโยชน์ที่ทั้ง ๒ มหาอำนาจชั้นรองดังกล่าวแล้วต้องสูญเสียไปโดยปริยาย
ในช่วงเริ่มต้นของสงครามมีเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ ออกมาประกาศถึงการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสูงของรัสเซีย
เข้าไปแจม( JAM) ระบบการควบคุมบังคับบัญชาของการทหารของสหรัฐฯ ซึ่งผู้ที่ติดตามข่าวสงครามอิรัก
อย่างต่อเนื่องก็คงจำได้ ถ้าวิเคราะห์กันต่อไปจะทราบว่า
ก่อนหน้าที่สหรัฐฯจะสั่งเคลื่อนกำลังทหารบุกเข้าอิรักในเดือนมีนาคม ๒๕๔๖ สหรัฐฯ
หยุดชะงักการปฏิบัติการทางทหารทั้งสิ้นเหมือนว่า จะยุติการบุกอิรักอยู่ประมาณ ๒ – ๔ วัน
จากรายงานข่าวที่เชื่อถือได้แจ้งว่าในช่วงนั้น รัสเซียโดยความร่วมมือกับ จีนและกลุ่มประเทศ อียู
ที่ร่วมกันคัดค้าน และต่อต้านการทำสงครามอิรักตั้งแต่ต้น ได้มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าให้รัสเซีย
ใช้เครื่องมือทางอิเลคทรอนิกส์ชั้นสูงที่พัฒนาไปได้ไกลมาก (เชื่อว่าเทคโนโลยีด้านนี้จะสูงกว่าสหรัฐฯ)
เข้าไปแจม (JAM) ระบบควบคุมบังคับบัญชาทางทหารของสหรัฐฯ เพื่อเป็นการเตือนว่า
ทุกย่างก้าวของสหรัฐฯ ฝ่ายที่คัดค้านการทำสงครามรู้เท่าทันหมด เพียงแต่ว่าจะขัดขวางหรือไม่เท่านั้นเอง
จึงทำให้สหรัฐฯ ถึงขั้นต้องหยุดชะงักการปฏิบัติการทางทหารไปชั่วขณะ เมื่อวิเคราะห์ผลได้ผลเสีย
รวมทั้งขีดความสามารถของตนแล้วสหรัฐฯ จึงสั่งกำลังทหารบุกโจมตีอิรักโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านใด ๆ
ทั้งจากประเทศมหาอำนาจชั้นรอง และจากองค์การสหประชาชาติ สหรัฐฯ จำเป็นต้องเสี่ยงอย่างยิ่ง
ทั้ง ๆที่ ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับกำลังทหารของตนในอนาคต ดังที่ผู้เขียนได้นำเสนอไปแล้ว
เมื่อในกลยุทธ์อื่น ๆ ว่า ผู้สั่งการให้โจมตีไม่ใช่ผู้บัญชาการทางทหาร ไม่ใช่ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ
แต่เป็นกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังที่ทรงพลังอำนาจและอิทธิพลอย่างยิ่งต่อรัฐบาลอเมริกาซึ่งประกอบด้วย
ทั้ง FED , Vatican และ Jew สามสถาบันหลักที่อยู่เบื้องหลังสังคมอเมริกัน
ซึ่งคนทั่วไปจะไม่ค่อยได้ยินชื่อเรื่องนี้นัก ดังนี้ นำเสนอไปแล้วเช่นกัน
กลุ่มนี้เป็นกลุ่มผลประโยชน์ในประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้งอยู่เหนือรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างแท้จริง
ซึ่งจะเป็นผู้สั่งการตัวจริงว่าจะให้บุกหรือ ถอย ด้วยเรื่องผลประโยชน์ ๓ กลุ่มดังกล่าวต้องสั่งบุก
จนกระทังยึดครองอิรักได้อย่างเบ็ดเสร็จในเวลากันรวดเร็ว

ในขณะที่สงครามกำลังดำเนินอย่างเข้มข้นไปอยู่นั้นในมหาวิทยาลัยป้องกัน ประเทศ (DNU) ของจีน
พลตรี Ji Ming Kui ผู้อำนวยการส่วนการศึกษาของ ส่วนการศึกษาของนักศึกษาต่างประเทศ NDU จีน
ได้บรรยายถึงสงครามประชาชน (People War) สงครามยืดเยื้อ (Protracted War) สงครามท้องถิ่น
(Local ware ) และมีการกล่าวถึงเรื่องนี้ในการบรรยายหลายครั้งในห้องเรียนโดยเจตนา จะชี้ให้นักศึกษา
ในหลักสูตรป้องกันประเทศทราบโดยทั่วกันว่า “ ต่อแต่นี้ไปสงครามอิรักจะเข้าสู่สงครามประชาชน
สงครามยืดเยื้อ สงครามท้องถิ่นตามหลักนิยมด้านการทหารของจีน ” ซึ่งนักศึกษาหลายคน
ก็ยังแสดงความไม่เข้าใจว่าทำไมจีนจึงต้องออกมาเน้นย้ำถึงสงคราม เหล่านี้ทั้ง ๆ ที่เมื่อสหรัฐฯ
ได้เข้ายึดครองอิรักไปแล้วนั่นก็คือการสิ้นสุดของสงครามจะมีสงครามอะไรอีกต่อไป
จีนยังพูดถึงสงครามเดิมอยู่อีกหลายครั้ง ผู้เขียนได้พยายามอธิบายในชั้นเรียนให้เพื่อน ๆ
นักศึกษาในหลักสูตรทราบว่าความหมายคือ “จีนจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำสงครามอิรัก
ซึ่งเริ่มตั้งแต่ที่สหรัฐฯ ยึดครองอิรักได้แล้วโดยใช้สงครามตามรูปแบบของจีน
คือ สงครามประชาชน สงครามยืดเยื้อ และสงครามท้องถิ่น

ในที่สุดเหตุการณ์ก็ปรากฏให้ชาวโลกได้เห็นคือ สงครามประชาชน สงครามท้องถิ่น และสงครามยืดเยื้อ
สร้างความเสียหายให้กับสหรัฐฯ เป็นอย่างยิ่ง จนกระทั้งกระทบต่อคะแนนเสียงของประธานาธิบดี
จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ของสหรัฐฯ ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ถ้าวิเคราะห์ต่อไปโดยกล่าวถึงกลยุทธ์
แสร้งทำบอแต่ไม่บ้า ก็คือ กลุ่มประเทศที่ร่วมกันคัดค้านการบุกอิรัก ของสหรัฐฯ ร่วมมือกันที่จะถล่มสหรัฐฯ
ใน สงครามอิรัก ผลที่ต้องการคือให้สหรัฐตกอยู่ในสงครามเป็นฝ่ายรับอย่างขมขื่น ในสงครามอิรัก
โดยอาจจะไม่ให้สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากอิรักได้โดยง่ายและสหรัฐฯ อาจจะต้องพ่ายแพ้สงครามประชาชน
(ระเบิดพลีชีพ) ในอิรักเหมือนเมื่อครั้งพ่ายแพ้สงครามในเวียดนาม ซึ่ง สหรัฐฯ ต้องบอบซ้ำทั้งทางเศรษฐกิจ
ทางการทหาร และทางการเมืองระหว่างประเทศ ยกเว้นว่าสหรัฐฯ ไหวตัวทันรีบแก้เกมครั้งนี้ให้ทันคือ
อาจเพิ่มจำนวนพันธมิตรของตนมากขึ้น หรืออาจจะถอนทหารออกจากอิรักโดยเร็ว สหรัฐฯ จึงจะรอดได้
แต่อย่างไรก็ตาม ผลที่กระทบกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เป็นตัวแสดงในฐานะผู้นำสงครามคือ
ฐานคะแนนเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งที่ ๒ ของบุช ต้องเกิดปัญหา
ปัญหาไม่ได้อยู่ประชาชนว่าจะชอบหรือไม่ชอบ บุช แต่ ๓ องค์การใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังตัวแสดงคือ
FED, Vatuican และ Jew ที่เป็นเจ้าของผลประโยชน์ทั้งหมดในสังคมอเมริกัน จะเป็นผู้ตัดสิน
ถ้าบุช สามารถแสดงบทบาทในการแก้ปัญหาในอิรักได้อย่างเป็นที่น่าพึงพอใจของทั้ง ๓ กลุ่ม
อิทธิพลดังกล่าวหรือไม่ ถ้าทำได้ บุช อาจจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป
แต่ถ้าสถานการณ์ยังเลวร้ายอยู่ บุช อาจต้องหลุดไปอันมีตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นเดิมพัน
ปรากฏการณ์เมื่อ ๒๓ ต.ค.๔๗ ยังคงเห็นคะแนนเสียง บุช และ แครี ที่สูสีกันมาก วันที่ ๒ พ.ย.๔๗
ก็เช่นเดียวกัน นั่นคือการเปิดโอกาสให้ บุช สร้างผลงานเพื่อลบล้างความผิดที่ไม่สามารถ
แก้ภาพพจน์ของสหรัฐฯ ต่อประชาคมโลกและการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ
ให้ได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา นั้นคือ ผลของกลยุทธ์ “แสร้งทำบอแต่ไม่บ้า” ของ จีน รัสเซีย อียู
ที่ใช้ในการต่อสู้กับสหรัฐฯ ( ข้อมูลอาจจะขัดแย้งกับสิ่งที่ผู้อ่านได้มาจากสื่อทั่วไป แต่ในมิติของความมั่นคง
นักการทหารและนักยุทธศาสตร์ไม่อาจที่จะคิดตามแนวทางของข้อมูลที่คนทั่วไปรับรู้นั้นได้ทั้งหมด
ถ้าไม่เช่นนั้น นักการทหาร นักยุทธศาสตร์ ก็ไม่แตกต่างจากชาวบ้านธรรมดาที่รับข้อมูลมาอย่างไร
แล้วก็เชื่อตามนั้น นักการทหาร นักยุทธศาสตร์ ต้องสามารถแยกแยะได้ว่า ข่าวสารใดลวง
ข่าวสารใดเป็นข่าวสารจริง )

กลยุทธ์นี้ จึงมีผู้สรุปว่า
“ ยามเมื่อสถานการณ์ไม่เป็นผลดี ควรจะสะกดกลั้นตัวเองไว้ แสร้งทำเป็นโง่เง่า
อวดฉลาดยิ่งจะไม่เป็นผลดีแก่ตน นี้เป็นวิธีรู้รักษาตัวรอดอย่างหนึ่งในยามปั่นป่วน
คนฉลาดมักจะใช้วิธีการนี้ป้องกันตัวและวางแผนเอาชนะศัตรู คนที่ดูโง่เขลานั้น
โดยภายนอกก็อาจจะเห็นเป็นเต่าตุ่น แต่ที่แท้แล้วภายในนั้นคมกริบ รู้เขารู้เรา
พึงถอยก็รู้จักถอย มิดันทุรังรุกไปโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ดังนั้น
จึงสามารถที่จะเป็นฝ่ายริเริ่มกระทำในการทั้งปวง เพราะเข้าใจในเหตุการณ์
อย่างรู้แจ้งแทงตลอดและรอจังหวะที่จะบุกกระหน่ำมิยอมให้ศัตรูตั้งตัวติดตลอดเวลา
กลยุทธ์นี้ มักจะพบเห็นบ่อย ๆ โดยทั่วไป ผู้ใดใช้เป็นด้วยความสันทัดจัดเจน
ผู้นั้นย่อมจะได้รับผลสำเร็จ และเป็นที่น่ากลัวสำหรับฝ่ายตรงข้ามที่มิรู้แจ้งในกล”
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:27 am

กลยุทธ์ที่ ๒๘ ขึ้นบ้านชักบันได
แสร้งเปิดทางสะดวก ล่อให้รุกเข้า ตัดการหนุนช่วย ให้ถึงที่ตาย เจอพิษ มิควรที่

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จงใจเปิดจุดอ่อนให้ข้าศึกเห็น สร้างเงื่อนไขและล่อหลอกให้ข้าศึกเข้าตี
ครั้นแล้วตัดขาดจากส่วนหน้าที่คอยสมทบ และส่วนหลังที่เป็นกำลังหนุน บีบให้ข้าศึกเข้าไปในปากถุง
ที่เปิดอ้าไว้รับหรือในวงล้อมหลุมพรางที่วางดักไว้ “ เจอพิษ มิควรที่” มีใน “ คัมภีร์อี้จิง ขบ”
เปรียบประดุจเคี้ยวกระดูกหรือเนื้อเหนียว รังแต่จะทำให้ฟันชำรุดเสียหาย หรือเหมือนดั่งมักได้
ในสิ่งมิควรได้ย่อมจักนำมาซึ่งความวิบัติฉะนั้น “ขึ้นบ้านชักบันได” มีความหมายอย่างเดียวกันกับ
“ข้ามคลองรื้อสะพาน” นี้คือกลยุทธ์ที่ใช้ผลประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ล่อหลอกให้ข้าศึกพินาศไป
ทั้งกองทัพอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ
ใน “ สามก๊ก” ประวัติราชวงศ์ฮั้น ประวัติขงเบ้งลิเงียม” มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้
สมัยสามก๊ก ( ค.ศ.๒๒๐-๒๙๐ ) ขงเบ้งรับการฝากฝังของเล่าปี่ก่อนสิ้นชีพจึงสถาปนาเล่าเสี้ยน
ขึ้นครองราชย์บัลลังก์รัฐจ๊ก หลังจากนั้น ขงเบ้งก็หมกมุ่นอยู่แต่บรรลุเจตนารมณ์ของเล่าปี
ที่จะกำราบโจโฉและซุนกวน ผนวกดินแดนของขุนศึกทั้งสองเข้ามาอยู่ในขอบขัณฑสีมา
ของราชวงศ์ฮั่นแห่งตระกูลเล่าให้สิ้นเชิง

ในระหว่าง ๗ ปีนับแต่ ค.ศ.๒๒๗-๒๓๔ ขงเบ้งกรีฑาทัพสู้รบกับตระกูลโจและซุนถึง ๖ ครั้ง
แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะฟื้นราชวงศ์ฮั่นให้ครองแแผ่นดินทั้งหมดได้ดังใจหมาย ในขณะเดียวกัน
ทั้งตระกูลโจและซุน ก็ไม่กล้าผลีผลามบุกเข้าตีรัฐจ๊ก ดังนั้นสภาวะสามก๊ก คือรัฐจ๊กของเล่าปี่
รัฐวุยของโจโฉ รัฐหวูของซุนกวน จึงตั้งยันกันอยู่หลายปี

ในการกรีฑาทัพครั้งที่ ๕ เป็นปีที่ ๙ แห่งศักราชเจี้ยชิงของพระเจ้าเล่าเสี้ยนในครั้งนั้น
ขงเบ้งยกทัพใหญ่ออกจากรัฐจ๊ก เข้าประชิดชายแดนของรัฐวุยทางเขากิสาน ( ในมณฑลกานสูปัจจุบัน)
ประจวบเหมาะกับขุนพลโจจิ๋นซึ่งรักษาภาคตะวันตกของรัฐวุยล้มป่วยหนัก เมื่อไพร่พลไร้ผู้นำเสียแล้ว
ค่ายของทัพวุยก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก จึงมีหนังสือแจ้งเข้าไปยังเมืองหลวงฮูโต๋วันละ ๓ เวลา
พระเจ้าเว่ยหมิงตี้ ( โจยอย) จึงเรียกขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊เข้าเฝ้าเพื่อปรึกษาหารือการศึกอย่างรีบด่วน
บังเอิญในเวลานั้น สุมาอี้เดินทางกลับมาจากเมืองเกงจิ๋วถึงเมืองฮูโต๋พอดี เว่ยหมิงตี้ดีพระทัย
จึงกล่าวแก่สุมาอี้ว่า “ บัดนี้ ขงเบ้งยกทัพมาทางเขากิสานประชิดพรมแดนเรา ภาคตะวันออกกำลังคับขัน
เว้นแต่ท่านแล้วเห็นทีจะมิมีผู้ใดไปต่อกรด้วยขงเบ้งได้ เราจึงขอให้ท่านเป็นแม่ทัพนำเตียวคับ
โกฉุยยกทัพไปแก้ศึกขงเบ้งยังเขากิสาน”

สุมาอี้รับพระราชโองการแล้วก็มิได้หยุดพักผ่อน นำทัพออกเดินทางไปทางตะวันตกในเพลานั้น
ครั้นถึงเมืองเตียงฮัน สุมาอี้ก็ให้ทหาร ๔ พันอยู่กับตน เพื่อรักษาเมืองเสเกี๋ยง ( ในมณฑลกานสูปัจจุบัน)
ส่วนไพร่พลนอกนั้นก็ให้เตียวคับนำไปช่วยทางชายแดนเขากิสานจนหมด
ฝ่ายขงเบ้งรู้ว่าสุมาอี้นำทัพมา ก็ให้อองเป๋งนำไพร่พลส่วนหนึ่งล้อมตีทางเขากิสาน ส่วนตนก็นำเกียงอุย
อุยเอี๋ยน ซึ่งเป็นทัพหลวงไปรบด้วยสุมาอี้ที่โกฉุยให้รู้ดีรู้ชั่ว ในการรบครั้งแรก ขุนพลโกฉุยของสุมาอี้
ก็พ่ายแพ้แก่รัฐจ๊ก ขงเบ้งจึงฉวยโอกาสตัดเอาข้าวสาลีในท้องทุ่งหลงเสไปเป็นเสบียงของตนเป็นอันมาก
สุมาอี้เห็นทหารขงเบ้งฮึกเหิมนัก จักรบด้วยก็มีแต่ปราชัย จึงยึดชัยภูมิเฉยอยู่ ขงเบ้งออกมาท้ารบ
ก็เป็นหลายครั้ง สุมาอี้ก็ไม่กล้ายกทัพออกมาสู้ด้วย

ขงเบ้งเห็นดังนั้น ก็ยกกำลังถอยไปยังเขากิสาน เพื่อล่อให้สุมาอี้ออกจากค่าย สุมาอี้เห็นขงเบ้งถอยทัพ
ก็เข้าใจว่าขงเบ้งถอยหนีเพราะขาดเสบียงจึงเร่งทหารให้ไล่ตาม ครั้นพอจะใกล้ถึงเขากิสาน
ก็ตกเข้าไปในวงล้อมที่ขงเบ้งวางดักไว้ ทหารวุยถูกทหารจ๊กฆ่าฟันล้มตาย เสียไพร่พลไป ๓ พันกว่าคน
ทิ้งเสื้อเกราะและเกาทัณฑ์ไว้เป็นหมื่นชิ้น สุมาอี้จึงรีบถอยทัพกลับมายังเสเกี๋ยงตามเดิม
ขงเบ้งล้อมตีสุมาอี้สำเร็จแล้ว แต่ด้วยเสบียงอาหารขาดแคลน จึงให้ทหารฝึกปรืออยู่แต่ในค่าย
รอเสบียงที่กำลังนำมาจากรัฐจ๊ก ผู้คุมเสบียงของทัพจ๊กในคราวนี้เป็นลิเงียม อันลิเงียมคนนี้
เป็นคนเกียจคร้าน แต่อยากได้ความดีความชอบ มิสู้จะสนใจในเรื่องของบ้านเมือง ในระหว่างนั้น
ก็พอดีเป็นปลายฤดูร้อนต้นฤดูใบไม้ร่วง ย่างเข้าหน้าฝนฝนก็ตกชุก ถนนหนทางกลายเป็นเลนตม
การลำเลียงเสบียงเต็มไปด้วยความยากลำบาก และมักจะไปไม่ทันเวลาที่กำหนด เสบียงของกองทัพ
จึงมักจะขาดแคลน ลิเงียมเกรงว่าตนจะมีความผิด จึงปลอมพระราชโองการของพระเจ้าแผ่นดินขึ้นมา
ฉบับหนึ่งให้ขงเบ้งรีบกลับมายังเมืองหลวงเซงโต๋

ขงเบ้งได้รับพระราชโองการดังนั้น ก็มิรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในเมืองหลวงจึงได้แต่สั่งทหารเตรียมถอยทัพกลับไป
แต่ขงเบ้งก็รู้ดีว่า การถอยทัพของตนครั้งนี้ สุมาอี้จักฉวยโอกาสนำทัพไล่กระหน่ำตามหลังอย่างแน่นอน
จึงครุ่นคิดวิธีที่จะพ่ายทัพสุมาอี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อมิให้การถอยทัพต้องได้รับความเสียหาย ขงเบ้งก็รู้ดีเช่นกันว่า
สุมาอี้เป็นคนฉลาดเฉลียว สุขุมรอบคอบ ไม่ผลีผลามย่ามใจโดยใช่เหตุ มาตรแม้นจะทำให้พ่ายก็พึงล่อ
ด้วยผลประโยชน์ให้ติดเบ็ดครั้นแล้วจึงใช้กำลังที่เหนือกว่าซุ่มตีทำลายเสีย เมื่อคิดได้อุบายหนึ่งแล้ว
ขงเบ้งก็เรียกแม่ทัพนายกองของตนมาสั่งความ ให้ทุกคนปฏิบัติตามอุบายมิให้ผิดพลาด

ฝ่ายสุมาอี้เมื่อถูกขงเบ้งหลอกตีเมื่อครั้งที่แล้ว ก็ยังเข็ดเขี้ยวอยู่ เกรงว่าขงเบ้งจะตามตีประชิดมา
ครั้นรอง ๆ ไปก็ไม่เห็นทัพขงเบ้งปรากฏตัว ซ้ำกองสอดแนมยังเข้ามารายงานอีกว่า ขงเบ้งแยกทหาร
ที่เขากิสานออกเป็นหลายทาง ไปชุมนุมกันที่โลเสีย แล้วก็บ่ายหน้าไปทางบอกบุ๋น สุมาอี้ให้รู้สึกประหลาดใจ
ด้วยบอกบุ๋นนี้เป็นเส้นทางที่จะต้องผ่านเมื่อจะกลับเจ้ารัฐจ๊ก หรือขงเบ้งจะถอยทัพหนีแล้ว สุมาอี้ให้รุ่มร้อยอยู่ในใจ
แต่สุมาอี้ก็มาคิดอีกทีว่า ขงเบ้งเริ่มรบชนะไป ๒ ครั้งติด ๆ กันอยู่หยก ๆ ขวัญทหารกำลังฮึกเหิม
ไฉนขงเบ้งจะมาถอยทัพเสียง่าย ๆ ช่างผิดวิสัยนัก

ในขณะที่สุมาอี้คิดไม่ตกลังเลอยู่นั้น ขุนพลทั้งหลายจึงว่า “ ขงเบ้งชุมนุมพลที่บอกบุ๋น หากมิรุกก็ถอย
เราพึงฉวยโอกาสที่ขงเบ้งรวมพล ส่งกำลังใหญ่เข้าล้อมทำลายเสียโดยพลัน” สุมาอี้ส่ายศีรษะพลางว่า
“ขงเบ้งเป็นคนถนัดในกลอุบายยิ่งนัก จักวู่วามเกินไปมิได้ ควรสังเกตดูให้ถี่ถ้วนเสียก่อนจึงควร” ว่าแล้ว
ก็นำเตียวคับพร้อมด้วยขุนพลทั้งหลาย ไปตรวจดูความเป็นไปของกองทัพขงเบ้งบนภูเขาที่อยู่ใกล้กับบอกบุ๋น
ก็เห็นค่ายของขงเบ้งมีธงทิวปลิวไสว ฟืนไฟก็ลุกโพลง แต่ก็ไม่เห็นตัวทหารขงเบ้งเลยแม้สักคนเดียว
สุมาอี้สังเกตอยู่เป็นนาน จึงกล่าวแก่เตียวคับว่า “ ขงเบ้งถอยทัพไปแน่แล้ว” แต่ใจยังกริ่งเกรงว่า
จะเป็นอุบายของขงเบ้งอีก มิกล้าไล่ตามไป ขุนพลทั้งหลายเห็นสุมาอี้ลังเลอยู่ดังนั้น จึงพูดขึ้นว่า
“ทหารจ๊กถอยทัพในวันนี้จักต้องเป็นเพราะเกิดเรื่องหนึ่งใดในรัฐจ๊ก อาจจะเป็นรัฐหวูบุกเข้ามา
หรือพวกฮวนทางใต้ก่อความไม่สงบ หรือเล่าเสี้ยนเจ็บป่วย หรือเสบียงอาหารขาดแคลน
ขงเบ้งปล่อยค่ายให้ว่างเปล่าหลอกลวงเรา ก็เพราะเกรงเราจักตามตีหากเราไล่กระหนาบเสียแต่บัดนี้
ก็จะได้ชัยเป็นแน่แท้ ขอให้ท่านแม่ทัพจงออกคำสั่งโดยเร็ว อย่างได้ลังเลไปอีกเลย”

สุมาอี้เห็นขุนพลทั้งหลายอยากสร้างความดีความชอบเป็นกำลัง อีกทั้งตนก็เห็นเป็นโอกาสอันควร
ที่จะไล่กระหน่ำตามตี ก็คิดจะสั่งการ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นเตียวคับนิ่งเฉยอยู่ ก็ชะงัก ถามว่า
“ท่านมิเอ่ยวาจาหรือท่านเห็นมิเป็นการสมควรที่จะไล่ตามขงเบ้งไป” เตียวคับจึงตอบว่า
“ ตำราพิชัยสงครามมีกล่าวไว้ว่า ทัพถอยมิควรไล่” ขุนพลอื่นได้ฟังดังนั้นก็หัวร่อเยาะว่า
“ หรือท่านหวาดหวั่นด้วยข้าศึก” ถ้อยคำอันเหยียดหยามเช่นนี้ เตียวคับทนฟังต่อไปไม่ได้
จึงโพล่งตอบไปด้วยความโทสะว่า “ เตียวคับหาได้เกรงกลัวแก่ข้าศึกไม่”

สุมาอี้จึงมีคำสั่งให้เตียวคับนำทหารม้า ๑ หมื่น ยกไปเป็นกองหน้าก่อนและกำชับเป็นหลายครั้งว่า
“ทัพจ๊กแม้จะถอย ก็คงจะซุ่มกำลังไว้คอบสกัดท่านอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด”
เตียวคับเป็นขุนพลเอกของรัฐวุยคนหนึ่ง เคยติดตามโจโฉรบเหนือพุ่งใต้สร้างความดีความชอบไว้มากมาย
เมื่อครั้งที่ขงเบ้งนำทัพตีเขากิสานครั้งแรกเว่ยหมิงตี้ประทับอยู่ที่เมืองเตียงฮัน ได้สั่งให้เตียวคับออกรับศึก
ขงเบ้งยังเมืองกงเต๋ง ( ในมณฑลกานสูปัจจุบัน) และรบจนม้าเจ๊กของฝ่ายจ๊กก๊กต้องพาายไปทำให้ขงเบ้ง
ไม่อาจคบหน้าต่อไปได้ ่จำต้องถอยทัพกลับรัฐจ๊กโดยอ้อมไปทางเมืองเสเสีย ( ในมณฑลกานสูปัจจุบัน)
ขุนพลหลายคนของรัฐจ๊กล้วนแต่เคยประมือกับเตียวคับมาแล้วเกือบทุกคน ต่างก็รู้ว่า เตียวคับมีทั้งฝีมือ่ความกล้า
และความฉลาด ขงเบ้งเองก็ถือเตียวคับเป็นศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่ง

คราวนี้ เมื่อได้รับคำสั่งให้ไล่ตามทัพขงเบ้ง เตียวคับนำทัพออกจากบอกบุ๋นไม่นาน ก็มีเสียงตะโกนเรียก
พร้อมด้วยมีทหารจ๊กปรากฎตัวออกมาจากป่า เตียวคับหันไปมอง ก็เห็นเป็นอุยเอี๋ยนกำลังย่างม้าเข้ามา
พร้อมทั้งง้าวใหญ่อยู่ในมือ ตวาดว่า “ เจ้าโจรเตียวคับ ท่านขงเบ้งให้ข้ามารอเจ้าอยู่ที่นี่ช้านานแล้ว
เจ้าจะหนีไปไหน” เตียวคับบันดาลโทสะ กระทืบโกลนม้าทะยานเข้าหาอุยเอี๋ยน ทั้งสองคนสู้รบกัน
พัลวันอยู่หลายเพลง อุยเอี๋ยนก็แสร้งทำเป็นสู้ไม่ได้ ชักม้าหนีหันกลับไปทางเดิม เตียวคับไม่ยอมปล่อย
กระตุ้นบังเหียนม้าให้ตามหลังไปติด ๆ พออ้อมพ้นเนินเขาไปลูกหนึ่ง อุยเอี๋ยนก็หายไป
เตียวคับหยุดม้ามองหาไปรอบ ๆ ก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลย จึงกระตุ้นม้าให้ไล่ตามต่อไป
ทันใดนั้นก็มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นมาอีกจากป่าข้างทาง พร้อมทั้งทหารจ๊กก็ปรากฏตัวออกจากที่ซ่อน
ส่วนขุนพลนั้นเป็นอองเป๋ง ตวาดเตียวคับว่า “ เตียวคับ เจ้าไม่ต้องตามหา ข้าอยู่ที่นี่แล้ว” เตียวคับไม่โต้ตอบ
โผนม้าพุ่งทวนเข้าแทงอองเป๋ง อองเป๋งไม่รบด้วย กลับชักม้ากลับรีบหนีไป เตียวคับไล่ติดตามไปพักหนึ่ง
ทั้งอองเป๋งและไพร่พลก็หายไปอีก

เตียวคับชักสงสัยเกรงว่าจะมีทหารจ๊กคอยซุ่มตี จึงส่งคนออกไปสอดแนมก็ได้รับแจ้งว่า
ในบริเวณนั้นไม่มีกองทหารดักซุ่มอยู่เลย เตียวคับก็นำทหารติดตามเข้าไปในป่าลึกเข้าไปอีก
ก็พบอุยเอี๋ยนควบม้าเข้ามาปะทะด้วย พออุยเอี๋ยนหนีไป อองเป๋งก็ปรากฏตัวออกมารบแทน
อุยเอี๋ยนกับอองเป๋งผลัดกันออกมารบกับเตียวคับ รบพางหนีพลาง พร้อมทั้งทิ้งเสื้อเกราะ อาวุธม้าศึก
แสดงให้เห็นว่ารบแพ้เกลื่อนอยู่ตลอดทาง

ส่วนเตียวคับยิ่งรบก็ยิ่งอาจหาญ มิได้แสดงให้เห็นถึงความหวาดหวั่นต่อข้าศึกเลย อุยเอี๋ยนกับอองเป๋ง
รบพลางถอยพลาง ล่อเตียวคับให้ไล่ติดตามด้วยความบันดาลโทสะเข้าไปในหุบเขา ฟ้ามืดแล้ว
แต่เตียวคับลืมคำกำชับของสุมาอี้ไปเสียสิ้น ประกอบกับเชื่อว่า สุมาอี้ยกทัพติดตามตนมาอยู่
ณ เบื้องหลัง จึงขับม้าไล่ตามขุนพลจ๊กทั้งสองไปอย่างกระชั้นชิด ปากก็ตวาดว่า “เจ้าหน้าขี้แพ้
จะหนีไปไหนพ้น” อุยเอี๋ยนก็ยิ่งเร่งม้าหนีลึกเข้าไปในเส้นทางแคบ ๆ แล้วแสร้งทำเป็นเกิดอลหม่าน
เพราะไพร่พลชิงกันหลบหนี ทิ้งอาวุธและเสื้อเกราะไว้เกลื่อนกลาด เตียวคับเห็นดังนั้นก็ยิ่งได้ใจ
รุกไล่ถลำเข้าไปจนถึงทางแคบที่แทบจะขยับตัวไม่ได้ ทันใดนั้น ก็มีเสียงระเบิดเป็นสัญญาณ
ดังขึ้นกึกก้อง หุบผาทั้งสองข้างก็มีแสงไฟลุกพรึบขึ้น พร้อมกับเสียงระเบิดติดต่อกันหลายครั้ง
กัมปนาทดุจดังภูเขาจะถล่ม

เตียวคับก็ตกใจรู้ว่าหลงกลเสียแล้ว รีบสั่งไพร่พลถอยหลังกลับ แต่ก็ช้าเกินการ พร้อม ๆ กับ
เสียงระเบิด ทั้ง ๒ ฟากของหุบเขาก็มีหินก้อนใหญ่และท่อนซุงกลิ้งลงมาสุมเข้าหุบเขา
เตียวคับถอยไม่ได้จึงแข็งใจไล่ตามอุยเอี๋ยนเข้าไปอีก ขณะนี้เอง สองฟากหุบเขาก็มีลูกเกาทัณฑ์
ยิงลงมาดังห่าฝน เตียวคับไม่ทันรู้ตัว จึงถูกยิงเข้าในที่สำคัญตกม้าตาย ทหารของเตียวคับ
ที่ติดตามเข้าไปในหุบเขาถูกเกาทัณฑ์ตายหมด เหลืออยู่ก็แต่กองหลังที่ถอยทัพ
แต่ก็ถูกทหารจ๊กซึ่งดักไว้ฆ่าตายไม่มีเหลือ

วันรุ่งขึ้น สุมาอี้นำไพร่พลติดตามมาถึงหุบเขาบอกบุ๋น ก็เห็นซากศพทหารวุยเกลื่อนกลาดไปหมด
เตียวคับก็ตาย แต่ไม่เห็นทหารของขงเบ้งอยู่เลยสักคน สุมาอี้จึงไม่กล้าตามทัพขงเบ้งไปอีก
จัดการศพไพร่พลของตนแล้วนำศพเตียวคับกลับไป

ส่วนขงเบ้งเมื่อกลับไปถึงรัฐจ๊ก พบลิเงียมก็ไต่ถามถึงต้นสายปลายเหตุของพระราชโองการ
ลิเงียมตอบไม่ออก ได้แต่กระอักกระอ่วนอยู่ เมื่อขงเบ้งกลับถึงเมืองหลวงเซงโต่ ทูลถามพระเจ้าเล่าเสี้ยน
ก็ได้รู้ความจริง ขงเบ้งให้เสียดายโอกาสยิ่งนัก แต่ก็สุดปัญญาที่จะแก้ไขอะไรได้ โทษแต่ตัวเอง
ที่ใช้คนบ้องตื้นอย่างลิเงียม จึงถอดลิเงียมลงเป็นไพร่เสีย

หลังจากนั้น ขงเบ้งก็ฝึกปรือทหาร เร่งการเพาะปลูก จัดทำตำราพิชัยสงคราม คิดค่ายกลประดิษฐ์วัวและม้ากล
อย่างขะมักเขม้น ๓ ปีให้หลัง ขงเบ้งก็ออกศึกตีรัฐวุยอีก แต่สุมาอี้ก็ใช้ความสุขุมรอบคอบและความเยือกเย็น
ผ่อนหนักเป็นเบา เห็นว่าขงเบ้งเดินทัพมาจากทางไกล จักต้องรบแตกหักอย่างรวดเร็ว ไม่สะดวกที่จะทำศึกยาวนาน
เพราะจักเกิดการขาดแคลนเสบียงอาหารและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ จึงใช้กลวิธีมิออกรบด้วย เอาแต่รักษาเมืองเฉยอยู่
แม้ขงเบ้งจะเพียรใช้กลอุบายร้อยแปด เพื่อล่อหลอกให้สุมาอี้ออกรบด้วย สุมาอี้ก็ไม่นำพา เฉยเสีย
ขงเบ้งจึงไม่มีโอกาสได้สู้รบกับสุมาอี้ จนในภายหลังขงเบ้งก็ป่วยสิ้นลมในกองทัพ
ทัพจ๊กจึงจำต้องถอยกลับบ้านเมืองของตน สงครามระหว่างจ๊กกับวุยก็ยุติลงนับแต่นั้นมา

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ ขึ้นบ้านชักบันได” มีความหมายค่อนข้างกว้าง หนึ่งในนั้นคือใช้ผลประโยชน์เล็กน้อย
ล่อให้ข้าศึกเข้าปิ้ง แล้วทำลายเสียสิ้น ซึ่งก็หมายความว่าเมื่อข้าศึกบุกเข้าในอาณาเขตของเรา
เราจงใจจะเปิดทางตันให้กับเขา เมื่อข้าศึกหลงกลตกอยู่ในวงล้อม ก็จะตื่นตระหนกเดินไป
ตามหนทางที่เราเปิดไว้ให้ เมื่อเราตัดทางรุกและทางถอย ข้าศึกก็จนด้วยเกล้า ถ้าไม่ยอมจำนน
ก็เหลืออยู่แต่ทางตายถ่ายเดียว ในกลยุทธ์นี้ ที่สำคัญคือ “ บันได” จงใจให้ข้าศึกเห็นจุดอ่อนและมุ่งมั่น
จะใช้จุดอ่อนให้เป็นประโยชน์แก่ตน นี้ก็คือ “บันได” ถ้าหากไม่มี “บันได” ดังกล่าว
กลยุทธ์นี้ก็ยากที่จะได้รับผล
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:27 am

กลยุทธ์ที่ ๒๙ ต้นไม้ผลิดอก
ยืมสถานการณ์สร้างกระบวนท่า เล็กแต่ทำใหญ่นกใหญ่โผบิน ปีกขนช่วยพาสง่างาม

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ใช้แนวรบของมิตรมาสร้างแนวรบที่เป็นประโยชน์แก่เราขึ้น
แม้กำลังจะน้อยแต่ก็สามารถทำให้ดูเหมือนใหญ่โต ดุจเดียวกับนกอินทรีที่ผกผินอยู่ในอากาศ
ปีกขนกางเหยียดมีท่วงท่าน่าเกรงขาม คำว่า “ นกใหญ่โผบิน ปีกขนช่วยพาสง่างาม” มาจาก
“คัมภีร์อี้จิง รุก” หมายความว่า นกใหญ่เหินฟ้า อาศัยสองปีกอันแข็งแรง บินร่อนซอกซอนไปตามปุยเมฆ
มิมีสิ่งกีดขวาง อันคล้ายกับสำนวนไทยที่ว่า “ปีกหนักกวักละโยชน์” กลยุทธ์นี้มองอีกแง่หนึ่ง
ก็จะเหมือนกับคำว่า “สร้างสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์” หรือ “ยืมมือที่สาม” เมื่อใช้ในการทหาร
ก็เป็นกลยุทธ์ในการยืมกำลังของผู้อื่น มาเสริมกำลังตนให้ดูแข็งแกร่งขึ้น เพื่อสยบข้าศึกอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ........บทบาทของ NGOsในการปฏิรูปการเมืองไทย
- ดังมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรกล่าวไว้ในหนังสือ NGOs ๒๐๐๐ เศรษฐศาสตร์การเมือง
คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า “ ……ในท่ามกลางโลกมืดที่เต็มไปด้วยโลภจริต
ความคับแคบทางจิตใจและการปองร้ายซึ่งกันและกัน ก็ยังมีด้านตรงข้ามคือ ด้านของความสว่าง
ความรักเพื่อนมนุษย์ ความเสียสละให้แก่ผู้อื่น ด้านนี้แหละที่ทำให้ชาวคริสเตียนกลุ่มหนึ่ง
กำเนิดองค์กรช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ยามทุกข์ยาก เป็นองค์กรที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความเชื่อ
ในอุดมการณ์ และผลประโยชน์ทางวัตถุ แต่ยึดมั่นในความเป็นมนุษย์ที่พึงมีสิทธิได้รับการดูแล
ให้ชีวิอยู่รอดปลอดภัย องค์กรนี้ชื่อว่า แคทอลิคบริการบรรเทาทุกข์ หรือแคทอลิค รีลีฟ เชอร์วิส
( Catholic Relief Services = CRS ) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ( ค.ศ. ๑๙๔๓ )
เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยจากสงครามตามด้วย เชิช เวิร์ลด์ เซอร์วิส ( Church World Service )
กำเนิดขึ้นในช่วงไล่เลี่ยกัน ( ค.ศ.๑๙๔๖ ) …..องค์กรเหล่านี้คือกำเนิดขององค์กรพัฒนาเอกชน
หรือรู้จักกันในนาม NGOs ( Non – Governmental Organization )

- ….NGOs จำแนกออกเป็น ๓ ประเภทตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินงานกล่าวคือ

๑. เป็นกลุ่มทำงานทางด้านบรรเทาทุกข์ ซึ่งจัดว่าเป็น NGOs กลุ่มแรกและมีขนาดใหญ่
กำเนิดขึ้นในทศวรรษที่ ๑๙๔๐ และกลุ่มต่อมาได้พัฒนาบทบาทของตนมาสู่บทบาท
การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
๒. เป็น NGOs ที่ทำงานด้านเทคนิคและวิชาการเป็น NGOsที่ทำงานเฉพาะด้าน
จึงมีขนาดเล็กและไม่มีความเกี่ยวข้องกับองค์กรศาสนาใด ๆ มีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยเหลือ
ยกระดับความรู้ทางเทคนิคและฝึมือ ( เช่น Techno Serve , Dental Health International )
๓. เป็นกลุ่มที่เล็กที่สุด เป็นกลุ่มที่ทำงานสร้างเครือข่ายเพื่อการพัฒนากลุ่มนี้มีทัศนะว่า
การพัฒนาเป็นเรื่องที่เลียนแบบกันไม่ได้ จะต้องเกิดขึ้นจากความเป็นจริงของท้องถิ่นและชุมชน…..
( NGOs ๒๐๐๐ )

- การดำเนินงานของ NGOs จากประเทศอุตสาหกรรมและขยายตัวสู่บทบาทของการพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมประเทศด้อยพัฒนา ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบทบาทของ NGOs เพราะในประเทศด้อยพัฒนา
ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม มักจะผูกพันเกี่ยวเนื่องกันในแทบทุกกรณี ยิ่งกว่านั้นแนวทางการพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคมของประเทศด้อยพัฒนายังถูกชี้นำและกำหนดโดยองค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งโดยแท้จริงนโยบายและการตัดสินใจของสององค์กรนี้
อยู่ภายใต้วิเทศนโยบายของกลุ่ม G- ๗ ( สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี และญี่ปุ่น )
นโยบายต่าง ๆ ที่กำหนดออกมาจึงต้องสอดคล้องหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศทั้งเจ็ด….( NGOs ๒๐๐๐)

- NGOs ใหญ่ ๆ ที่งบประมาณส่วนใหญ่ได้จากรัฐบาลสหรัฐฯ ได้แก่ Oxfam America World Vision และ CARE
อย่างไรก็ตาม งบประมาณส่วนหนึ่งได้จากการบริจาคของบุคคลและภาคธุรกิจ เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ
ไม่ว่าจะผ่านรัฐบาลหรือผ่าน NGOs ย่อมมีวัตถุประสงค์ของมัน หากมองตามทฤษฎีอรรถประโยชน์นิยมซึ่งกล่าวว่า
การที่มนุษย์ตัดสินใจทำอะไรลงไปอย่างหนึ่งย่อมคาดหวังประโยชน์ที่จะได้ตอบแทนไว้แล้วเสมอ
ก็ย่อมหมายความว่า การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งให้เงินช่วยเหลือแก่ประเทศหนึ่งก็ย่อมคาดหวังจะได้ประโยชน์
บางสิ่งบางอย่างตอบคืน……( NGOs ๒๐๐๐)

- … จากการทดสอบและใช้แนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มองค์กรมวลชนในการต่อต้านอำนาจรัฐ
ภายในประเทศไทย ในปี ๒๕๑๖ และ ๒๕๑๙ ประสานงานโดยพรรคคอมมิวนิสต์สากล
และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของ CIA ได้ถูกนำมาพิจารณา
วิเคราะห์แนวทางที่เป็นไปได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจากสภาพการเคลื่อนไหวในประเทศไทยนั้น
แตกต่างกับประเทศอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง นอกจากมวลชนจะไม่ใช้อาวุธประกอบในการเรียกร้อง
และสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ตามความต้องการแล้ว ยังสามารถทำลายภาพพจน์ขององค์กรทหาร
ซึ่งมีบทบาทที่เป็นอุปสรรคสำคัญชองการเปลี่ยนแปลงระบอบและการยึดครอง ตามแผนที่วางไว้
“ รัฐบาลอเมริกา แต่เดิมมานั้นไม่ค่อยให้ความสนใจต่อกลุ่ม NGOs ต่าง ๆ ที่ทำงานอยู่ในประเทศด้อยพัฒนานัก
เพราะถือว่ารัฐบาลของประเทศด้อยพัฒนาต่าง ๆ มักรับฟังคำแนะนำของสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างดี
สหรัฐอเมริกาไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่การเคลื่อนไหวของ NGOs ในอเมริกาใต้ที่ร่วมมือกับ “ วาติกัน “
และบางครั้งร่วมมือกับขบวนการต่อต้านรัฐบาลที่สหรัฐอเมริกาสนับสนุนอยู่ ไม่อาจทำให้รัฐบาลอเมริกานิ่งเฉยอยู่ได้
จำเป็นต้องมีการกำหนดนโยบาย NGOs โดยเฉพาะนับตั้งแต่ปี ๑๙๙๐ ( ๒๕๓๓ ) หลังกำแพงเบอร์ลินพังทลาย
สหรัฐอเมริกาและธนาคารโลก ได้เปลี่ยนนโยบายต่อ NGOs …. ( ชำระประวัติศาสตร์ กรณีตุลา พฤษภาทมิฬ
โดยศูนย์นิสิตและนักศึกษาแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์สยาม )

- มิติใหม่ของการยึดครอง และการต่อสู้จะกลายเป็นเรื่องของเศรษฐกิจการครอบครองตลาดการค้า
เป็นสิ่งที่ทุกประเทศปรารถนา ทัศนคติ พฤติกรรมของประชาชนในประเทศต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ประเทศมหาอำนาจ
หรือประเทศผู้ควบคุมการผลิตต้องการรู้ เพื่อเข้าถึงตลาด ความสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกากับ NGOs
จึงมีอย่างแนบแน่นและสอดคล้องต่อ “ มติของวอชิงตัน “ ว่าด้วย “ การใช้กลไกตลาด และการเปิดตลาดเสรี “
ซึ่งมีเนื้อหาสาระโดยสรุปคือ

๑. การยกเลิกระเบียบที่ขัดขวางการค้าเสรี
๒. การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปเป็นของเอกชน
๓. การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจโดยองค์กรเอกชน
๔.ตัดภาครัฐทุกส่วนที่เกี่ยวกับธุรกิจ – บริการ – สาธารณูปโภคทั้งหมด….( ชำระประวัติศาสตร์ฯ อ้างแล้ว)

- NGOs ทั่วโลกมีประมาณ ๕ หมื่นองค์กร ในประเทศไทยมีประมาณ ๑๗,๐๐๐ องค์กร
ทุกองค์กรล้วนแต่เป็นเครือข่ายกันทั้งสิ้น เป็นที่น่าสังเกตุสำหรับการทำงานของ NGOs
๑. ทำงานเป็นเครือข่ายกันทั่วโลก
๒. มีทุนสนับสนุนชนิดไม่จำกัด
๓. อ้างแนวทางการทำงานตามคำประกาศการจัดระเบียบโลกใหม่ของสหรัฐฯ ทั้งสิ้น
๔.สำหรับในประเทศไทย NGOs ไม่ปรากฏเลยว่ามีการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศได้ผล
เช่น กรณีประเทศไทยขายสินทรัพย์โดย ปสร.ขาดทุนถึงเกือบ ๗๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ซึ่งคนไทยทั้งประเทศต้องแบกรับภาระ ไม่มีการต่อต้านการออกพระราชบัญญัติขายชาติ ๑๑ ฉบับ
ที่ทำให้ประเทศชาติต้องถูกครอบครองทางเศรษฐกิจโดยต่างชาติโดยสิ้นเชิงจนกระทั่งปัจจุบัน
๕. ไม่มี NGOs ใด ๆ คัดค้านต่อต้านรัฐบาลใด ๆ ที่ทำธุรกรรมโดยอ้างว่าประเทศไทยเป็นหนี้ IMF
ซึ่งทำให้ประเทศชาติและประชาชนต้องสูญเสียประโยชน์ให้ประเทศอย่างมหาศาล
เพราะประเทศไทยไม่ได้เป็นหนี้ IMF เนื่องจาก

๕.๑ ไม่มีสัญญาใด ๆ ที่เป็นลายลักษณ์อักษรว่ามีการเซ็นต์สัญญากู้เงิน ถ้ามีเอามาแสดง
ให้ประชาประชาชนทั้งประเทศทราบด้วยว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร เพราะประชาชนทั้งประเทศ
ต้องร่วมกันแบกรับภาระหนี้สินอันนี้ ลูกหนี้ย่อมต้องสามารถที่จะขอดูมูลหนี้ได้ …ตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์
แต่นี่ไม่เคยมีเลยแต่ทุกคนในประเทศนี้ต่างยอมรับกันโดยดุษฎีว่าเป็นหนี้กัน NGOs ที่ว่าจะรักษาผลประโยชน์ของ
ประเทศชาติและประชาชนนั้นทำไมไม่ออกมาเคลื่อนไหว ทั้ง ๆ ที่นักกฏหมายก็มี นักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถ
เท่าทันต่างชาติก็มี หรือรู้เท่าทันนักการเมืองที่โกงชาติกินเมืองได้ก็มี
๕.๒ ไม่ปรากฏว่ามีตัวเงินใด ๆ เข้ามาในประเทศแม้แต่บาทเดียวจาก IMF
๕.๓ ถ้าบอกว่ามีเอาเงินนั้นไปไว้ที่ไหน หรือเอาเงินนั้นไปใช้ในกิจการอะไรแล้วประเทศชาติและประชาชน
ได้ประโยชน์อะไร บุคคลหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในธุรกรรมอันนี้ช่วยออกมาอธิบายความเป็นมาเป็นไปของ
เงินดังกล่าวให้ประชาชนทั้งประเทศทราบด้วย NGOs ก็สามารถเป็นแกนหลักในการเคลื่อนไหวแต่ไม่มีเช่นเดิม
๕.๔ การขายธนาคารของประเทศให้ต่างชาติ ซึ่งถือว่าเป็นการยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จโดยต่างชาติ
โดยเริ่มจากการยึดเศรษฐกิจของชาติ ก็ไม่มีองค์ NGOs ใด ๆ ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน

ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการเมืองนั้นมีข้อมูลที่ เกี่ยวข้องกับ NGOs ดังนี้
- นายอานันท์ ปันยารชุน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บุคคลผู้นี้เคยเป็นประธาน TDRI
มีหลักฐานอย่างแน่ชัดว่า เป็นกรรมการของบริษัท จีอี แคปปิตอล ( ของ จอร์จ โซรอส )
ได้รับการสนับสนุนจากองค์กร คาทอลิค และ CIA ให้นำ NGOs เข้าผลักดันการปฏิรูปการเมือง
เพื่อสนองผลประโยชน์ของทั้ง CIA และ คาทอลิค ( วาติกัน ) นายอานันท์ฯ ได้อนุมัติงบประมาณสนับสนุน NGOs
ได้มีการประชุม NGOs ทั่วประเทศถึง ๒ ครั้ง ซึ่ง NGOs เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนคำว่า “ โปร่งใส “ ของ
นายอานันท์ฯ มาจนเท่าทุกวันนี้ ( ชำระประวัติศาสตร์ฯ อ้างแล้ว)

- ๑ มีนาคม ๒๕๓๔ รสช.ประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้รับการต่อต้านจาก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
(ร่วมกับ NGOs) ซึ่งได้มีมติในเวลาต่อมาว่าให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราตามที่เรียกร้อง
- นายประเวศ วะสี , นายพิภพ ธงไชย ซึ่งเป็นกรรมการของมูลนิธิ โกมล คีมทอง (NGOs) เป็นแกนนำเคลื่อนไหว
เปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยตั้งกลุ่มขึ้นมา ๒ กลุ่มเพื่อผลักดันการปฏิรูปการเมืองคือ
๑. คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)
๒. ศูนย์ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ซึ่งทั้ง ๒ องค์กรดังกล่าวเป็นเครือข่าย NGOs เพื่อปฏิบัติให้สอดคล้องกับ New World Order ของสหรัฐฯ
ผู้เป็นหลักในการประสานงานในประเทศไทย คือ นายอานันท์ ปันยารชุน นอกจากนั้นยังมีกลุ่มองค์กรเอกชน (NGOs)
อีกเป็นอันมากที่ร่วมกันรณรงค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
- เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ โดยสรุป ผู้ที่อยู่เบื้องหลังให้มีการนองเลือดจากการปะทะกันระหว่างคนไทยด้วยกันเอง
คือ CIA และคาทอลิก ผู้ดำเนินการหรือผู้ปฏิบัติคือ กลุ่ม NGOs ทั้งสิ้น อันประกอบด้วย สมาพันธ์ประชาธิปไตย,
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย จึงสามารถล้มรัฐบาล
พล.อ.สุจินดา คราประยูร ได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหมากเกมครั้งใหญ่ในการทำลายอำนาจของรัฐและการทำลายทหาร
ซึ่งไม่รู้เท่าทันสถานการณ์ และมีผลสืบเนื่องมาจนกระทั่งทุกวันนี้

- นายอานันท์ ปันยารชุน ผู้เป็นบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง NGOs ทั้งหมด ได้อนุมัติให้สถานีโทรทัศน์ CNN
ซึ่งเป็นสื่อมวลชนต่างประเทศ (เครื่องมือของสหรัฐฯ CIA) เข้ามาดำเนินการถ่ายทอดเหตุการณ์จลาจล
กรณีพฤษภาทมิฬ เพื่อให้เผยแพร่ออกไปทั่วโลกให้ได้ เพื่อที่จะให้ต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศมหาอำนาจ
จะได้มีความชอบธรรมในการแทรกแซงกิจการของประเทศได้และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลืองานของ
นายอานันท์ ฯ ด้วย
- นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามอนุมัติกฏหมายถึง ๘๐๐ ฉบับ ในระยะเวลาอันสั้น
ซึ่งไม่มีรัฐบาลชุดใดทำกันซึ่งล้วนแล้วแต่เกื้อกูลต่อต่างชาติที่จะเข้ามาแสวงประโยชน์ในประเทศไทย
ทั้งยังได้เดินทางไปลงนามทั้งประเทศผูกพันเป็นสมาชิก “องค์กรสิทธิมนุษยชนโลก” โดยมิได้รับการเห็นชอบ
จากคณะรัฐมนตรี ซึ่งทำให้เกิดการจัดตั้งองค์กรพัฒนาเอกชน หรือ NGOs ขึ้นในประเทศไทย
ทั้งยังเป็นการเปิดทางให้ต่างชาติสามารถเดินขบวนประท้วงประเทศไทย โดยอ้างว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
เพราะประเทศไทยได้กลายเป็นสมาชิกเสียแล้ว กรณีนี้นับว่าเป็นความผิดทางอาญา มีผลทำให้
องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ทั้งหมดในประเทศไทย “เป็นองค์กรนอกกฏหมาย” เพราะผู้ลงนามในสัญญาผูกพันนั้น
ไม่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น การจัดตั้งองค์กร NGOs ทั้งหมดสืบมาจึงเป็นการเคลื่อนไหวอันมิชอบด้วยกฏหมาย
- ในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ - ๒๕๓๗ รัฐบาลนาย ชวน หลีกภัย พุทธศาสนิกชนชาวไทย ซึ่งมีอยู่ราว ร้อยละ ๙๕ ของ
พลเมืองในประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งได้ร่วมลงชื่อกันมากมายถึง ๖๔๐,๐๐๐ รายชื่อ เพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ให้มีการบัญญัติว่า “พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ” ซึ่งมีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นผู้คัดค้านสุดตัว
(โดยกล่าวว่าตายเป็นตายจะไม่ยอมให้มีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติเป็นอันขาด ) ส.ส. ได้นำเข้าเป็น
ญัตติอภิปรายในสภากรณีดังกล่าว ทำให้ “วาติกัน” จัดบุคลากรเข้าปฏิบัติการในกลุ่มพุทธศาสนิกชนไทยในทันที
โดยแอบอ้างว่าเข้าไปช่วยเหลือด้านกฎหมาย และเอกสารเพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการดำเนินการแต่โดยเนื้อแท้
เพื่อตรวจสอบ และหาข่าวภายในองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย ในขณะเดียวกันได้มีการแปรเปลี่ยนทิศทางของ
พุทธศาสนิกชน โดยยื่นญัตติให้ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ **
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:28 am

- ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ นายประเวศ วะสี ,นายพิภพ ธงชัย , นายโคทม อารียา และคณะกรรมการรณรงค์
เคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย (ครป.) องค์กร NGOs แนวร่วมทั้งหลายได้ร่วมกันรณรงค์ให้
- มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยการอ้างว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๓๕ เป็นเผด็จการ
รัฐบาลบรรหารจะต้องจัดให้มีการยกร่างใหม่ขึ้น
- การเคลื่อนไหวผลักดันให้ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทั้งฉบับ โดยแอบอ้างว่ากระทำตามมาตรา ๒๑๑
ซึ่งความจริงเป็นโมฆะตั้งแต่ต้นแล้วนั้น การรณรงค์เคลื่อนไหวใช้คำว่า “เสรีภาพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
ซึ่งเป็นคำขวัญของ “วาติกัน” ตามการประชุมที่บาเกียว ประเทศฟิลิปปินส์ แสดงให้เห็นว่า
การเคลื่อนไหวดังกล่าวข้างต้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับวาติกันอย่างเห็นได้ชัด
- ผู้ที่เป็นประธานยกร่างรัฐธรรมนูญคือ นายอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งเป็นผู้กำหนดกรอบการร่าง

โดยมีนายอุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธาน สสร. (สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ) การร่างรัฐธรรมนูญ
อยู่ในกรอบของคำประกาศการจัดระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ของสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น
เช่น มาตรา ๘๗ “รัฐต้องสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรี อาศัยกลไกตลาด.....”
หมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา ๒๖,๒๗,๒๘,๒๙,๓๐ และ ๓๑ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
มาตรา ๓๐ “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและ
ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน...” ซึ่งหมายรวมถึงบุคคลที่เป็นต่างชาติด้วย
ให้มามีสิทธิใด ๆ ตามกฎหมายเหมือนกับคนไทยทุกประการ อะไรจะเกิดขึ้น
เมื่อต่างชาติมีสิทธิคุ้มครองตามกฏหมายเท่ากับคนไทยในประเทศ ( โดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ )
ส่วนที่ ๘ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มาตรา ๑๙๙,๒๐๐ (NGOs)
รายละเอียดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๔๐

- จะเห็นได้ว่า
๑. ความเป็นมาของการปฏิรูปการเมือง ผู้สนับสนุนหลักคือ NGOs ซึ่งอยู่ภายใต้การบงการและสนับสนุน
โดยกลุ่มศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก และ CIA โดยสหรัฐฯ ซึ่งมีคนไทยในประเทศ
คอยรับคำสั่งปฏิบัติตามคำบงการนั้นอยู่ตลอดเวลา
๒. การรณรงค์ในการปฏิรูปการเมือง ก็กลุ่มเดียวกันคือ NGOs (ขบวนการธงเขียว ซึ่งคือสีของธงประจำสำนักวาติกัน
ซึ่งเป็นคำตอบได้ว่าทำไมจึงต้องใช้ธงเขียวในการรณรงค์ฯ ) ***หมายเหตุ ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองขาว
และมีรูปกุญแจสองดอกไขว้กันแทน***
๓. การร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ กลุ่มผู้ร่างก็ได้รับการบงการจาก กลุ่มเดียวกัน สมาชิก สสร. ไม่ได้มีความรู้
เรื่องรัฐธรรมนูญและเนื้อหาในตัวรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น ( จากพยานหลักฐานที่เป็นบุคคลที่ร่วมพิจารณา
ผ่านร่างรัฐธรรมนูญ คืออดีต ส.ว.) ได้ร่างเสร็จเรียบร้อยไว้แล้วเมื่อ ๑๐ ปี ที่แล้วโดยตัวร่างอยู่ที่กลุ่มผู้สนับสนุน
อยู่เบื้องหลังการพิจารณาจึงรวบรัดพอเป็นพิธี แล้วรีบสรุปจบด้วยเวลาอันสั้น หลักฐานคือตัวบุคคลที่ร่วมพิจารณา
ร่างรัฐธรรมนูญ ( วุฒิสภา ) ทุกคนย่อมรู้อยู่แก่ใจดีและสามารถที่จะให้ข้อมูลได้ว่ามีความไม่ชอบมาพากลอย่างไร
๔.การผ่านร่างรัฐธรรมนูญก็ผ่านชนิดไม่ปกติ มีการข่มขู่ถ้าไม่รับ หรือไม่ผ่านจะนองเลือด ประกาศข่มขู่คนทั้งประเทศ
โดย NGOs ที่รณรงค์ให้รับรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญคือได้ขัดต่อเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการเมืองตามรัฐธรรมนูญฉบับเดิม
ที่เพิ่มเติมให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 211 ให้มีการพิจารณารับร่างฯ อย่างสันติ ห้ามข่มขู่ ห้ามบีบบังคับใดๆ
ซึ่งถือว่าการกระทำของกลุ่ม NGOs ดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ ตามตัวบทกฎหมายถือว่าผิดกฎหมาย และเป็นโมฆะ
๕. ผลของรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ ซึ่งกระทบในการทำลายทุกระบบ ของประเทศไทย

๕.๑ ทำลายพระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ กล่าวคือ ลดพระราชอำนาจและฐานะขององค์พระมหากษัตริย์
และองค์พระประมุข ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ตั้งแต่ หมวด ๓ ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพ
ของประชาชนชาวไทย มาตรา ๒๖ เป็นต้นไป จนกระทั่งสิ้นสุดบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งมีมากถึง ๓๓๕ มาตรา
ไม่มีมาตราใดเลยที่ให้อำนาจพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตย ตามที่หลอกลวงไว้ในมาตรา ๓
ลดฐานะองค์พระมหากษัตริย์เป็นบุคคลธรรมดา ในมาตรา ๒๖ ,๒๗ และเป็นการเปิดโอกาสให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ตีความสถานองค์พระมหากษัตริย์ว่าเป็นบุคคลธรรมดาในเวลาต่อมา มีสิทธิและหน้าที่ในการเลือกตั้งเหมือนบุคคลธรรมดา
แต่จะไปเลือกตั้งหรือไม่ก็ได้
๕.๒ ให้ชาวต่างชาติมาแย่งอาชีพของคนไทยได้ทุกอาชีพ ซึ่งไม่มีมาตราใดในรัฐธรรมนูญปี ๔๐
ที่สงวนอาชีพไว้ให้คนไทย ซึ่งยังไม่สามารถที่แข่งขันอย่างเท่าเทียมกับต่างชาติ ซึ่งมีศักยภาพสูงกว่าได้
โดยตัดมาตรา ๗๕ ของรัฐธรรมนูญ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ปี ๒๕๓๘ ออก “รัฐจะต้องสงวนอาชีพบางประเภท
ที่สำคัญให้แก่คนไทย” พร้อมกับยกเลิก ปว.๒๘๑ ซึ่งป้องกันรักษาอาชีพของคนไทยทั้งชาติไว้
เป็นการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติ (บรรษัทข้ามชาติ) เข้ามายึดครองเศรษฐกิจของประเทศไทยได้โดยสิ้นเชิง
ซึ่งก็เป็นความต้องการของกองทุนต่างชาติที่เป็นมหาอำนาจคือ สหรัฐฯ และคาทอลิกรวมกันอยู่แล้ว
เป็นไปตามแผนผู้รับปฏิบัติตามแผนคือ NGOs
๕.๓ อนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าสู่การบริหารประเทศ และการบริหารส่วนท้องถิ่นตามมาตรา ๓๐,๒๐๑,๒๐๒
ซึ่งเท่ากับว่าให้คนต่างชาติสามารถจะครอบครองประเทศชาติได้นั่นเอง
๕.๔ การทำลายอำนาจทางกฎหมาย และหน่วยงานอันเป็นภูมิคุ้มกันประเทศ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปี ๔๐ นี้
นำมาซึ่งการยกเลิก พ.ร.บ.ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะทั้งผู้ที่รับคำสั่งจาก CIA และวาติกัน
เข้ามาบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ ผู้สมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติทำลายเศรษฐกิจของประเทศ
แล้วนำมาซึ่งการที่ให้ต่างชาติสามารถเข้ามาครอบครองและควบคุมด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร
ทำให้ประเทศชาติต้องตกไปอยู่ภายใต้การควบคุมของ IMF, ธนาคารในประเทศ ทั้งรัฐ/ เอกชน
ต้องถูกขายให้ต่างชาติ, ประเทศชาติเป็นหนี้สินมหาศาล พวกเหล่านี้ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย
ตาม พ.ร.บ. ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ปี ๒๔๙๕ กฎหมายนี้จึงต้องถูกยกเลิก
๕.๕ ขนบธรรมเนียมประเพณีของชนชาติไทยต้องถูกทำลาย พระราชพิธีและพิธีสงฆ์ของทางราชการ
ซึ่งรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ที่ร่างขึ้นมานั้น ล้วนขัดและทำลายขนบธรรมเนียมประเพณีของชนชาติไทยทั้งสิ้น
ขอให้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปฏิรูปการศึกษา , พ.ร.บ.คณะสงค์ ให้ดูทั้งความเป็นมาและรายละเอียดภายใน
ก็จะเห็นแง่มุมอันเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
๕.๖ เป็นผลทำให้เกิดปัญหามากมายในประเทศ ทั้งปัญหาทางการเมือง, เศรษฐกิจ, สังคมจิตวิทยา
รวมทั้งการทหาร ข้าราชการทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารต้องถูกระงับโครงการพัฒนาทั้งสิ้น
โดยการถูกตัดงบประมาณเพราะอ้างว่าประเทศชาติเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ ( วิกฤตเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ใครเป็นคนสร้าง ? ผลจึงตกอยู่ที่ข้าราชการ และคนที่สร้างวิกฤตขณะนี้ทำอะไรอยู่ มีสภาพความเป็นอยู่
กันอย่างไรถ้าสงสัยก็ให้ติดตามดูกันให้ถ้วนทั่วทุกตัวคน )

- NGOs ในประเทศไทยมีอยู่ประมาณเกือบ ๒๐,๐๐๐ องค์กรในปัจจุบัน แบ่งเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆ คือ

๑. กลุ่มที่ทำงานในองค์กรของรัฐ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ, ศาลปกครอง, กกต., ปปช. ฯลฯ
รายละเอียดตามเอกสารเพิ่มเติม

๒. กลุ่มที่ทำงานไม่อยู่ในองค์กรของรัฐ เช่น ครป., สิทธิมนุษยชน ฯลฯ รายละเอียดตัวอย่าง
รายชื่อองค์กรตามเอกสารเพิ่มเติม

จะเห็นได้ว่าการปล่อยปละละเลยหรือการปล่อยให้ NGOs เป็นผู้นำในการปฏิรูปการเมืองทั้งที่เป็นมาแล้วในอดีต
กำลังกระทำอยู่ในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงมากมายเพียงใด จะเป็น NGOs ประเภทใดก็ตาม
ก็หนีไม่พ้นจากการถูกบงการอยู่เบื้องหลังจากทั้งสององค์กรต่างชาติดังที่กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้น
ผลกระทบต่อประเทศไทย อันเกิดจากการปล่อยให้ NGOs ดำเนินการและชี้นำในการปฏิรูปการเมืองอย่างน้อยที่สุด
จะต้องกระทบต่อเรื่องหลัก ๆ ดังนี้

๑.วาติกัน จะต้องผลักดันให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขก็หมายต่าง ๆ ให้เกื้อกูลต่อการที่จะทำให้ศาสนาคริสต์
นิกายโรมันคาทอลิก เข้ามามีอิทธิพลในสังคมไทยมากขึ้น เพิ่มขึ้นจากที่ทำมาแล้วอย่างต่อเนื่องนับเป็นพัน ๆ ปี
จะต้องมีการทำลายวัฒนธรรมประเพณีไทยกันอย่างขนานใหญ่ รวมทั้งการทำลายพุทธศาสนาในทุกรูปแบบ
เปิดโอกาสให้กลุ่มทุนคาทอลิกเข้าครอบครองระบบเศรษฐกิจของไทยมากขึ้นโดยลำดับหลังจากที่ครอบครอง
ทั้งธนาคารของประเทศจำนวนมาก ครอบครองธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งหมดของประเทศไปเกือบทั้งหมด
ในรูปของการซื้อกิจการ การควบรวม การเข้าเป็นหุ้นใหญ่ ซึ่งเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนแล้วหลังวิกฤตเศรษฐกิจ

๒. CIA เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า องค์กรนี้แทรกเข้าไปอยู่ทุกองค์กรในโลกอย่างเปิดเผยแม้แต่ในประเทศไทย
ก็มีการประกาศรับสมัครข้าราชการและเอกชนที่จะไปทำงานเพิ่มเติมในฐานะเป็นสมาชิกของ CIA กันอย่างเปิดเผย
จะเห็นได้ว่า องค์กรนี้ได้สร้างความระส่ำระสายและล่มสลายให้แก่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมาโดยตลอด
เหตุการณ์ที่ใหญ่ ๆ ทุกเรื่องที่เกิดเป็นข่าวในโลกนี้ล้วนมี CIA เกี่ยวข้องด้วยเสมอ แล้วเมื่อ CIA เกี่ยวข้องกับทุกเรื่อง
แล้วผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการจะได้แก่ใคร ไม่ใช่ CIA หรือ สหรัฐอเมริกาดอกหรือ ปัจจุบันนี้
เจ้าหน้าที่ CIA เข้าไปแทรกซึมอยู่ตามทุกส่วนราชการรวมทั้งส่วนราชการทหารด้วย แล้วผลจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
ก็ต้องมาวิเคราะห์กันต่อไป แต่ที่ผ่านมาสร้างความบอบช้ำย่อยยับให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาลแล้ว

ประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนต้องการนำเอาเรื่องราวเกี่ยวกับเอ็นจีโอและซีไอเอ เข้ามาอธิบายกลยุทธ์ “ ต้นไม้ผลิดอก”
ก็เพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่า องค์กรเอ็นจีโอ และ องค์กรซีไอเอ เป็นเสมือนกองทัพร่วมของทั้งสหรัฐอเมริกา
ที่ต้องการจะดำรงความเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกให้คงอยู่ตลอดกาลด้วยการใช้องค์กรซีไอเอที่กระจายอยู่
ทั่วทุกหนแห่งบนพื้นผิวโลก ปฏิบัติการเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐอเมริกา เสมือนเป็นกำลังทหารที่อยู่หน้าสุด
แต่กองทหารเหล่านี้ ได้แสวงประโยชน์จากประชาชนและเจ้าหน้าที่ของประเทศต่าง ๆ ที่เป็นเป้าหมาย
เข้ามาเป็นกำลังเสริม คือ องค์กร ซีไอเอ จะจัดตั้งสมาชิกของตนขึ้นจากประชาชนและเจ้าหน้าที่ของประเทศนั้น ๆ
ขึ้นเสริมกำลังหลักของตนให้มีขอบข่ายของการปฏิบัติงานที่กว้างขวางครอบคลุมพื้นที่และเรื่องราวต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น
เช่นเดียวกันกับองค์กรเอ็นจีโอ ซึ่งเป็นกำลังส่วนหน้าหลักของสำนักวาติกันที่ใช้ในการเผยแพร่ศาสนา
และการเอื้อประโยชน์ด้านการค้าให้แก่นักธุรกิจชาวคาทอลิกในด้านข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการทำธุรกิจทั้งหลาย
โดยที่ประชาชนเจ้าของประเทศที่ร่วมเข้าไปเป็นสมาชิกขององค์กรเอ็นจีโอ ในประเทศนั้น ๆ ไม่รู้เท่าทัน
แต่เหนือสิ่งอื่นใดกำลังของเอ็นจีโอและซีไอเอ ได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับทั้ง สหรัฐอเมริกาและวาติกัน
ในการต่อสู้เพื่อการบรรลุเป้าหมายของตนนั่นเอง ซึ่งตัวอย่างอันนี้เป็นตัวอย่างที่มีความสอดคล้องกับ
หลักการของกลยุทธ์ “ ต้นไม้ผลิดอก” เป็นอย่างยิ่ง กลยุทธ์นี้มองอีกแง่หนึ่ง ก็จะเหมือนกับคำว่า
“สร้างสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์” หรือ “ยืมมือที่สาม” เมื่อใช้ในการทหาร ก็เป็นกลยุทธ์ในการยืมกำลังของผู้อื่น
มาเสริมกำลังตนให้ดูแข็งแกร่งขึ้น เพื่อสยบข้าศึกอย่างหนึ่ง

จะเห็นได้ว่าผู้ที่แสดงตนว่าเป็นสมาชิกขององค์กร NGOs ในทุกประเทศรวมทั้งของประเทศไทย
ไม่ได้รู้สำนึกเลยว่ากิจกรรมที่เขาเหล่านั้นกำลังทำอยู่นั้น ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศ
อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเขาทั้งทางตรงและทางอ้อม เขาเหล่านั้นตกเป็นเครื่องมือที่ต่างชาติต่างศาสนา
ใช้อย่างหัวปั่น บางครั้งก็สุ่มเสี่ยงต่อชีวิต นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ชนชั้นปัญญาชนเยี่ยงนั้นจะถูกต่างชาติปั่นหัว
หลอกใช้ให้ทำลายประเทศและสังคมของตนเองอยู่ตลอดเวลา แต่ผู้เขียนเชื่อว่าถ้าคนเหล่านั้นได้รู้ถึงข้อเท็จจริงแล้ว
คนเหล่านี้จะกลับมาเป็นคนสำคัญของประเทศที่จะต่อต้านอิทธิพลของต่างชาติเองในที่สุด แต่ต้องรออีกระยะหนึ่ง

กลยุทธ์นี้ จึงมีผู้สรุปว่า
“ ที่ว่า ต้นไม้ผลิดอก ก็คือ ทำให้ต้นไม้ซึ่งที่แท้ไม่มีดอก สามารถผลิดอกออกสะพรั่งให้เห็น
โดยใช้วิธีเอาดอกไม้ปลอมไปติดไว้ที่ต้นนั้น ซึ่งหากไม่พินิจพิจารณาให้ดี ก็จะไม่รู้ว่าเป็นของปลอม
และอาศัยสิ่งนี้ หมุนเปลี่ยนสภาพการณ์ให้กลายมาเป็นผลดีแก่เรา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ยืมสิ่งอื่นมาบังหน้า
ให้ข้าศึกเกิดความเข้าใจผิดแล้วฉวยโอกาสเคลื่อนไหวให้เป็นไปตามความประสงค์ นั่นเอง”
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:29 am

กลยุทธ์ที่ ๓๐ สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน
ฉวยช่องสอดแทรก ยึดจุดสำคัญ ค่อยผันสู่ชัยชนะ

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งเปิดช่องให้สอดแทรก ควรแทรก
กุมจุดสำคัญหรือหัวใจของอีกฝ่ายไว้ “ ค่อยผันสู่ชัยชนะ” พบได้ใน “คัมภีร์อี้จิง รุก”
ซึ่งมีความเต็มว่า “สรรพสิ่งในใต้หล้า เคลื่อนอย่างใจร้อนจักเสีย สงบแต่คล้อยตามจักได้
ค่อย ๆ ผันไปช้า ๆ จักเป็นคุณ เคลื่อนดังนี้จึงจะมีผล” อันหมายความว่า การตอกลิ่มเข้าไป
ในฝ่ายตรงข้าม เพื่อยึดอำนาจการบัญชาการนั้น จักต้องค่อยเป็นค่อยไป ดังนี้จึงจะบรรลุ
ซึ่งชัยชนะได้ “ สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน” ความหมายเดิมก็คือ เจ้าบ้านต้อนรับแขกไม่เป็น
แขกจึงชิงกลับมาเป็นฝ่ายต้อนรับเจ้าบ้านเสียเอง อันเป็นกลยุทธ์เปลี่ยนจากฝ่ายถูกกระทำ
เป็นฝ่ายกระทำอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ
ใน “ สามก๊ก ประวัติฮองตง” ก็มีเรื่องราวดังต่อไปนี้

เล่าปี่กรีฑาทัพจะเข้าฮันต๋ง ครั้นพ้นด่านแฮบังก๋วนมาแล้ว จึงส่งขุนพลเฒ่าฮองตง
ไปตีเขาเตงกุนสัน เล่าปี่สั่งความแก่ฮองตงว่า “ อันเขาเตงกุนสันนี้ เป็นชัยภูมิเข้าสู่ฮันต๋ง
แม้ได้เขาเตงกุนสันมาแล้ว ฮันต๋งก็มิพ้นมือเรา ของให้ท่านขุนพลจงรบเอาเขาเตงกุนสัน
มาให้จงได้” ฮองตงก็คำนับรบคำแล้วนำทัพออกไป

ฝ่ายแฮหัวเอี๋ยน ซึ่งรักษาเขาเตงกุนสันอยู่ ได้ข่าวว่าเล่าปี่ให้ฮองตงมาชิงเอาเขาเตงกุนสัน
ก็มีหนังสือแจ้งข่าวศึกไปบอกแก่โจโฉ ณ เมืองฮูโต๋ พร้อมกันนั้น ก็สั่งให้เตียวคับจัดซ่อมป้อมค่ายคูรบ
ให้แข็งแรงขึ้น ฮองตงเมือมาปลงทัพอยู่ใกล้ ๆ กับเขาแตงกุนสันแล้ว ก็ปรึกษาเรื่องเข้าตีเขาแตงกุนสัน
กับหวดเจ้ง หวดเจ้งจึงเสนออุบายว่า “แฮหัวเอี๋ยนเป็นคนมุทะลุกล้าแต่ด้อยด้วยปัญญา
เราพึงรุกคืบไปทีละส่วน แล้วตั้งค่ายลงให้มั่นคงล่อหลอกให้แฮหัวเอี๋ยนมิกล้าบุ่มบ่าม
นี้เป็นกลยุทธ์สลับแขกเป็นเข้าบ้าน มิควรจะปะทะด้วยกำลังเร็วเกินไป” เมื่อฮองตงปฏิบัติตามกลยุทธ์นี้
จึงสามารถยึดเขาเตงกุนสันได้ในที่สุด
..............
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์นี้เกี่ยวกับเหตุการณ์ร่วมสมัยในยุคโลกาภิวัตน์มีดังนี้
ในช่วงปลายของยุคสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาเห็นว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คงจะไม่สามารถ
รักษาไว้ได้อีกต่อไป และในช่วงนั้นการเมืองภายในของสหรัฐฯ เองก็ต้องการที่จะให้สหรัฐฯ ถอนทหาร
และอิทธิพลของตนออกจากภูมิภาคนี้ เหตุผลหลักก็เพราะการที่สหภาพโซเวียตใช้สงครามจิตวิทยาต่อประชาชน
ชาวอเมริกันจนกระทั่งทำให้สหรัฐฯ ต้องถอนทหารออกจากเวียดนามและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งในที่สุดสหรัฐฯ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้พ่ายแพ้สงครามเวียดนามดังที่ทราบกันดี

เกี่ยวกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น สหรัฐฯ เองยังคงให้ความสำคัญแต่ด้วยทั้งการเมืองในประเทศ
และการเมืองระหว่างประเทศทำให้สหรัฐฯ ไม่มีทางเลือกที่จะต้องถอนทหารและลดอิทธิพล
และบทบาทของตนลงในที่สุด สหรัฐฯ หันไปร่วมมือกับจีนต่อต้านสหภาพโซเวียต ดังเช่น ที่ประธานาธิบดี นิกสัน
ของสหรัฐฯ เดินทางไปเชื่อมความสัมพันธ์กับจีนในเวลาต่อมา ในช่วงปลายของยุคสงครามเย็นสหภาพโซเวียต
ต้องอ่อนล้าและล่มสลายอันนำมาสู่การสิ้นสุดของยุคสงครามเย็นในที่สุดเมื่อประมาณปี ๒๕๓๒ ( ๑๙๘๙)
ในความเป็นจริงแล้ว สหรัฐฯ มีความเป็นห่วงเป็นใยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ใช่น้อย จะเห็นได้จาก
การที่สหรัฐฯ ได้วางพื้นฐานแนวปิดล้อมการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ของทั้งจีนและสหภาพโซเวียต
ในยุคสงครามเย็น คือการสร้างแนวปราการด้านเศรษฐกิจและการทหารไว้ตามแนวปิดล้อม คือตั้งแต่ญี่ปุ่น ,เกาหลีใต้
,ไต้หวัน ,ฮ่องกง , ไทย ,มาเลเซีย,สิงคโปร์ ซึ่งแนวดังกล่าวเป็นแนวที่ค่อนข้างจะมีความเจริญก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจ
และด้านการเมืองภายในประเทศ เมื่อศึกษาและวิเคราะห์ให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญที่ประเทศเหล่านี้
จะมีความเจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ความเป็นจริงก็คือ ประเทศเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนและเทคโนโลยี
ทั้งด้านการทหารและด้านเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ ที่เมื่อสามารถสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจได้การทหารก็จะเข้มแข็ง
และสามารถที่จะเป็นแนวในการต่อสู้กับการรุกของฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ ครั้นเมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลง
ภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์ก็หมดไป แต่ภัยอื่น ๆ ที่คุกคามต่อผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ ยังคงอยู่
ดังเช่นที่ IMF , WTO , WB รวมทั้งสำนักวิจัยต่าง ๆ ทั่วโลกได้กล่าวถึงการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจของจีน
จะนำไปสู่การท้าทายอำนาจของสหรัฐฯ ถึงขั้นว่าจีนจะเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งแทนสหรัฐฯ
ประมาณในปี ๒๐๒๕- ๒๐๕๐ ดังที่ Kugler ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Power Transition ของเขาเอง
เมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่สหรัฐฯ จะต้องรีบดำเนินการคือการสกัดกั้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนให้ได้
ด้วยการกระชับวงปิดล้อมเดิมที่สหรัฐฯ ได้ทำไว้เมื่อครั้งยุคสงครามเย็น การดำเนินการของสหรัฐฯ
เป็นไปอย่างสอดคล้องกับกลยุทธ์ สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน คือค่อย ๆ รุกและยึดครองทีละส่วน โดยเฉพาะพื้นที่
ที่จีนกำลังมีอิทธิพลเข้าครอบงำด้วนเศรษฐกิจและวัฒนธรรมคือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนึ่งในกิจกรรมที่สหรัฐฯ
ดำเนินการตามกลยุทธ์นี้คือเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจเอเชีย ที่เริ่มต้นที่ประเทศไทยขยายวงกว้างออกไปยังอาเซียน
และขยายเป็นวิกฤตของทั้งเอเชีย ที่ทำให้สหรัฐฯ สามารถเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคนี้อีกเช่นเดิม
เหมือนยุคเริ่มต้นสงครามเย็น รายละเอียดเป็นดังนี้

Information Warfare By US NDU. ซึ่งได้กล่าวไว้อย่างแน่ชัดถึงหลักนิยมในการทำสงคราม Information Warfare
ในยุคใหม่หรือยุคโลกาภิวัฒน์ เพื่อนำไปสู่การได้มาซึ่งผลประโยชน์แห่งชาติของตน จึงเป็นเรื่องที่แน่ชัดว่า
สหรัฐฯ มีหลักนิยมด้านการสงครามทางด้านนี้โดยตรง และสหรัฐฯ ก็มีศักยภาพที่จะทำสงครามเหล่านี้ได้
ซึ่งรูปแบบใหม่ของสงครามดังกล่าวมีดังนี้

๑) Command and control warfare
๒) Intelligence based warfare.
๓) Electronics warfare
๔) Psychological warfare
๕) Hacker warfare
๖) Economical Information warfare
๗) Cyber warfare

“............ รูปแบบที่หก คือ สงครามทางเศรษฐกิจ ( Economical Information warfare )
มีข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจ คือ จากผลพวงของยุทธศาสตร์ฟอร์ซ ๒๑ ที่มุ่งกันเงินดอลลาร์ ไหลกลับ
ว่าเริ่มขึ้นในปลายปี ๒๕๑๗ จากการคิดค้นของมหาอำนาจที่เคยพ่ายแพ้ในการรบกับประเทศเวียดนาม
เป็นสมการของยุทธวิธี คือ E=MOC2 ซึ่งต้องทำให้สำเร็จก่อนมกราคม พ.ศ ๒๕๔๒ ที่ยุโรป
จะใช้เงินสกุลเดียวกัน มีระบบคิดดังนี้

E= ( Economic ) คือเศรษฐกิจ
M= ( Mental ) คือ การสร้างความเชื่อใหม่สลายศรัทธาเดิม
O= (Organization ) คือ การสร้างกระแสและทำบายระบบการเมือง
C= (Cash Value ) คือการทำลายค่าเงิน
C= (Cash Control ) คือการควบคุมระบบการเงินแบบเบ็ดเสร็จ

“ FORCE 21 FORMULAR” สูตรกำลังรบในศตวรรษที่ ๒๑ ของสหรัฐอเมริกาได้ถูกคิดค้นขึ้น
หลังจากที่สหรัฐฯ ต้องพ่ายแพ้สงครามเวียดนาม กลุ่ม Strategic Defense Group
ได้ดำเนินการวิจัยและกำหนดสูตรที่จะดำเนินการเพื่อให้ได้ชัยชนะในสงครามเย็นในศตวรรษที่ ๒๑ ให้ได้
ได้มีการนำสูตรควอนตัมของไอสไตน์ มาประยุกต์ใช้ ซึ่งสูตรนี้จะสามารถนำมาซึ่งการได้ชัยชนะ
อย่างเด็ดขาดเบ็ดเสร็จในการดำเนินการโดยที่ไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้อและมีการลงทุนน้อยที่สุด
และการยึดครองประเทศที่เป็นเป้าหมายจะเป็นไปอย่างถาวรยาวนาน ซึ่งโดยสูตร Force 21 ดังกล่าวนี้
ทำให้สหรัฐฯ สามารถเข้าครอบครองประเทศในเอเชียได้อย่างเบ็ดเสร็จโดยเริ่มต้นที่การเข้าครอบครอง
เศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ ด้วยการสร้างวิกฤตเศรษฐกิจในปี ๒๕๔๐ แล้วตามมาด้วยวิกฤตเศรษฐกิจ
กันโดยทั่วหน้าแล้วในที่สุดสหรัฐฯ ก็ได้ส่งกลไกของตนเข้ายึดครองประเทศอันเป็นเป้าหมายไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ซึ่งสูตรดังที่กล่าวแล้วนั้นคือ

E = MOC2

E = Economy: หมายถึงการเข้าครอบครองทางเศรษฐกิจของประเทศเป้าหมายก่อนแล้วจึงค่อย ๆ
เข้าครอบครองด้านอื่น ๆ ภายหลัง คือการยึดครองทางเศรษฐกิจได้เป็นการยึดครองทุกอย่างได้โดยปริยายนั่นเอง
M= Mental : การเข้ายึดครองทางสมองเป็นเป้าหมายเบื้องต้นของการดำเนินการ สหรัฐฯ ได้ใช้อักษรตัว M
ในการชี้นำแนวความคิดของประชาคมโลกทำให้ประชาคมโลกคล้อยตามแนวความคิดที่เป็นแบบอเมริกัน
หรือแบบที่สหรัฐฯ ต้องการในที่สุด สหรัฐฯ ตระหนักว่า

การที่สามารถเป็นผู้นำทางด้านความคิดของประชาคมโลกได้ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะครอบครองประชาคมโลกอย่างเบ็ดเสร็จ
ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายที่สุดคือ การที่สหรัฐฯ ได้ประกาศคำสั่งในการจัดระเบียบโลกใหม่ แล้วโลกทั้งโลกต้องเชื่อตาม
โดยปริยายและต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดที่ไม่ต้องมีความคิดไปตามแนวทางอื่น ซึ่งถึงแม้ว่าประเทศตนจะสูญเสีย
ผลประโยชน์ต่าง ๆ มากมายก็ไม่มีทางเลี่ยงเป็นอย่างอื่น ที่จะต้องปฏิบัติตาม การต้องเป็นประชาธิปไตยแบบสหรัฐอเมริกา
การที่ต้องรักษาสภาพแวดล้อมที่ตนต้องสูญเสียผลประโยชน์ การเรียกร้องสิทธิมนุษยชนที่ต้องกระทบต่อ
ความมั่นคงของประเทศตน การค้าเสรีที่ประเทศตนต้องเสียประโยชน์แก่สหรัฐอเมริกา และประเทศตะวันตก
โดยความเป็นจริงแล้วการเข้ายึดครองทางด้านจิตใจต่อประชาคมโลกสามารถกระทำได้หลายทาง
การที่เปิดโอกาสให้ข้าราชการเข้าไปศึกษาในสหรัฐฯ แล้วเปลี่ยนแนวความคิดให้คล้อยตามที่สหรัฐอเมริกาต้องการ
การบริโภคข่าวสารจากสื่อของสหรัฐฯ เช่น CNN การคลั่งไคล้กับวัฒนธรรมของฮอลลีวูดจากภาพยนตร์ของสหรัฐฯ
(ที่เรียกว่าวัฒนธรรมฮอลลีวูด) การรับความเชื่ออย่างไม่ระมัดระวังจากสื่อของสหรัฐฯ เช่น
หนังสือพิมพ์และวารสารต่าง ๆ เป็นต้น

สหรัฐฯ ตระหนักว่า การเข้าครอบครองสมองหรือแนวความคิดของคนก่อนแล้วจึงเข้าครอบครองเศรษฐกิจแล้ว
จึงตามมาด้วยการยึดพลังอำนาจของชาติด้านอื่นในที่สุด ดังที่ ซุน วู กล่าวไว้ว่า
“......การได้ชัยชนะโดยไม่ต้องรบเป็นสุดยอดของยุทธศาสตร์...”

O = Organization : หมายถึง องค์กร การยกเลิกองค์กรเดิมแล้วตั้งองค์กรใหม่ขึ้นมา องค์กรนาชาติต่าง ๆ
อย่างเช่น IMF,WTO,WB NGOs ได้ถูกนำมาใช้ทดแทนองค์กรเดิมที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ปฏิบัติการ
องค์กร NGOs เป็นจำนวนมากได้ถูกสั่งการให้เข้าไปดำเนินการเคลื่อนไหวด้านกิจกรรมก่อนที่วิกฤตเศรษฐกิจ
จะเกิดขึ้นเพื่อที่จะเป็นการปูทางไปสู่การปฏิบัติขั้นต่อไปของกิจกรรม และองค์กรนานาชาติจำนวนมาก
ได้มามีบทบาทที่โดดเด่นและกว้างขวางขึ้นหลังจากที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขึ้น
เพื่อที่จะเข้ายึดครองภาพรวมของประเทศที่เป็นเป้าหมายนั้น

C = Cash Devalue : คือการลดค่าเงินสกุลท้องถิ่นมีความจำเป็นมากในขั้นนี้ ตามที่สถานการณ์ต่าง ๆ
ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยอักษร O ( Organization) และพร้อมกันนั้นนักรบทางการเงินของสหรัฐฯ ก็เข้าโจมตี
สกุลเงินท้องถิ่นอย่างหนักในปี ๒๕๔๐ ค่าเงินสกุลต่าง ๆ ในกลุ่มประเทศอาเซียนก็ต้องถูกลดลงในที่สุด
โดยรัฐบาลของประเทศตนเพราะสู้นักโจมตีค่าเงินไม่ได้ เมื่อค่าเงินของประเทศตนถูกลด หนี้จำนวนมหาศาล
อันเกิดจากการที่มีหนี้จำนวนหนึ่งที่เป็นอัตราของเงินตราต่างประเทศอยู่ก็ตามมา วิกฤตการณ์ได้แพร่ขยายออกไป
อย่างรวดเร็วจนกระทั่งครอบคลุมไปทั่วประเทศ ตามข้อเท็จจริงแล้ว เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปคือ IMF อยู่ภายใต้
การกำหนดนโยบายโดยสหรัฐฯ ทั้งทางตรงและทางอ้อม แล้วประเทศที่ประสบวิกฤตเศรษฐกิจไปแล้ว
ก็ต้องหันหน้ามาพึ่ง IMF โดยขอความช่วยเหลือการเงินและคำแนะนำในการแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศตน
ซึ่งก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงต่ออิทธิพลของสหรัฐฯได้ และการที่ประเทศใดก็ตามที่เข้าไปขอรับการช่วยเหลือ
ทางด้านการเงินและทางวิชาการจาก IMF ล้วนแต่ไม่สามารถที่จะฟื้นฟูประเทศของตนได้อย่างเป็นอิสระ
ถ้าฟื้นฟูได้ก็อยู่ภายใต้การครอบงำของสหรัฐฯ ซึ่งใช้ IMF เป็นเครื่องมือ หรือไม่ก็เศรษฐกิจต้องล้มไปในที่สุด

C = Cash Control : การควบคุมการเงิน ในท้ายที่สุดของการดำเนินการสูตรที่จะเข้าควบคุมการเงินในท้องถิ่น
และการเข้าควบคุมระบบการเงินของประเทศเป้าหมายนั้นด้วย หลังจากนั้นจึงป้อนเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ
เข้าไปยังประเทศนั้น พร้อมกับการตั้งกลไกของสหรัฐฯ เข้าไปควบคุมประเทศที่เป็นอาณานิคมของตนไปแล้ว
หลาย ๆ ประเทศซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนาในลาตินอเมริกา อเมริกาใต้ และประเทศทางทวีปอัฟริกาและ
ประเทศในทวีปเอเชียต้องประสบกับการเข้าควบคุมด้านการเงินโดยสหรัฐฯ อันเนื่องมาจากผลของการทำ
สงครามเศรษฐกิจ โดยใช้ สูตร Force 21 คือ E= MOC2 ซึ่งนี่ก็คือสงครามเย็นที่ชาวโลกยังไม่รู้จะรู้ตัวอีกที
ก็ต่อเมื่อประเทศทั้งประเทศถูกครอบครองโดยสิ้นเชิงไปแล้ว
( Information warfare : the quiet war in 21st century: Chana Pavakanunt. )

จอร์จ โซรอส เป็นหนึ่งในกลไกที่สหรัฐฯ ได้ใช้ในการทำสงครามเศรษฐกิจในครั้งนี้ หนังสือชำระประวัติศาสตร์
กรณีตุลาและพฤษภาทมิฬ โดย ศูนย์นิสิตและนักศึกษาแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์
และวรรณคดีสยาม ได้กล่าวถึง จอร์จ โซรอส ไว้ว่า จอร์จ โซรอส ได้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย
และภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ มากกว่า ๒๐ ปีแล้ว บริษัทที่เป็นบริษัทในเครือของ โซรอส คือ
บริษัท จีอี แคปิตอล บ.โกลด์ มานแสค บ. เลเมน บราเดอร์ ซึ่งนั่นแสดงว่า โซรอส ได้รวบรวมข้อมูล
และรวบรวมสมัครพรรคพวกของตนไว้ในภูมิภาคไว้อย่างพอเพียงก่อนที่จะเกิดวิกฤตการเงินในเอเชีย
ทำให้ โซรอส ประสบความสำเร็จในการตีค่าเงินของประเทศต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย ประกอบกับเมื่อมี
เจ้าของประเทศซึ่งเป็นนักการเมืองของประเทศนั้น ๆ ให้การช่วยเหลือก็ยิ่งประกันความสำเร็จได้มากขึ้น โซรอส
ได้กว้านซื้อหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ในประเทศที่เป็นเป้าหมายไว้มากมาย ซึ่งนอกจากจะสามารถสนับสนุนธุรกิจของเขา
ให้ประสบผลสำเร็จอย่างมากมายแล้ว ยังสามารถที่จะตอบสนองความต้องการทางยุทธศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ อีกด้วย
จะเห็นได้ว่า เมื่อการตีค่าเงินไทยสำเร็จเป็นรูปธรรมเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลไทยซึ่งเข้าบริหารประเทศต่อจากรัฐบาล
ที่เกิดวิกฤตทางการเงินต้องไปเจรจาเรื่องเศรษฐกิจกับ จอร์จ โซรอส ไม่ใช่เป็นการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ
นั่นแสดงให้เห็นชัดเจนว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มีส่วนรู้เห็นกับการเป็นอาชญากรทางการเงินของ โซรอส ในครั้งนี้
อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ นอกจากที่ โซรอส จะมีวีรกรรมด้านการตีค่าเงินในประเทศกลุ่มอาเซียนแล้ว
ยังมีวีรกรรมในภูมิภาคอื่น ๆ ด้วย ซึ่งมีหลักฐานยืนยันดังต่อไปนี้

๑) ตีค่าเงินปอนด์ของอังกฤษ ก่อน ๑๙๙๗
๒) ตีค่าเงินเยนของญี่ปุ่น ก่อน ๑๙๙๗
๓) ตีค่าเงินของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ก่อน ๑๙๙๗
๔) ตีค่าเงินของรัสเซีย ก่อน ๑๙๙๗
๕) ตีค่าเงินของไทย ๑๙๙๗
๖) ตีค่าเงินของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ๑๙๙๗
๗) ตีค่าเงินวอนของเกาหลีใต้ ๑๙๙๗
๘) ตีค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกง ๑๙๙๗
๙) ตีค่าเงินหยวนของจีน และพ่ายแพ้ที่ประเทศจีน ๑๙๙๗

การเคลื่อนไหว NGOs สอดคล้องกับ “ มติของวอชิงตัน” ว่าด้วย “ การใช้กลไกตลาดและการเปิดตลาดเสรี”
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วถึงความสัมพันธ์ของ NGOs ของวาติกัน กับ CIA ของสหรัฐอเมริกามาแล้วตั้งแต่กลยุทธ์ต้น ๆ
ว่า ทั้งสององค์กรนี้มีความสัมพันธ์และมีความผูกพันที่ต้องอาศัยกันและกันด้านการแลกเปลี่ยนข่าวสารและกิจกรรม
ที่จะต้องทำร่วมกัน ที่มีหลักฐานชัดเจนคือการเคลื่อนไหวของ NGOs และ CIA ในเหตุการณ์จลาจล
ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินของจีน ที่มีหนังสือพิมพ์ของโลกตะวันตกออกมายืนยันอย่างชัดเจนถึงความร่วมมือของ
ทั้งสององค์กรนี้อย่างแน่นแฟ้นในทุกพื้นที่ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่การเคลื่อนไหวในการทำงานของทั้งสององค์กรนี้
จะมีความประสานสอดคล้องกันตลอดเวลา ดังเช่นที่มีการเคลื่อนไหวของ NGOs ที่สอดคล้องกับ “ มติของวอชิงตัน”
ที่ว่าด้วย “ การใช้กลไกตลาดและการเปิดตลาดเสรี” ดังนี้

การยกเลิกระเบียบที่ขัดขวางการค้าเสรี การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปเป็นของเอกชน การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ
โดยองค์กรเอกชน ตัดภาครัฐทุกส่วนที่เกี่ยวกับธุรกิจ- บริการ- สาธารณูปโภคทั้งหมดออก
ผลของมติวอชิงตันว่าด้วย “ การใช้กลไกตลาดและการเปิดตลาดเสรี”

๑) เปิดโอกาสให้บรรษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ เข้าไปประกอบธุรกิจและในประเทศเป้าหมายต่าง ๆ ได้ทั่วโลก
๒) หากำไรในประเทศต่าง ๆ ได้โดยสะดวก ทั้งนี้เพราะกลไกด้านการค้าและการดำเนินการด้านธุรกิจข้ามชาติของสหรัฐฯ
และประเทศในเครือของตนมีศักยภาพที่เหนือกว่าประเทศที่เป็นเป้าหมายด้วยประการทั้งปวง ที่มีความคล้ายคลึงกับ
ในยุคล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ ๑๕ เป็นต้นมาที่ประเทศล่าอาณานิคมมีกลไกการค้าขายที่เหนือกว่า
ประเทศที่เป็นเป้าหมายในการล่าอาณานิคม
๓) สหรัฐฯ ได้ข่าวสารเกี่ยวกับการค้าเท่าที่ต้องการ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับทัศนคติและพฤติกรรมของประชาชน
ในประเทศนั้น ๆ เป็นต้น
๔) NGOs ผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ เปิดเสรีให้มากที่สุด

เงินสนับสนุนที่ NGOs ได้รับ
๑) เงินช่วยเหลือด้านการวิจัยโดยผ่าน USAID
๒) เปิดโอกาสให้ NGOs ประมูลโครงการไปทำ....เจ เปรน แอทวูด ( J.Brain Atwood)
ผู้บริหาร USIAD ได้ชี้แจงเกี่ยวกับ NGOs ว่า

“ ......โครงการช่วยเหลือของสหรัฐฯ ในประเทศต่าง ๆ ที่ผ่านและไม่ผ่านและไม่ผ่าน NGOs นั้น
ไม่ใช่โครงการการกุศล แต่เป็นโครงการเพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาเพื่อให้สหรัฐอเมริกา
เป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลก และด้วยความเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลกของสหรัฐอเมริกาขณะนี้
ดังนั้นสหรัฐอเมริกาจึงสามารถระดมความร่วมมือจากประเทศตาง ๆ ให้เป็นผู้บริจาคเงินช่วยเหลือ
ทั้งในส่วนของ IMF หรือ IBRD ได้ และสหรัฐอเมริกาสามารถได้รับผลสูงสุด เพราะสามารถลดจำนวนเงิน
ช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกาลง ขณะที่สามารถเพิ่มเงินช่วยเหลือโดยความร่วมมือจากประเทศอื่น ๆ ได้มากขึ้น
USAID : United State Agency for International Development สามารถทำเช่นนี้ได้
เพราะเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการรักษาความมั่นคงของรัฐอยู่แล้ว”

กรรมวิธีในการเข้าควบคุมระบบเศรษฐกิจของแต่ละชาติ
สร้างเงื่อนไขเพื่อส่งบุคลากรของตนเข้าสู่หน่วยราชการที่มีอำนาจบริหารสั่งการควบคุมเศรษฐกิจรัฐบาลไทย
ต้องเผชิญกับเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างกะทันหันในปี ๒๕๒๗ จึงต้องเข้าสู่โปรแกรมของ IMF ,WB
คำแนะนำที่ตามมาคือการเปลี่ยนวิถีสังคมไทยจาก “ ประเทศการเกษตร” สู่ “ ประเทศอุตสาหกรรม”
โดยรัฐบาลไม่มีความชำนาญต้องพึ่งพาที่ปรึกษาสหรัฐฯ ทั้งสิ้นการผุดขึ้นของนิคมอุตสาหกรรมที่ไม่คำนึงถึง
ผลกระทบทางด้านสภาพแวดล้อมที่ตามมาสร้าง TDRI เพื่อให้ประเทศไทยเกิดความเชื่อมั่น
ตามคำแนะนำของที่ปรึกษาสหรัฐฯ
กิจกรรมที่ NGOs ทำในประเทศไทย ได้แก่
รณรงค์เรียกร้องประชาธิปไตย รณรงค์เรียกร้องด้านสิทธิมนุษยธรรม ด้านสิ่งแวดล้อม เกี่ยวกับการค้าเสรี

สิ่งที่ NGOs ละเว้นไม่ปฏิบัติในประเทศไทย
๑) การรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ เช่น การคัดค้านการขายสินทรัพย์ของ ปรส.
ที่ประเทศไทยต้องขาดทุนเกือบ ๗ แสนล้านบาท
๒) ไม่ต่อต้านการออกกฎหมาย ๑๑ ฉบับที่ทำให้ประเทศชาติต้องเสียประโยชน์ ( กฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ )
๓) ไม่เคยคัดค้านกรณีที่มีการบ่อนทำลาย ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
อันเป็นสถาบันแห่งความมั่นคงของประเทศไทย
๔) อื่น ๆ ที่ประเทศชาติต้องสูญเสียประโยชน์จำนวนมาก NGOs จะไม่ใส่ใจแต่จะใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเป็นพิธี

หนังสือเรื่อง Hegemony of a new type ซึ่งเขียนโดย Bezezinski โดยเนื้อหาแล้วกล่าวถึงเรื่อง
ความเป็นเจ้าของสหรัฐฯ ที่เป็นเจ้าโลกอย่างแท้จริง ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนที่อิทธิพลของประเทศสหรัฐฯ
จะมากมายเท่านี้และในอดีตก็ยังไม่มีประเทศใดมีอิทธิพลมากมายมาก่อน ซึ่งครอบคลุมไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก
ทหาร ครึ่งหนึ่งของงบประมาณของทหารของโลกทั้งหมด ในปัจจุบันนี้ ๔๐๐,๐๐๐ ล้านเหรียญ เป็นงบประมาณ
ทางทหารของสหรัฐฯ ( ๒๕๔๗ ) เมื่อเทียบกับ GDP ของไทย ปัจจุบัน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านเหรียญเท่านั้นเอง

สหรัฐฯ จะต้องครองความเป็นเจ้า ๔ มิติ
ทหาร: สหรัฐฯ มีการวางกำลังทหารเพื่อควบคุมพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วทุกภูมิภาคของโลก สหรัฐฯ
เป็นประเทศที่มีพลังอำนาจเหนือประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
เศรษฐกิจ : GDP ใหญ่เป็นครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลก ในปัจจุบันร้อยละ ๓๐ หรือประมาณ ๑๐ ล้านล้านเหรียญ
ซึ่งเมื่อเทียบกับไทยของไทยเป็นเพียงร้อยละ ๑ ของสหรัฐฯ
เทคโนโลยี : การวิจัยพัฒนาด้านเทคโนโลยีทุก ๆ ด้านของสหรัฐฯ มีความก้าวหน้ากว่าประเทศอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด
วัฒนธรรม: ประเทศต่าง ๆ ยอมรับวัฒนธรรมของสหรัฐฯ อย่างเต็มใจ เช่น Mass Culture ๓ใน ๔ ของตลาดหนัง
มาจากสหรัฐฯ ซึ่งแทรกความเป็นฮีโรของสหรัฐฯ ตลอดเวลา ซึ่งทำให้สหรัฐฯ เข้าครอบงำทางวัฒนธรรมของสหรัฐฯ
อยู่ตลอดเวลา เช่น ภาพยนตร์ , ภาษา ,อาหาร ,การแต่งกาย , การเมือง , ระบบเศรษฐกิจ , วิชาความรู้ , อินเตอร์เน็ต
สหรัฐฯ ได้สร้างสถาบันการยอมรับจากทั่วโลก เช่น UN , IMF ,WB , WTO ….

ในที่สุดของสงครามทางการเงินและสงครามเศรษฐกิจในช่วงปี ๒๕๔๐ ( ๑๙๙๗ ) ทำให้สหรัฐอเมริกา
กลับเข้ามามีอิทธิพลและอำนาจในภูมิภาคเหมือนเดิม กล่าวคือ สหรัฐฯ สามารถยึดครองเศรษฐกิจในประเทศต่าง ๆ
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ พร้อมกันนั้นได้สร้างนักการเมืองและนักธุรกิจสายพันธ์อเมริกัน
ไว้ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้
นักการเมืองและนักธุรกิจของบางประเทศที่หน้าฉากเหมือนว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ แต่หลังฉาก ถูกควบคุมด้วย
พลังเศรษฐกิจและพลังทางการเมืองของสหรัฐฯ โดยอาศัยช่วงที่สหรัฐฯ สร้างวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียเป็นเครื่องมือ
ในการขยายผล ถ้าคิดในเชิงของกลยุทธ์ในการต่อสู้ในสงครามแล้วถือว่าสหรัฐฯ เป็นผู้ชนะสงครามและยึดครอง
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และได้ขับไล่อิทธิพลของจีนออกจากพื้นที่ได้ค่อนข้างจะเบ็ดเสร็จ จีนเองต้องใช้เวลา
อีกไม่น้อยในการที่จะกอบกู้สถานการณ์ที่จะทำให้ตนกลับเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคเหมือนเดิมได้ ฉะนั้น ในขณะนี้สหรัฐฯ
ได้ดำเนินการตามกลยุทธ์ “ สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน” อย่างสมบูรณ์แล้ว คือค่อย ๆ ยึดครองทีละส่วนและได้ทั้งหมดในที่สุด
และในที่สุดจากเดิมสหรัฐฯ เป็นเพียงแค่แขกแต่ปัจจุบันนี้ ( ๒๕๔๗ ) สหรัฐฯ ก็คือ
เจ้าบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตัวจริง

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน” ก็คือแขกแย่งเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง เปลี่ยนฐานะจากฝายถูกกระทำ
เป็นฝ่ายกุมอำนาาจการกระทำ และบงการให้สถานการณ์เป็นไปตามความประสงค์ ในขณะที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ
จะต้องยอมเป็น “ แขก” ชั่วคราว เพื่อช่วงชิงเวลาสะสมกำลัง อาศัยชัยชนะเล็ก ๆ น้อย ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
โดย “เจ้าบ้าน” จำยอมต้องกลับกลายเป็น “ แขก” เพราะมิมีปัญญาที่จะต้านทานได้เลย ฉะนี้
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:29 am

ส่วนที่ ๖
กลยุทธ์ยามฝ่ายแพ้
เมื่อกำลังเราอ่อนแอ แต่ศัตรูกล้าแข็งฮึกห้าว
พึงรีบถอยโดยเร็ว ที่ถอยใช่แพ้
แต่เตรียมตีโต้กลับเมื่อพร้อม

กลยุทธ์ที่ ๓๑ กลสาวงาม

ไพร่พลกล้า พึงตีนาย นายฉลาด พึงตีใจ นายอ่อน ไพร่พลหน่าย จักแพ้ภัยตัว บัญชาศัตรูได้ จัดรักษาตัวรอด

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า สำหรับข้าศึกที่มีกำลังเข้มแข็ง พึงสยบแม่ทัพเสียก่อน ต่อแม่ทัพที่เฉลียวฉลาด
ก็โจมตีจุดอ่อนทางใจ ให้มีอุปสรรค ส่วนแม่ทัพที่ย่นย่อท้อแท้ ไพร่พลที่กำลังถดถอย ก็จักเสื่อมโทรม
แพ้พ่ายไปเอง “บัญชาศัตรูได้ จักรักษาตัวรอด” มาจาก “คัมภีร์อี้จิง รุก” หมายความว่า ต่อข้าศึกที่เข้มแข็ง
มิพึงใช้กำลังเข้าปะทะ ควรอาศัยจุดอ่อนของฝ่ายนั้น แทรกซึมและสลายเสีย ต่อตัวเอง
พึงสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รักษาและเสริมสร้างกำลังของตนเอง แปรเปลี่ยนสภาพการณ์
เพื่อเอาชนะข้าศึก

กลยุทธ์นี้เป็นอุบายที่ใช้สาวงามหรือสิ่งอื่นใดล่อหลอกเย้ายวนข้าศึก ให้ฝ่ายนั้นมัวเมาหลงใหล
มิคิดถึงการศึก เกิดความร้าวฉานภายในครั้นแล้วจึงเข้าโจมตีเพื่อชิงชัยอย่างหนึ่ง
ใน “ชุนชิว ประวัติโก้วเจี้ยน” มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้

ในยุคชุนชิว ฉู่ผิงอ๋องแห่งแคว้นฉู่เชื่อคำใส่ร้ายของเฟ่ยอู่จี้เสนาบดีคนสนิท ฆ่าฮู่เซอและไป่เชี่ยอ่วน
ขุนนางผู้ใหญ่หมดทั้งโคตร บุตรคนที่ ๒ ของอู่เซอ ชื่ออู่จือซี และหลานชายของไป่เซี่ยอ่วนเชื่อ
ไป่พี่เคราะห์ดีรอดมาได้ จึงพากันหลบหนีไปยังแคว้นอู๋ ต่างได้รับการแต่งตั้งจากอู๋อ๋องเหอหลี
ให้เป็นเสนาบดี เมื่อถึง ๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาล แคว้นฉู่ผลัดเปลี่ยนผู้ครองแคว้นเป็นฉู่จาวอ๋อง
อู่อ๋องก็ตั้งซุนอู่ (ซุนวู) เป็นแม่ทัพ อู่จื่อและไป่พี่เป็นรองแม่ทัพ นำกำลัง ๑๐ หมื่นไปตีแคว้นฉู่
ก็รบชนะจนประชิดถึงเมืองอิ่ง (ในมณฑลเหอเป๋ยในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นฉู่
ฉู่จาวอ๋องต้องหนีไปอาศัยอยู่กับแคว้นสุย (ในมณฑลเหอเป่ยในปัจจุบัน)

ในขณะนั้น อู่อ๋องมาอยู่ที่เมืองอิ่ง โดยคิดว่าเมื่อตีแคว้นฉู่ขับฉู่จาวอ๋องไปแล้ว แคว้นฉู่
ก็จะต้องตกเป็นของตนอย่างแน่นอน แต่มิได้คาดคิดว่า แคว้นเย่รีบถอยทัพกลับ
เย่อ๋องยุ่นฉางได้ข่าวว่าอู๋อ๋องยกทัพกลับ ก็รู้ว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอู๋อ๋อง เพราะมีซุนอู่
ผู้ชำนาญพิชัยสงครามอยู่ด้วย จึงรีบยกทัพกลับเมืองโดยไม่รอช้า การก่อกวนของทัพเย่ในครั้งนี้
ได้ทำลายความหวังที่จะครอบครองแคว้นฉู่ไปสิ้นเชิง อู๋อ๋องให้รู้สึกเจ็บใจใจเย่อ๋องเป็นอย่างยิ่ง
จึงผูกใจอาฆาตและคิดหาทางแก้แค้นเอากับเย่อ๋องทุกขณะจิต

เมื่อถึง ๔๙๖ ปีก่อนคริสตกาล อู๋อ๋องเหอหลีทราบว่าเย่อ๋องยุ่นฉางถึงแก่กรรม บุตรชายโกวเจี้ยน
ขึ้นมาครองอำนาจแทน ก็นำทัพ ๓ หมื่นไปตีแคว้นเย่ด้วยตนเอง โกวเจี้ยนได้รับข่าวศึก
แม้จะอยู่ในระหว่างไว้ทุกข์ ก็จะต้องนำกำลังออกต้านทานด้วย กองทัพทั้งสองจึงรบกัน
ขนานใหญ่ที่จุ้ยหลี่ อู๋อ๋องเหอหลี เสียที ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนตายในที่รบ บุตรชายฟูชา
จึงขึ้นมาครองอำนาจแทน และสาบานว่าจะชำระความแค้นนี้ให้จงได้
อู๋อ๋องฟูชาสั่งให้ทหารผลัดเปลี่ยนกันยืนอยู่หน้าวัง ทุกคราวที่เห็นอู๋อ๋องก็ให้ถามว่า
“ฟูชา ท่านลืมว่าบิดาท่านถูกเย่อ๋องฆ่าตายแล้วหรือ?” ฟูชาจะตอบกลับไปทันทีว่า
“ไม่ลืม เราไม่ลืมเป็นอันขาด?” ในขณะเดียวกันก็สั่งให้อู๋จื่อชีและไป่พี่ เร่งฝึกช้อมไพร่พล
ให้เข้มงวดกวดขัน

เวลาผ่านไป ๓ ปี กำลังของอู๋อ๋องฟูชาก็แข็งแกร่งขึ้น จึงตั้งอู่จื่อชีเป็นแม่ทัพ ไป่พี่เป็นรอง
ให้นำกำลังเท่าที่มีทั้งหมดไปตีแคว้นเย่ พร้อมกับตนเอง ก็ติดทัพไปด้วย เย่อ๋องโกวเจี้ยน
ก็นำทัพออกรับมือ จึงเกิดการรบฟุ่งกันอย่างดุเดือดที่ฟุเจียว อู๋อ๋องออกรบลงมือตีกลอง
บัญชาการด้วยตนเอง เพื่อเป็นกำลังใจแก่เหล่าไพร่พล
การรบคราวนี้ เย่อ๋องโกวเจี้ยนพ่ายแพ้ยับเยิน ทหาร ๓ หมื่นเหลือรอดตายไปอยู่เขาฮุ่ยจีชาน
พร้อมกับโกวเจี้ยนเพียง ๕ พันคน เย่อ๋องพิจารณาดูสถานการณ์ก็เห็นว่าความพ่ายแพ้ของตน
มิอาจหลีกเลี่ยงได้เป็นแน่นอน จำต้องหาทางรักษาเอาตัวรอดไว้ก่อน ค่อยคิดการแก้ไขกันภายหลัง
จึงส่งเหวินจ่งเสนาบดีไปขอเจรจาสงบศึกกับอู๋อ๋องโดยผ่านไป่พี่

การขอสงบศึกของเย่อ๋อง ได้ก่อให้เกิดการโต้แย้งกันชุลมุนในค่ายของอู๋อ๋องฟูชา ในขณะนั้น
ไป่พี่มีความเห็นให้ใช้หลักเมตตาธรรมยอมรับการเจรจาสงบศึกกับเย่อ๋อง เพื่อให้เป็นที่ทราบ
โดยทั่วกันว่า ฟูชาเป็นผู้มีจิตใจกรุณาจักได้หาโอกาสครอบครองเอาจงหยวนในภายหลัง
แต่อู่จื่อชีมีความเห็นให้ฆ่าโกวเจี้ยนเสีย เพื่อมิให้เป็นภัยแก่แคว้นอู๋ในภายหลัง เดิมที อู๋อ๋องฟูชา
คิดจะครอบครองจงหยวนอยู่แล้ว ความเห็นของไป่พี่จึงต้องด้วยความประสงค์ของฟูชา บวกกับไป่พี่
ได้รับสินบนจากเย่อ๋องในการนี้จึงกล่าวสนับสนุนการขอเจรจาอย่างเต็มกำลังว่า
“แม้ท่านไม่เจรจาด้วยกับเย่อ๋อง เย่อ๋องก็จักต้องสู้ตายเป็นแม่นมั่น ข้าพเจ้ายังได้ข่าวมาว่า เย่อ๋อง
เตรียมจะฆ่าครอบครัวและลูกเมียจนหมดทุกคน พร้อมทั้งทำลายทรัพย์สินอันล้ำค่าของแผ่นดินไปสิ้น
รบจนตัวตายกับท่าน แม้ท่านจะชนะ แคว้นเย่ก็ไม่เหลืออะไรอยู่อีกเลย ดังนี้

จะมีประโยชน์อันใดแก่แคว้นอู๋ของเราเล่า? มิหนำช้ำ ท่านก็ยังจะสูญเสียชื่อเสียงแห่งความเมตตา
กลับกัน ท่านก็จะได้รับการยกย่องสรรเสริญจากผู้คนทั้งปวง ความสนับสนุนก็จักหลั่งไหลมายังท่าน
การเข้าครอบครองจงหยวนก็จัดสำเร็จในไม่ช้า ฟู่ชาเห็นด้วยกับความเห็นของไป่พี่ในที่สุด
ยินยอมให้โกวเจี้ยนมาเจรจาสงบศึก แต่อู่จื่อชีก็ยังคงยืนยันในความเห็นของตน เตือนอู๋อ๋องว่า
“แคว้นเย่กับแคว้นอู๋เรามีดินแดนติดต่อกันอยู่ แต่ก็เป็นคู่อาฆาตกันมาหลายชั่วคน บัดนี้เราชนะแล้ว
แต่กลับมิขจัดผู้ครองแคว้นเย่ให้สูญสิ้น ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปนี่คือการส่งเสริมศัตรูให้มีโอกาสฟื้นตัว
ถ้าเป็นเช่นนี้ อู๋ก็จะถูกเย่ล้มเสียในไม่ช้า ขอให้ท่านจงใคร่ครวญให้ดี” แต่ฟูชาไม่ฟังคำเตือนของอู่จื่อชี
รับแคว้นเย่ให้เป็นแคว้นที่อยู่ในการปกครองของแคว้นอู๋ แล้วให้โกวเจี้ยนสามีภรรยา
มาเป็นผู้รับใช้ในวังของตน

โกวเจี้ยนและภรรยานำฟ่านหลี เสนาบดีของตนมายังเมืองหลวงของแคว้นอู๋ด้วย กลางวันก็เป็นสารถี
และดูแลม้าให้ฟูชา กลางคืนก็ไปนอนหนาวอยู่ในห้องศิลาอันเยือกเย็น โกวเจี้ยนสามีภรรยาและฟ่านหลี
อยู่ในแคว้นอู๋ ๓ ปี ปรนนิบัติฟูชาดังหนึ่งบิดา ในที่สุดฟูชาก็กระเทือนใจในพฤติการณ์
อันอ่อนนอบน้อมถ่อมตนของโกวเจี้ยน คิดจะปล่อยให้โกวเจี้ยนกลับแคว้นเย่ไป แม้อู่จื่อชี
จะพยายามทักท้วงอย่างสุดกำลังว่า จักเป็นการปล่อยเสือเข้าป่า อันจะก่อให้เกิดเภทภัยแก่แคว้นอู๋
อย่างไม่มีที่สิ้นสุดในวันหลัง แต่อู๋อ๋องก็มิฟัง ยังคงปล่อยให้โกวเจี้ยนกลับแคว้นเย่
ไปตามความตั้งใจเดิมของตน

๓ ปีของชีวิตแห่งการเป็นข้าทาสในเมืองหลวงของแคว้นอู๋ โกวเจี้ยนและภรรยามีความเจ็บแค้น
ในความอัปยศอดสู่ที่ได้รับอย่างยิ่ง เมื่อกลับถึงแคว้นเย่ก็มิได้ลืมความทุกข์ยากในห้องศิลา
แม้สักเวลาเดียว ทางหนึ่งก็สั่งให้เหวินจ่งเสนาบดีฝ่ายบุ๋นเร่งปรับปรุงการปกครอง อีกทางหนึ่ง
ก็ให้ฟ่านหลีเร่งปรับปรุงฝึกปรือเหล่าไพร่พล ส่วนตัวเองนั้น ก็กินอาหารหยาบไม่มีเนื้อสัตว์
เสื้อผ้าก็สวมใส่แบบพื้น ๆ แต่ละครั้งที่ไปตรวจตรวจเยี่ยมราษฎร เมื่อไปพบชาวนาทำไร่ไถนา
ก็ลงมือไปช่วยทำนาด้วย ส่วนภรรยาเยี่ยมราษฎรก็ปั่นด้ายทอผ้าร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชาวบ้าน
อย่างใกล้ชิด ตกกลางคืน ก็ไม่นอนฟูก แต่กลับไปนอนบนกองฟืนแข็งกระด้าง ขรุขระ และแขวนดีหมูไว้
ที่หน้าห้อง ยามเข้าออกก็เอามาแตะลิ้นให้รู้รสขม เพื่อมิให้หลงลืมความอาฆาตแค้นต่ออ๋องฟูชา
ที่จะต้องแก้กันให้สิ้นไปสักวันหนึ่ง

เสนาบดีเหวินจ่ง ก็แนะอุบายแก่โกวเจี้ยนว่า “นกซึ่งบินสูง ตายเพราะอาหารอร่อย ปลาในน้ำลึก
ตายเพราะเหยื่อหอม ถ้าท่านประสงค์จะล้างความอัปยศของท่าน ก็พึงคล้อยตามความพึงพอใจของฟูชา
หลังจากนั้นจึงจะสามารถกำจัดฟูชาได้” ครั้นแล้วก็บอกแก่โกวเจี้ยนถึงกลวิธีในการล้มล้างแคว้นอู๋
ที่สำคัญคือหาทางทำให้ฟูชาใฝ่หาหกมุ่นอยู่แต่การส้องเสพ จิตใจปวกเปียกไม่สนใจกิจการบ้านเมือง
ทำให้เกิดความแตกร้าวขึ้นภายในแคว้นอู๋ ในขณะเดียวกัน แคว้นเย่เองก็ให้มุ่งล้างความอับอาย
เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทุกคนตระเตรียมไพร่พลให้แกร่งกล้า รอคอยใอกาสล้มอู๋เสีย

ดังนั้นโกวเจี้ยนก็จัดหาแพรพรรณ ขนสัตว์และของมีค่าอื่นๆ ส่งไปเป็นบรรณาการแก่อู๋อ๋องฟูชามิได้ขาด
เมื่ออู๋อ๋องฟูชาจัดสร้างวังกูชูไถของตนเสร็จแล้ว เย่อ๋องโกวเจี้ยนก็จัดคัดเลือกสาวงามทั่วประเทศ
เพื่อส่งไปเป็นบรรณาการแก่ฟูชา โกวเจี้ยนพบสาวงามที่เขตเขาหนิงหลอ (ในมณฑลเจ็อเจียงปัจจุบัน)
๒ นาง นางหนึ่งชื่อ ซีซือ (ไซซี) อีกนางหนึ่งชื่อ เจิ้นต้าน จึงนำตัวเข้าวัง ฝึกสอนกิริยามารยาท
และพิธีรีตองต่างๆ ให้ขับขานดนตรี และจับระบำรำฟ้อนทุกอย่างจนคล่องแคล่ว ๓ ปีให้หลัง
สาวงามทั้งสองนางก็อยู่ในวัยสะพรั่ง โกวเจี้ยนจึงให้นำฟ่านหลีนำไปยังแคว้นอู๋เพื่อมอบให้กับอู๋อ๋องฟูชา

เมื่อเข้าพบกับอู๋อ๋องฟูชา ฟ่านหลีจึงกล่าวแก่ฟูชาว่า “โกวเจี้ยนผู้ต่ำต้อยแห่งทะเลตะวันออก
มีความขอบคุณท่านอ๋องอยู่มิรู้ลืม แต่เนื่องจากไม่อาจจะนำภรรยามาปรนนิบัติท่านอ๋องด้วยตัวเอง
จึงจัดให้ ข้าพเจ้าสาวใช้มา ๒ คน เพื่อปรนนิบัติท่านอ๋องแทน ขอท่านอ๋องได้โปรดรับความปรารถนาดี
ของโกวเจี้ยนไว้ด้วย” อู๋อ๋องฟูชาเมื่อได้เห็นซีซื่อกับเจิ้นต้าน ก็ตกตระลึงในความงามของนาง
ให้รู้สึกขอบใจในโกวเจี้ยนเป็นอันมาก เข้าใจว่า โกวเจี้ยนยังคงกตัญญูรู้คุณในตนมิผันแปร

อู่จื่อซีเห็นมิเป็นการ จึงท้วงขึ้นว่า “ในอดีตกาล เซียเจี้ย อินโจ้ว โจวซิวอ๋อง ก็ล้วนแต่สิ้นชื่อเพราะอิสตรี
เซี๋ยพินาศเพราะเม่ยสี่ อินบรรลัยเพราะต๋าจี่ โจวล่มจมเพราะเปาสื้อ สาวงามแท้ที่จริงแล้ว
คือต้นตอแห่งความวิบัติท่านอ๋องควรจะพิจารณาไตร่ตรองให้รอบครอบ” ฟูชาหลงสน่ห์ ๒ สาว
ตั้งแต่ตอนแรกที่พบแล้ว จึงไม่ฟังเสียงทัดทานของอู่จื่อซีแต่ประการใดทั้งสิ้น
ก่อนฟ่านหลีจะเดินทางกลับ ก็ได้ลักลอบสั่งความซีซื่อว่า ให้บรรลุในอุบาย ๒ ประการ

หนึ่งคือให้อู๋อ๋องฟูชาหมกมุ่นอยู่แต่สุราและกามารมณ์ ซึ่งซีซือจะต้องเป็นผู้ปรนเปรอให้อย่างสุดความสามารถ
สองคือจักต้องให้อู๋อ๋องเกิดแตกคอกับอู๋จื่อชีผู้เป็นก้างขวางคอของแคว้นเย่ไปทุกอย่าง

นับแต่นั้นมา อู๋อ๋องฟูชาก็หาความสำราญกับซีซือและเจิ้นต้านทุกคืนวันแต่ซีซืออ้อนแอ้นอรชร
และมีจริตชวนพิสมัยยิ่งกว่าเจิ้นต้าน ซึ่งซีซือก็ปรนเปรออู๋อ๋องฟูชาอย่างสุดฝีมือตามคำสั่งของฟ่านหลี
ฟูชาจึงหลงใหลในตัวซีซืออย่างไม่ลืมหูลืมตา และมักจะปล่อยให้เจิ้นต้านอยู่ในวังเดิม
แล้วพาซีซืออย่างไปหาความสำราญยังวังใหญ่ที่กูชูไถ ถือกูชูไถเป็นบ้าน มิยอมคืนวัง
ต่อมาอู๋อ๋อ ก็ให้สร้างวังสวยงามให้กับซีซืออีกแห่งหนึ่งที่เขาหลิงเอี่ยนชานเป็นเฉพาะ
และนำซีซือท่องเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ จนมิเป็นอันใส่ใจในราชการบ้านเมือง

ในขณะที่อู๋อ๋องฟูชาหลงกลสาวงามของโกวเจี้ยนอย่างโงหัวไม่ขึ้น อู่จื่อซีก็ได้ข่าวว่า
ทางแคว้นเย่ฝึกทหารกันทุกวันอย่างคร่ำเคร่ง ก็คิดวิตกทุกเช้าค่ำจึงถอนหายใจรำพึงว่า
“แคว้นเย่ยังดำรงอยู่ตราบใด ก็เป็นอันตรายร้ายแรงแก่แคว้นอู๋อยู่ตราบนั้น” เมื่อมีโอกาสคราใด
อู่จื้อชีเป็นต้องท้วงติงฟูชามิให้คลายความระมัดระวังต่อเย่อ๋องโกวเจี้ยนเป็นอันขาด
เนื่องจากอู่จื่อชีเป็นขุนนางเก่าแก่ ซึ่งสัตย์จงรัก พูดจาตรงไปตรงมาเป็นขวานผ่าซาก
จึงทำให้อู๋อ๋องเกลียดชังเป็นกำลัง ประกอบกับซีซือคอยเป่าหูอู๋อ๋องอยู่ทุกครั้งเมื่อมีโอกาสอู๋อ๋องฟูชา
จึงยิ่งไม่อยากเห็นหน้าฟังคำทักท้วงที่ชวนรำคาญของอู่จื่อชียิ่งขึ้น

๔๘๔ ปีก่อนคริสต์กาล แคว้นฉีจะบุกแคว้นหลู่ ขงจื้อจึงให้อู่จื้อกับลูกศิษย์ไปเกลี้ยกล่อมแคว้นต่าง ๆ
เพื่อช่วยให้แคว้นหลู่พ้นภัย จื่อกังไปเจรจากับแคว้นฉีทำให้แคว้นฉีเปลี่ยนความคิด ไปตีแคว้นอู๋แทน
ครั้งแล้วจื่อกังก็ออกเดินทางไปในตอนกลางคืน เกลี่ยนกล่อมให้อู๋อ๋องฟูชายกทัพไปตีแคว้นฉีช่วยแค้นหลู่
ขณะนั้น อู๋อ๋องฟูชา ได้ข่าวว่า โกวเจี้ยนกำลังฝึกปรือทหารอยู่อย่างขะมักเขม้น เพื่อจักแก้แค้นความพ่ายแพ้
ที่เขาฮุ่ยจีชาน จึงเตรียมการยกทัพไปตีแคว้นเย่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อจื่อกังเข้าพบ ฟูชาจึงกล่าวแก่จื่อกังว่า
“รอเราตีแคว้นเย่เสียก่อน แล้วจึงจะไปตีแคว้นฉีช่วยแคว้นหลู่ ท่านจะเห็นเป็นประการใด?”
จื่อกังอธิบายผลได้ผลเสียในการตีแคว้นฉีกับแคว้นเย่ให้ฟัง แล้วว่าหากท่านอ๋องเป็นกังวลด้วยแคว้นเย่
ข้าพเจ้ายินดีจะไปพบโกวเจี้ยน ให้เขาส่งทหารมาช่วยท่านตีแคว้นฉีด้วย ดังนี้ ก็คงจะเป็นที่คลายกังวล
แก่ท่านได้เป็นแน่” อู๋อ๋องจึงรับคำ

จื่อกังจึงเดินทางไปเจรจากับแคว้นเย่อีก โกวเจี้ยนเพื่อที่จะมึนชาความะแวงสงสัยของอู๋อ๋อง
จึงส่งทหาร ๓ พันไปช่วยอู๋ตีฉี ฟูชาจึงเห็นว่าเย่อ๋องโกวเจี้ยนยังคงจงรักภักดีต่อตนด้วยดี
แต่อู๋จื่อมองเจตนาของโกวเจี้ยนได้ตลอดจึงท้วงขึ้นว่า “ภัยของแคว้นอู๋อยู่ที่แคว้นเย่มิใช่แคว้นฉี
ขณะนี้ หากเราไม่รีบกำจัดแคว้นเย่แล้ว อีกไม่นานแคว้นเราก็จะถูกแคว้นเย่ล่ม ดุจดังเรียกหมอมารักษาไข้
แต่แล้วกลับบอกให้หมดปล่อยต้นตอของการเจ็บไข้ได้ป่วยเอาไว้การทำดังนี้ภัยร้ายแรง
ที่จะเกิดขึ้นภายภาคหน้า จักมากมายสุดคณานับ” ฟูชามิฟัง ถือว่าการตีฉีช่วยหลู่คือ
เส้นทางไปสู่การครอบครองจงหยวนตามความประสงค์ของตน จึงเกณฑ์ทหาร ๑๐ หมื่น
ยกไปตีทางซานตง ฉีพ่านแพ้ยับเยิน

เมื่ออู๋อ๋องได้ชัยกลับมา ก็รีบไปหาซีซื่อยังวังใหใหม่ก่อนอื่น กินเหล้าเคล้าซีซืออยู่ ๓ วัน ๓ คืน
จึงได้กลับมาออกขุนนาง ขุนนางทั้งหลายก็แซ่ซ้องสรรเสริญกันอึงคะนึง หลายวันต่อมา
เย่อ๋องโกวเจี่ยนก็มาแสดงความยินดีในชัยชนะต่ออู๋อ๋องด้วนตนเอง พร้อมทั้งนำเครื่องบรรณาการ
มามอบให้อู๋อ๋อง และนำของขวัญมาแจกจ่ายแก่เหล่าแม่ทัพนายกองที่มีความดีความชอบโดยทั่วหน้ากัน
อู๋อ๋องฟูชามีความยินดี จัดสุราอาหารต้อนรับเย่อ๋องโกวเจี้ยนอย่างมโหฬารด้วยเห็นว่า
แคว้นเย่ก็มีความดีความชอบในการส่งทหารมาช่วยตีแคว้นฉี และจึงคืนดินแดนแคว้นเย่
ทียึดไว้แก่เย่อ๋องไปจนสิ้น พร้อมกับให้รางวัลแก่แม่ทัพนายกองผู้มีความดีความชอบทุกตัวคน
ยกเว้นอู่จื่อซี

อู่จื่อซีได้รับความอับอายเป็นอันมาก จึงร้องให้กล่าวว่า “ท่านอ๋องเห็นผิดเป็นชอบ
เชื่อคนสอพลอส่อเสียดผู้จงรัก แผ่นดินของแคว้นอู๋เห็นทีจะสิ้นด้วยน้ำมือของท่านอ๋องเป็นแน่แล้ว”
อู๋อ๋องฟูชาไม่พอใจอู่จื่อซีเป็นทุนเดิมอยู่รบกลับมาในคราวนี้ ก็ถูกไป่พี่ซึ่งกินสินบนของเย่อ๋อง
โกวเจี้ยนใส่ความอีกว่าอู่จื่อซีคงจะสมคบกับแคว้นฉี จึงคัดค้านอย่างหัวเด็ดตีนขาดมิให้ตีแคว้นฉี
เมื่อบวกกับซีซือคอยยุแย่ให้ร้ายตามอุบายที่ฟ่านหลีได้สั่งเอาไว้ อู๋อ๋องจึงบันดาลโทสะในถ้อยคำ
อันจาบจ้วงของอู่จื่อชีอย่างสุดขีด ลุกขึ้นยืนตัวสั่นพลางโยนคาบอาญาสิทธิ์ให้กับอู่จื่อซี
บอกให้ปลิดชีวิตตัวเองเสีย

อู่จื่อซีเงยหน้าขึ้นมองฟ้าด้วยน้ำตานองหน้า พลางตัดพ้อด้วยความโศกเศร้าว่า
“ท่านอ๋องฟูชา ข้าพเจ้าเคยตีแคว้นฉู่ถล่มแคว้นเย่ มีความดีความชอบและสัตย์ชื่อต่อแคว้นอู๋มาช้านาน
บัดนี้ท่านกลับมามัวเมาด้วยอิสตรี เชื่อคำยกยอปอปั้น มิฟังคำเตือนของข้าพเจ้า ซ้ำยังให้ข้าพเจ้า
ปลิดชีวิตตัวเอง ท่านนี้กลับตาลปัตรความซื่อกับ ความคดไปหมดสิ้น ดังนี้แคว้นอู๋ก็คงจักอยู่ได้ไม่นาน
เมื่อถึงเวลานั้น ท่านจะเสียใจก็ช้าไปก็ช้าเกินการเสียแล้ว” อู่จื่อซีพูดจาจบก็ใช้ดาบเชือดคอตัวเองตาย
อู๋จื่อซีจบชีวิตไปแล้ว อู๋อ๋องฟูชาก็สิ้นคนที่คอยท้วงติงกีดหน้าขวางตาจึงพาซีซือออกท่องไปตามที่ต่าง ๆ
ละใฝ่ฝันที่จะเป็นใหญ่ในจงหยวนให้ได้ ๔๘๒ ปีก่อนคริสตกาล อู๋อ๋องฟูชาก็สั่งให้ขุดคลองยาวถึง ๑๔๐ ลี้
เพื่อใช้เดินทางไปจัดชุมนุมผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ณ เมืองหวงฉือ (ในมณฑลเหอหนานในปัจจุบัน)
เพื่อชิงตำแหน่งประมุขของทุกแว่นแคว้นกับจิ้นติ้นกงแห่งแคว้นจิ้น เมื่อคลองขุดขุดสำเร็จ
อู๋อ๋องก็ให้บุตรชาย ๓ คนรักษาเมืองหลวงเอาไว้ ตนเองนำทหารชาญศึกออกเดินทางไป
ชิงตำแหน่งประมุขผู้ครองแคว้นตามคลองขุดยังเมืองหวงฉือตามกำหนด

ทหารชาญศึกถูกอู๋อ๋องฟูชานำไปยังเมืองหวงฉือหมด ในแคว้นอู๋ก็เหลืออยู่แต่ทหารที่มิสู้ได้ความ
เย่อ๋องโกวเจี้ยนได้ทราบข่าวดังนั้นก็เห็นเป็นโอกาสจึงนำทัพทั้งทางบกและทางเรือบุกแคว้นอู๋ด้วยตัวเอง
ไพร่พลของแคว้นเย่ล้วนแต่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี จึงตีทัพอู๋พ่ายแพ้ยับเยินไปตลอดทาง
จนในที่สุดก็เข้าล้อมเมืองหลวงของแคว้นอู๋ไว้ได้อย่างหนาแน่นทั้งทางบกและทางน้ำ บุตรชายของฟูชา
จึงรีบมีหนังสือไปแจ้งข่าวศึกแก่ฟูชา ณ เมืองหวงฉือ

ขณะนั้น อู๋อ๋องฟูชากำลังพุ่งรบกับจิ้นติ้งกงอยู่เพื่อเอาชนะในการเป็นผู้ดื่มเลือดน้ำสาบาน
ซึ่งหากผู้ใดชนะก็จะได้ดื่มก่อนและจะได้เป็นประมุขของแว่นแคว้นต่าง ๆ เมื่อคนส่งหนังสือไปถึง
แจ้งข่าวว่าเมืองหลวงคับขันให้รีบถอยทัพกลับไปช่วย อู๋อ๋องก็สะดุ้งอยู่ในใจ เกรงว่าข่าวจะรั่วไหล
จึงจับคนแจ้งข่าวฆ่าเสีย ครั้นแล้วก็นำทัพออกไปตั้งแนว ตนเองคุมกลองสัญญาณเพื่อเผด็จศึกให้เสร็จสิ้น
เนื่องจากฟูชานำกำลังไปมากกว่าจิ้นติ้งกงรบกันหลายครั้งก็แพ้แก่อู๋อ๋องฟูชา ทุกครั้ง ครั้นเห็นฟูชาตั้งแนว
จะรบขั้นแตกหักดังนั้น หากขืนปะทะด้วยก็มิผิดกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ จึงจำใจยอมให้ฟูชาดื่มเลือดก่อน
และได้เป็นประมุขของแว่นแคว้นต่างๆ บรรดาที่มาชุมนุมกัน

เมื่อเสร็จจากงานนี้แล้ว อู๋อ๋องก็รับนำทัพกลับแคว้นตน แต่ข่าวที่แคว้นอู๋ถูกแคว้นเย่ตีก็ได้แพร่ไปในหมู่ไพร่พลแล้ว
บวกกับเหล่าไพร่พลต้องเดินทางรอนแรมมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ที่ได้รับความเสียหายบาดเจ็บล้มตาย
จากการแย่งตำแหน่งประมุขกับจิ้นติ้งกงก็ไม่น้อย จิตใจของไพร่พลแต่ละคนจึงอ่อนปวกเปียก
มิมีใจจะสู้รบปรบมืออีกต่อไป ฟูชารู้ว่า หากตนขืนนำทัพไปรบในสภาพที่ขวัญทหารไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้
ก็รังแต่จะพ่านแพ้ จึงส่งไป่พี่ไปเจรจาของสงบศึกยังค่ายของแคว้นเย่โกวเจี้ยนก็คำนึงถึงว่า
อาศัยแต่กำลังของตนที่มีอยู่ในปัจจุบัน คงจะยังไม่สามารถกลืนแคว้นอู๋ได้ทั้งหมด จึงยอมเจรจาถอยทัพกลับไป
นับแต่นั้นมา แคว้นอู๋ที่ผ่านการกวาดล้างของแคว้นเย่ก็ทรุดโทรมลงทุกวันสุดปัญญาที่อู๋อ๋องฟูชาจักแก้ไข
ให้กระเตื้องขึ้นมาได้ ส่วนแคว้นเย่กลับคึกคักเหิมหาญยิ่งขึ้น ๔๗๘ ปีก่อนคริสต์กโกวเจี้ยนก็บุกแคว้นอู๋ช้ำอีก
แคว้นอู๋ต้องพ่ายแพ้ย่อยยับไปเป็นครั้งที่ ๒

๔๗๓ ปีก่อนคริสต์กาล เย่อ๋องโกวเจี้ยนก็นำทัพที่ฝึกปรือมาอย่างดี รุกเข้าแคว้นอู๋อีก ทัพอู๋ต้านทานไม่ไหว
ต้องถอยร่นจนเมืองหลวงก็ต้องเสียแก่โกวเจี้ยนไป ตัวอู๋อ๋องฟูชาหนีเข้าไปหลบอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่ง
ชื่อหยางซาน ฟูชาหมดหนทาง จึงส่งซุนเหวยเสนาบดีของตนไปขอเจรจาสงบศึก แต่คราวนี้โกวเจี้ยนไม่ยอม
จับตัวฟูชาเนรเทศไปอยู่เสียที่เมืองหย่งตงแดนกันดารในแคว้นเย่ แคว้นอู๋ต้องล่มจมไปด้วยน้ำมือของโกวเจี้ยน
ผู้นอนบนกองฟืนและลิ้มรสดีขมเพื่อเตือนตัวเองไปในบัดนั้น

อู๋อ๋องฟูชาเมื่อสิ้นแผ่นดินถูกเนรเทศไปยังเมืองหย่งตงฐานะเชลยศึกอย่างอัปยศเช่นนั้น ก็ร้องให้รำพึงว่า
“เพราะเราไม่เชื่อคำเตือนของอู๋จื่อซีแต่แรก จึงไม่มีแม้แต่ใบไม้จะคุ้มหัว” ว่าแล้วก็ชักดาบฆ่าตัวตาย
กลสาวงามของโกวเจี้ยนและฟ่านหลี ก็สำเร็จลุล่วงสมความปรารถนาไปด้วยประการฉะนี้?

กลสาวงามเรื่องซีซือ ได้กลายเป็นแบบฉบับของกลสาวงาม และได้ถูกนำไปใช้กันอยู่เสมอๆ
ตั้งแต่สมัยโบราณของจีนเรื่อยมา

กลยุทธ์นี้ จึงมีผู้สรุปว่า
“เมื่อข้าศึกมีความเข้มแข็งประดุจกำแพงเหล็ก มิมีจุดอ่อนที่จะทะลวงเราไปได้
วิธีเอาชนะแต่เพียงหนึ่งเดียว ก็คือจะต้องแทรกซึมเข้าไปภายในของข้าศึกดุจดั่งหนอนกินลูกแอปเปิ้ล
เจาะไซจากภายในออกมาภายนอก จนเน่าไปทั้งลูกฉะนั้น และขุนทัพย่อมเป็นหัวใจของกองทัพ
เป็นประมุขของไพร่พล ถ้าขุนทัพถูกทะลวงจุดอ่อนจนหลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียงแล้วไซร้
ก็จะมีอันเป็นไปไร้สมรรถภาพ จักมิพ่ายแพ้หาได้ไม่”
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:30 am

กลยุทธ์ที่ ๓๒ กลเปิดเมือง
กลวงยิ่งทำกลวง สงสัยยิ่งให้สงสัย ท่ามกลางแข็งกับอ่อน พิสดารซ้อนพิสดาร

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า กำลังเราอ่อนก็ยิ่งจงใจแสดงให้เห็นว่า มิได้มีการป้องกันเลย
ทำให้ข้าศึกฉงนสนเท่ห์ ในสภาวะที่ข้าศึกมีกำลังมาก เรามีน้อย การใช้กลยุทธ์เช่นนี้
ก็มีความพิสดารพันลุกเป็นทวีคูณ “ท่ามกลางแข็งกับอ่อน” มาจาก “คัมภีร์อี้จิง แก้” ใช้ควบกับคำว่า
“พิสดารซ้อนพิสดาร” ซึ่งหมายความว่า ในขณะที่ข้าศึกแข็งเราอ่อน ให้จัดกำลังโดยใช้กลยุทธ์
“กลวงยิ่งทำกลวง” แสดงให้เห็นถึงความพิสดารในกลศึกที่ข้าศึกคาดคิดไม่ถึง อุบายนี้ เป็นกลยุทธ์
ในการใช้วิธีเปิดเมืองหรือปล่อยเมืองว่างโล่ง ทำให้ข้าศึกเกิดความงงงวย ใช้ทั้งเท็จและจริง
ล่อหลอกให้ข้าศึกถอยไป เพราะมิรู้ตื้นลึกหนาบางอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ
ในสมัย “สามก๊ก” ก็มีกลเปิดเมืองของขงเบ้ง ในตอนที่ขงเบ้งเสียทีแก่สุมาอี้จนต้องเสียเมืองเกงเต๋ง
และเมืองหลิวเซียไป ซ้ำในเมืองเสเสียก็เหลือทหารน้อยตัว สุมาอี้กำลังฮึกเหิมในชัยชนะ
จึงยกทัพมามืดฟ้ามัวดิน จะขจัดขงเบ้งเสียให้สิ้น เรื่องราวในตอนนี้ จะขออัญเชิญสำนวนแปล
ของท่านพระยาคลัง (หน) มานำเสนอไว้ ณ ที่นี้

ขณะนั้นม้าใช้มาบอกว่า สุมาอี้ยกทหารมาแล้ว ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็ตกใจทหารทั้งปวงก็หน้าชีดไปสิ้นทุกคน
ขงเบ้งรู้ว่ามีทหารน้อยตัวและทหารผู้ใหญ่ไม่อยู่ มิรู้ที่จะสู้รบประการใด จึงขึ้นไปดูบนเชิงเทิน
เห็นทหารสุมาอี้มาเป็นอันมากดังหนึ่งจะเหยียบเมืองเสีย จึงให้รื้อถอนธงที่ปักไว้บนกำแพงนั้นลงเสียสิ้นแล้ว
ให้เปิดประตูเมืองไว้ทั้งสี่ด้าน จัดทหารและชาวบ้านให้กวาดทางประตูเมืองเป็นปกติอยู่ประตูละยี่สิบคน
มิให้สะดุ้งสะเทือน แล้วก็ขับให้ทหารทั้งปวงเช้าซุ่มเสียมิให้พูดจากันเป็นปากเสียง จึงว่าเราจะคิดกลอุบาย
อันหนึ่งให้สุมาอี้ถอยไปจงได้ ถ้าผู้ใดเจรจาอื้ออึงไปจะตัดศีรษะเสีย สั่งแล้วขงเบ้งก็ แต่งตัวโอ่โถง
พาเด็กน้อยสองคนขึ้นบนหอรบ ให้เด็กนั้นถือกระบี่คนหนึ่ง คนหนึ่งถือแส้ยืนอยู่ทั้งสองข้าง
แล้วตั้งกระถางธูปบูชาไว้ข้างหน้า ก็นั่งดีดกระจับปี่เล่นอยู่

ฝ่ายทหารกองหน้าของสุมาอี้ยกเข้ามาใกล้เชิงกำแพงเมือง แลขึ้นไปดูบนหอรบ
เห็นขงเบ้งนั่งดีดกระจับปี่อยู่ก็คร้ามใจกลับออกไปบอกสุมาอี้ว่าบัดนี้ข้าพเจ้ายกเข้าถึงกำแพง
เห็นเมืองเงียบอยู่ มีแต่คนประตูละยี่สิบคนนั่งกวาดหยากเยื่อเฉยอยู่ แล้วตัวขงเบ้งขึ้นนั่งดีดกระจับปี่เล่น
อยู่บนเชิงหอรบเห็นประหลาดนัก จะเข้าเมืองนั้นก็เกรงจะถูกกลขงเบ้ง จึงกลับมาบอกท่าน
สุมาอี้ไดฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงว่า ขงเบ้งนี้จะอาจหาญกระนั้นเจียวหรือ เรามิเชื่อจะไปดูเอง
สุมาอี้ขึ้นม้าพาทหารไปประมาณยี่สิบคน ยืนอยู่แต่ไกลเชิงกำแพง แลขึ้นไปเห็นขงเบ้งแต่งตัวโอ่โถง
หน้าตาแช่มชื่นบานสบายอยู่ ก็คิดว่ากองทัพเรายกมาเป็นการจวนตัวถึงเพียงนี้ ขงเบ้งหาได้มีความสะดุ้ง
คิดฉะนั้นแล้วก็กริ่งใจแล้วว่าขงเบ้งจะชุ่มทหารไว้ ก็ชักม้าพาทหารกลับไปความกลัวมิทันจัดแจงทหาร
ก็ให้กองหน้าเป็นกองหลังขับทหารรีบถอยออกมา

สุมาเจียวผู้บุตรห้ามว่า เหตุไฉนบิดาจึมากลัวขงเบ้งดังนี้ ขงเบ้งนี้เป็นคนสิ้นทหารสุดความคิดสู้เรามิได้แล้ว
ก็ชังตายแข็งใจทำกลเปล่าๆ อยู่ สุมาอี้จึงว่า ตัวเจ้าหนุ่มแก่ความยังมิรู้สันทัดเคยกลขงเบ้ง
อันขงเบ้งเป็นคนมีสติปัญญาชำนาญในการสงครามนัก จะทำการสิ่งใดก็แน่นอน เคยทำกลศึกมีชัยมาหลายครั้ง
เจ้ามีสติปัญญาแต่เพียงนี้ จะล่วงดูหมิ่นขงเบ้งเป็นผู้ใหญ่แก่ในการศึกนั้นมิบังควร แม้จะขืนทำล่วงเกินไป
ก็จะต้องกลขงเบ้งพากันตายเสียสิ้น ซึ่งถ้อยคำของเจ้าว่าจะเชื่อฟังมิได้ แล้วก็เร่งขับทหารทั้งปวงให้รีบไป
ขงเบ้งเห็นทหารยกกลับไปก็ตบมือหัวเราะ ทหารทั้งปวงจึงถามว่าสุมาอี้ยกทหารมาห้าหมื่นจะทำร้ายท่าน
การจวนตัวอยู่ถึงเพียงนี้ เหตุใดท่านจึงมิกลัวตบมือหัวเราะเสียอีกเล่า ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งเราหัวเราะทั้งนี้เพราะ
เห็นสุมาอิ้รู้มิเท่าเรา สำคัญว่าเราซุ่มทหารไว้ก็ตกใจกลัวหนีไปเอง อันกลอุบายนี้เรามิทำก็จำทำด้วยจนใจ
จวนตัวอยู่แล้วก็จำเป็น และสุมาอี้กลับไปครั้งนี้เห็นจะไปทางน้อยริมเขาบุกองสันเป็นมั่นคง
ก็จะพบกองทัพกวนหิน เตียวเปา ซึ่งไปซุ่มอยู่ จะต้องด้วยกลของเราทำไว้จะไม่เสียทีเปล่า

ทหารทั้งปวงได้ฟังขงเบ้งว่าก็ยินดี ชวนกันลงมาคำนับแล้วว่า ถ้าเป็นใจข้าพจ้าทั้งปวงนี้
ที่ไหนจะแข็งใจอยู่ได้ก็จะทิ้งเมืองเสียพากันหนีไป ขงเบ้งจึงว่า ถ้าจะทำใจอ่อนทิ้งเมืองเสีย
เหมือนท่านว่านั้น ทหารเราสองพันห้าร้อยสักหยิบมือหนึ่งหรือจะหนีทหารสิบห้าหมื่นพ้น
เขาก็จะไล่จับเอาดังหนู ประเดี๋ยวหนึ่งก็จะจูงจมูกมาได้สิ้น ว่าแล้วตบมือหัวเราะ ทหารทั้งปวงก็ดีใจ
ขงเบ้งจึงว่า บัดนี้สุมาอี้ถอยทัพไปด้วยกลของเรานั้น ดีร้ายก็จะยกกลับมาทำร้ายเราอีกจะไว้ใจมิได้
ก็ให้กวาด ครอบครัวอพยพชาวเมืองทั้งปวงล่าถอยทัพมายังเมืองฮันต๋งสิ้น

กลยุทธ์จี้จึงมีผู้สรุปว่า
“เท็จเท็จจริงจริง” มักมีอยู่ในกลศึก ข้าศึกฉวยโอกาสยามเราอ่อนกำลังเราก็จงใจ
แสร้งทำให้อ่อนปวกเปียกลงไปอีก จนข้าศึกฉุกใจฉงนสงสัย เข้าใจผิดคิดว่าเราพร้อมรบแต่แสร้งลวง
เพื่อล่อหลอกให้ตกหลุมพราง นี้ถือเป็นสงครามจิตวิทยา โดยมิได้ใช้กำลังที่แท้เอาชนะข้าศึก
แต่ด้วยการพินิจพิจารณาภาวะจิตของแม่ทัพข้าศึก เอาชนะด้วยอุบายอัน แยบยล
จนข้าศึกหวั่นเกรงถอยกลับไปโดยเรามิได้พ่ายแพ้เสียทหารไปแม้สักคนในยามคับขัน"
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:31 am

กลยุทธ์ที่ ๓๓ กลไส้ศึก
ระแวงในระแวง มีผู้แฝงอยู่ภายใน ไม่เสียหายแก่เรา

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกสร้างอุบายเพื่อให้ฝ่ายเราเกิดแตกแยก เราก็พึงซ้อนกล
สร้างแผนลวงให้ข้าศึกเกิดร้าวฉาน ให้ข้าศึกระแวงสงสัยซึ่งกันและกัน ที่เราสามารถใช้เป็นประโยชน์ได้
“มีผู้แฝงอยู่ภายใน ไม่เสียหายแก่เรา” มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ช่วย” หมายความว่า เนื่องจากมีการช่วยเหลือ
มาจากภายในของข้าศึก จึงเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายเรา เราจึงมีความมั่นใจที่จะตีข้าศึกให้ย่อยยับไป
ตู้มู่ กวีจีนโบราณซึ่งเคยทำคำอธิบายแก่ “ตำราพิชัยสงครามซุน วู” ในสมัยราชวงศ์ถึง กล่าวไว้ว่า
“ข้าศึกส่งไส้ศึกมาดูเรา เราพึงล่วงรู้ก่อน หรือติดสินบนด้วยเงินหนา กลับมาให้เราใช้ หรือแสร้งทำไม่รู้
ปล่อยข่าวลวงให้ตายใจ ดังนี้ ไส้ศึกของข้าศึก ก็จักถูกเราใช้”

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ
ในบันทึกประวัติศาสตร์ “จือจื้อทงเจี้ยนเหล่มหลัง” ราชวงศ์ซ้องปีที่ ๑๐๘-๑๑๔
มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้

ปลายสมัยราชวงศ์ซ้องเหนือ ทหารจิน ( แมนจู ) บุกเข้าเมืองหลวงเปี้ยนจิง ( ในมณฑลเหอหนานปัจจุบัน)
จับพระเจ้าซ้องชินจงฮ่องเต้กับพระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ พระราชบิดา ไปเป็นเชลย
กลยุทธ์ใส้ศึกที่ใช้ในปัจจุบันอันได้แก่การใช้จารชนหรือสายลับตามที่ตำราพิชัยสงครามซุน วู
ได้กล่าวไว้เรื่องการใช้จารชน ซึ่งก็จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับการใช้ไส้ศึกนั่นเอง

ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีชื่อที่สุดในยุคนี้ในการใช้กลยุทธ์ใส้ศึกได้อย่างประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้เพราะ สหรัฐฯ ได้มีการศึกษาตำราพิชัยสงครามของ ซุน วู มาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในด้านการใช้ใส้ศึก หรือการใช้จารชน องค์กรที่ทำงานเป็นจารชนของสหรัฐฯ ที่มีเครือข่ายครอบคลุม
ทั่วทุกมุมโลกอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น คือองค์กร ซีไอเอ ( CENTRAL INTELLIGENCE AGENCY : CIA )
ที่มีชื่อเป็นภาษาราชการว่า “ องค์กรประมวลข่าวกลาง” ผลงานด้านการทำงานเป็นไส้ศึกตามกลยุทธ์นี้
มีมากมาหลายอย่างดังที่จะกล่าวต่อไป แต่ก่อนที่จะกล่าวด้านผลงานของ ซีไอเอ จะขอกล่าว
ความเป็นมาขององค์กรนี้ให้ทราบพอสังเขปก่อนดังนี้

เอกสารประกอบการบรรยายหลักสูตรนายทหารกิจการพลเรือนชั้นสูงรุ่นที่ ๑๕ ของ
โรงเรียนกิจการพลเรือนทหารบก ได้กล่าวเกี่ยวกับองค์กร ซีไอเอ ไว้มีความตอนหนึ่งว่า
“.............ในปี พ.ศ.๒๔๙๐ สองพี่น้องคาทอลิกแห่ง “ตระกูลดัลเลส” คือนาย อลัน ดัลเลส (Alan Dunlez)
และ นายจอนด์ฟอสเตอร์ ดัสเลส (John Foster Duslez) จัดตั้งองค์กรหนึ่งขึ้นในสหรัฐอเมริกาชื่อว่า
องค์การซี. ไอ. เอ.(CIA) มีชื่อเต็มว่า Central Intelligence Agency

ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๐ โดยมีลักษณะ เป็น “องค์การลับ” ใช้ปรัชญา “Divided & Rule”
องค์การ CIA ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของ “วาติกัน” และได้รับฉายาว่าเป็น “รัฐบาลนินจา”
เพื่อรักษาผลประโยชน์ของนายทุนอภิมหาเศรษฐีคาทอลิก 8 ตระกูลของอเมริกาผู้ก่อตั้ง
“Federal Reserve (FED)” ซึ่งเป็นเพียง “โรงพิมพ์ที่รับจ้างพิมพ์ธนบัตรให้กับรัฐบาลอเมริกา” ใน ๘ ตระกูลนี้
มี ๒ บริษัทที่น่าสนใจคือ
บริษัทเลแมนด์(Lehmans) และ บริษัทโกลแมนแซ็ค(Goldman-Sacks) ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับ
การประมูลซื้ออสังหาริมทรัพย์(ที่ดิน) ของประเทศไทย จาก ปรส.ในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ รวมอยู่ด้วย
(ประธานGoldman Sacks คือพ่อบุญธรรมของนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เมื่อครั้ง ไปศึกษาใน USA
เป็นผู้ตีราคาในการขายราคาทรัพย์สิน ปรส. บุคคลผู้นี้ได้มานั่งควบคุมการทำงานของนายธารินทร์ฯ
ที่กระทรวงการคลัง ในตำแหน่งที่ปรึกษา ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Huh)

องค์กร CIA มีหน้าที่หลักคือการขยายตลาดการใช้เงินดอลลาร์ ที่ FED จัดพิมพ์ขึ้นโดยไม่มีทองสำรอง
(แบงค์กงเต็ก) โดยสร้างสถานการความแตกแยกในประเทศต่าง ๆ และเข้าช่วยเหลือ จากนั้นเมื่อ
ผู้นำที่องค์กร CIA สนับสนุนได้เข้าเป็นรัฐบาลประเทศนั้น ๆ ก็จะถูกกำหนดให้ใช้เงินดอลลาร์
เป็นเงินตราสำรองของประเทศ และห้ามใช้ทองคำเป็นเงินสำรอง โดยองค์กรCIA จะให้รัฐบาลประเทศนั้น ๆ
นำทองคำที่มีอยู่ไปเก็บไว้ในประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งหมด โดยอ้างว่าเพื่อช่วยรักษาไว้ให้อยู่อย่างปลอดภัย
และตอบแทนเป็นเงินดอลลาร์ที่ FED พิมพ์ขึ้นเหมือน แบ็งกงเต็ก ซึ่งดอลลาร์จริง ๆ แล้วใบละ $๕๐๐ นั้น
ลงทุนไม่ถึง ๕ บาทไทย เป็นการทำให้ “กระดาษเปลี่ยนเป็นทองคำ” จึงเป็นการสร้างกำไรให้กับ
กลุ่มอิทธิพล FED นี้อย่างมหาศาล แต่กลับสร้างหนี้สินให้กับประเทศอเมริกาอย่างมหาศาล
(ดูบันทึกสภาคองเกรสในภาคผนวก) ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่า CIA ทำหน้าที่สร้างสงครามอยู่ทั่วไป
ทั้งนี้เพื่อเปลี่ยนกระดาษให้เป็นทองคำนั่นเอง

องค์กร CIA จะเข้าแทรกแซงและบ่อนทำลายสถานภาพทางการเมือง เศรษฐกิจและกิจการภายใน
ของประเทศอื่น รวมทั้งให้การสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน สร้างปัญหาความขัดแย้งในประเทศต่าง ๆ
อันเป็นการเปิดทางให้กับ “วาติกัน” ส่งบุคลากรของตนเข้าไปในรูปของ “บาดหลวง” หรือ
องค์กรสาธารณะกุศล และขยายพื้นที่ของอาณาจักรคาทอลิก เพิ่มจำนวนศาสนิกโรมันคาทอลิก
ซึ่งหมายถึงการเพิ่มผลประโยชน์จากรายได้ ๑๐% ของทั้งหมดในแต่ละแห่งนั้น ที่จะถูกส่งเข้าไปยัง
นครหลวงของอาณาจักรคาทอลิก คือ “นครวาติกัน” อันมีสันตะปาปาเป็นประมุข

บุคลากรที่ถูกคัดเลือกให้เข้าทำงานในองค์กร CIA จะถูกคัดเลือกจากบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษ
เฉลียวฉลาด รอบรู้ทุกด้าน สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างรวดเร็วฉับพลัน
ทุกคนจะต้องจบในหลักสูตรบังคับ “วิชาพฤติกรรมศาสตร์” เพื่อใช้ประโยชน์กับงานของ CIA
จากเอกสารลับ Pentagon เปิดเผยว่า CIA เป็นผู้วางแผนโค่นล้มระบอบกษัตริย์ของประเทศในเอเซีย
คือ เวียดนาม ลาว เขมร รวมทั้งการให้งบประมาณในการกวาดล้างชาวพุทธในประเทศเวียดนาม
มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด (ฝิ่น-เฮโรอีน) ในภาคเหนือของลาว-พม่า-ไทย
โดยให้การสนับสนุนกำลังอาวุธแก่นายพลวังปาว ชาวเขาเผ่าม้ง รวมทั้งการเกี่ยวข้องเชิงลึก
ในกรณีเจ้าสุภานุวงศ์ ประเทศลาว จึงจัดได้ว่า CIA ก็คือผู้ดูแลผลประโยชน์ทั้งหมดของคาทอลิก
อยู่ภายใต้การควบคุม และวางแผนของ “วาติกัน” อย่างต่อเนื่องตลอดมา(อ่านรายละเอียดใน
ไวรัสศาสนา : มหันตภัยของชาวพุทธ, ดร.เบ็ญจ์ บาระกุล)

เป้าประสงค์ร่วมกันของ “วาติกัน” กับ “CIA” ในการเข้ายึดครองประเทศไทย เพื่อเป็นฐานขยายผล
ครอบคลุมภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดนั้น ได้ปรากฏเป็นหลักฐานทางการของ
รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔ โดยนาย Lindon B. Johnson รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
(ต่อมาเป็นประธานาธิบดี) ทำแผนปฏิบัติการร่วมอย่างถาวรของสหรัฐ(ลับที่สุด) นำเสนอต่อ
ประธานาธิบดี John F. Kenede ในเอกสารลับนั้นมีข้อความระบุว่า

“ เราจะต้องสร้างสถานการณ์ สร้างภาพตัวศัตรูขึ้นมา แล้วยกขึ้นมาเป็นจุดสำหรับโฆษณา
ภายใต้สื่อสารการควบคุมของเรา และนำเอาเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ และระบบเศรษฐกิจอันทันสมัย
ที่เราแบบไว้แทรกเข้าไปใช้กับทางการตลาดและทางธุรกิจ(Enterprises)ของพวกเขา
เพื่อผลประโยชน์ของเรา ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลาง ของความต้องการอย่างแท้จริงของเรา
ในพื้นที่บริเวณนี้ การปฏิบัติการอย่างตั้งใจจริง และประกอบด้วยความสามารถอย่างเปี่ยมล้น
ที่จะเข้าควบคุมด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร จะต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ “วอชินตัน”
อย่างใกล้ชิด

การตัดสินใจ การปฏิบัติการ และการดำเนินงานทุกด้านในภูมิภาคนี้ก็คืออย่างนี้
เราไม่สามารถจะอยู่รอดได้ด้วยการปฏิบัติการสนธิสัญญาใด ๆ ไม่สามารถจะยืนอยู่ได้ด้วยประเทศ
ที่เป็นมิตรของเรา แต่เราต้องพุ่งตรงไปข้างหน้า และวิธีการหลัก(Key) ที่ต้องทำก็คือ ต้องเข้าควบคุม,
วางโครงการ, บังคับ, และเอาผลประโยชน์ที่แน่นอน จากโครงการช่วยเหลือทั้งหลายของเรา
โดยใช้หน่วยคณะที่ปรึกษาทางทหาร(MAAG.) เป็นส่วนเจาะนำหน้าเข้าไป....”
(หลักฐาน....เอกสารลับสุดยอดMission to South East Asia, India, and PakKistan)

ความหมายสำคัญในเอกสารนี้ที่เกี่ยวข้องกับ “ประเทศไทย” อยู่ตรงคำที่ว่า
“เราจะต้องสร้างสถานการณ์ สร้างภาพตัวศัตรูขึ้นมา” แสดงว่าในประเทศไทยนั้นต้องมีการสร้างภาพ
หรือสถานการณ์อย่างหนึ่งขึ้นอย่างแน่นอน ข้อความดังกล่าวนี้ตรงกับคำยืนยันอันปรากฏในเอกสารลับ
ของแพนตากอนปี พ.ศ.๒๕๐๘ ของ Gen.RoBert S. Macnamara รมว.กลาโหมของสหรัฐ ว่า

“.....ประเทศไทยเป็นประเทศเอกราชมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ไม่เหมือนกับประเทศเวียดนาม
ที่มีความสำนึกในด้านชาตินิยมรุนแรง ประเทศไทยมีคอมมิวนิสต์ในประเทศอยู่เพียงสองสามคนเท่านั้น
(It has few domestic Communist) ไม่สามารถทำความเสียหายได้
เราจะต้องตั้งหน้าตั้งตา พยามทำให้ประเทศไทยเป็นฐานที่มั่นของเรา ที่มั่นคงเหมือนหินมิใช่กองทราย
(A foundation of rock political a bed of sand) ซึ่งเราจะได้ใช้เป็นฐาน ทางการเมือง การทหาร
การเศรษฐกิจ ในอันที่เราจะเข้าไปครอบคลุมเอเซีย....”

จากข้อมูลทางการของสหรัฐดังกล่าวนี้ทำให้เราได้ทราบว่า การเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์
“ตัวจริง” ในประเทศไทยนั้นจริงแล้ว แทบไม่มีเลย ตามรายงานของ Gen.Robert S. Macnamara ว่า
“ประเทศไทยมีคอมมิวนิสต์ในประเทศอยู่เพียงสองสามคนเท่านั้น” แต่เหตุใดจึงมีการปะทะกับผู้ก่อการร้าย
มีเขตปลดปล่อย มีกองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทย ซึ่งมีกำลังพลเป็นพัน เป็นหมื่น มาจากไหน ?

คำตอบนั้นอยู่ที่คำพูดของ Lindon B. Johnson “เรา จะต้องสร้างสถานการณ์ สร้างภาพตัวศัตรูขึ้นมา”
การสร้างสถานการณ์ต่าง ๆ ทั่วโลกนั้นเป็นหน้าที่ขององค์กร CIA ที่ถูกจัดให้ปฏิบัติการใด ๆ
เพื่อรักษาผลประโยชน์ของ ๘ ตระกูลคาทอลิกผู้ก่อตั้ง FED มาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีเคนเนดี้
ปรากฏตามหลักฐานอย่างเป็นทางการสหรัฐอเมริกา ของ นายพล เอ็ดวาร์ด แลนสเตน
(Brig Gen.Edward GLansdale) ผู้เชี่ยวชาญสงครามกองโจรและการรบนอกแบบ
ซึ่งนำเสนอต่อที่ปรึกษาของ PANTAGON คือนายพล แมกซเวล ดีเทย์เลอร์(Gen.Maxwell D.Taylor)
ฝ่ายยุทธการของประธานาธิบดีเคเนดี้ ดังนี้

“ องค์การ CIA ได้ตั้งศูนย์บัญชาการขึ้นในประเทศไทย ที่จังหวัดอุดรธานี เรียกว่า บก. ๓๓๓
ภายใต้รหัสว่า “ไว้ท์เฮ้าส์” แยกการทำงานออกเป็น ๒ หน่วยงานคือ
๑. หน่วย AD-1 (Action & Divide) รับ-ประมวลข่าวจากจารชน หรือ จากเครื่องบิน U2
ที่เข้าไปบินสอดแนมเหนือน่านฟ้าของ จีน เวียตนาม เขมร และลาว
๒.หน่วย OB(Order Battle) บัญชาการหน่วยกำลัง ที่ปฏิบัติการใน ซำทอง ล่องแจ้ง ปากเซ
ไหหิน เชียงลม สุวรรณเขต เวียตนามตอนใต้ และด้านตะวันออกของกัมพูชา”

ดังนั้นการสร้างผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์(ผกค.) การส่งความช่วยเหลือทางด้านการข่าว และส่งอาวุธ
การฝึกอาวุธ ล้วนเป็นผลงานที่องค์กร CIA ได้ปฏิบัติการในประเทศไทย และอาวุธที่ยึดได้ ๘๐%
ผลิตในอเมริกาทั้งสิ้น ได้ปรากฏเป็นหลักฐานเมื่อเดือน มกราคม พ.ศ.๒๕๑๗ ว่า
“ องค์กรCIA ได้ปลอมจดหมายให้กับ ผกค. ถึงนายกรัฐมนตรี นายสัญญา ธรรมศักดิ์
เพื่อขอแบ่งแยกดินแดนภาคอีสาน เพื่อเป็นเขตปลดปล่อยปกครองตนเอง ฯลฯ

กรณีดังกล่าวนี้ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้เชิญ นายวิลเลี่ยม อาร์ ดินเนอร์ เอกอัครราชทูตอเมริกา
ประจำประเทศไทย เข้าพบเพื่อชี้แจงกรณีดังกล่าว
นายวิลเลี่ยม อาร์ ดินเน่อร์ ได้มีหนังสือขออภัยต่อนายกรัฐมนตรีไทยอย่างเป็นทางการ
ต่อกรณีที่เกิดขึ้น และได้สั่งปิดสำนักงาน CIA ในจังหวัดสกลนคร และเจ้าหน้าที่ CIA
ผู้กระทำความผิดฐานออกจดหมายผู้ก่อการร้ายถึงนายกรัฐมนตรีไทยนั้น ได้ส่งกลับอเมริกาไปแล้ว .. ?? ”

จากข้อมูลหลักฐานความแท้จริงดังกล่าวนี้ สามารถยืนยันได้ว่า “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.)”
หรือ “ผู้ก่อการร้าย(ผกค.)” เป็นหน่วยเฉพาะกิจ ที่ถูก CIA จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างสถานการณ์ในประเทศไทย
บุคลากร องค์กรที่เคลื่อนไหวต่าง ๆ นั้น ล้วนได้รับทุนและการสนับสนุนจากแหล่งที่มาเดียวกันทั้งสิ้น
โดยมี “๘ ตระกูลคาทอลิก” ผู้ก่อตั้งบริษัท FED และ CIA มีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศมหาอำนาจ
ให้การสนับสนุน ประสานผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน อันมีเครือข่ายโยงใยไปทั่วโลก
และความแตกแยกทางความคิด เชื้อชาติ อันเป็นสาเหตุของการแยกประเทศแยกดินแดนต่าง ๆ นั้น
ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างสถานการณ์ขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามและแตกต่างจากภาพหรือข่าวสารที่เราได้พบเห็น
ทางสื่อสารมวลชน โดยสิ้นเชิง.......)

จากหลักฐานที่เป็นสาธารณะเกี่ยวกับองค์กร ซีไอเอ ที่พอสืบค้นได้เองมีดังต่อไปนี้
องค์กรประมวลข่าวกลาง ( ซีไอเอ )
ในเอกสารประกอบการบรรยายการแก้ปัญหาของฝ่ายอำนวยการในโรงเรียนกิจการพลเรือน
กรมกิจการพลเรือนทหารบก กองทัพไทย หลักสูตรนายทหารกิจการพลเรือนชั้นสูง ของกองทัพไทย
มีข้อความบางส่วนกล่าวว่า “ ...............องค์กร CIA มีหน้าที่หลักคือการขยายตลาดการใช้เงินดอลลาร์
ที่ FED จัดพิมพ์ขึ้นโดยไม่มีทองสำรอง(แบงค์กงเต็ก) โดยสร้างสถานการณ์ความแตกแยกในประเทศต่าง ๆ
และเข้าช่วยเหลือ จากนั้นเมื่อผู้ที่องค์กร CIA สนับสนุนให้ขึ้นเป็นผู้มีบทบาทสำคัญได้เข้าเป็น
รัฐบาลประเทศนั้น ๆ ก็จะถูกกำหนดให้ใช้เงินดอลลาร์เป็นเงินตราสำรองของประเทศ และห้ามใช้ทองคำ
เป็นเงินสำรอง โดยองค์กรCIA จะให้รัฐบาลประเทศนั้น ๆ นำทองคำที่มีอยู่
ไปเก็บไว้ในประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งหมด...........)

“........องค์กร CIA จะเข้าแทรกแซงและบ่อนทำลายสถานภาพทางการเมือง เศรษฐกิจและกิจการภายใน
ของประเทศอื่น รวมทั้งให้การสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน สร้างปัญหาความขัดแย้งในประเทศต่าง ๆ........”

ซีไอเอ ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดย FED ในปี พ.ศ.๒๔๙๐ เพื่อที่จะใช้ประโยชน์ในการปกป้องผลประโยชน์
ของ FED เป็นพื้นฐาน ซึ่งเป็นผลประโยชน์ที่มีอยู่ทั่วไปทั้งในและนอกสหรัฐอเมริกา CIA ได้ถูกกระจายออกไป
ทุกภูมิภาคในโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีการแข่งขันช่วงชิงผลประโยชน์กันระหว่างประเทศมหาอำนาจ
และคู่แข่งต่าง ๆ สูงทั้งที่เป็นองค์กรลับและเป็นบุคคลที่เปิดเผยตัวให้ประชาชนทราบว่าตนเป็นสมาชิก
ขององค์กร ซีไอเอ เพื่อที่จะให้มีความเหนือกว่าทางด้านข่าวสาร สมาชิกของ ซีไอเอ ได้ถูกส่งไปทั่วโลก
เพื่อรวบรวมข้อมูล มีหลักฐานอย่างแน่ชัดว่า ซีไอเอ สนับสนุนขบวนการก่อการร้ายทั่วโลก
โดยอาศัยความขัดแย้งเดิม ๆ ที่มีอยู่ในแต่ละพื้นที่อยู่แล้ว นอกจากนั้นยังได้ร่วมมือกับ NGOs
ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เมื่อสังเกตให้ดีแล้วเป็นกิจกรรมที่กระทำเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
ทางการทหาร กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหารทั่วโลกในอดีตที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่มี ซีไอเอ
ไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น รวมทั้งเหตุการณ์ทั้งปวงที่มีลักษณะของความรุนแรงและการจลาจล
ที่เกิดขึ้นทั่วโลกทั้งในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งเมื่อสร้างสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นแล้วจะเป็น
การเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับสหรัฐฯ โดยที่มี FED เป็นผู้บงการและมี CIA เป็นผู้สร้างกิจกรรม
และกำกับให้กิจกรรมทั้งหลายที่สร้างขึ้นดำเนินไปตามทิศทางที่ตนเองต้องการ เพื่อที่จะบรรลุภารกิจทั้งปวง
CIA จึงได้ปฏิบัติตามหลักการถาวรของตนที่ได้รับการมอบหมายตั้งแต่ต้นและเป็นการถาวรคือ
“ การแบ่งแยกและปกครอง” หรือ “ Divided and Rules ”

กิจกรรมของ CIA ในอดีตที่ผ่านมาเท่าที่มีหลักฐานแน่ชัดและได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณชนแล้วมีดังนี้
๑. การปฏิบัติการสนับสนุนสงครามเกาหลีในปี พ.ศ.๒๔๙๓ – ๒๔๙๕ ( ๑๙๕๐ – ๑๙๕๓ )
๒. ปฏิบัติการสนับสนุนการรัฐประหารที่กัวเตมาลาในปี ๒๔๙๖
๓. ปฏิบัติการสนับสนุนรัฐบาลอินโดนีเซียในการปราบปรามฝ่ายค้านในปี ๒๕๐๑
๔. สนับสนุน Operation Mongoose และ operation Bay of Pig ในคิวบา ในปี พ.ศ.๒๕๐๔
๕. ปฏิบัติการสนับสนุนการรัฐประหารที่โดมินิกันในปี พ.ศ.๒๕๐๔
๖. ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายที่เวียดนาม ลาว และประเทศไทยในยุคสงครามเย็น
๗. สนับสนุนการรัฐประหารของ นายพล ปิโนเช่ ในชิลี ปี พ.ศ. ๒๕๑๔
๘. สนับสนุนกบฏมูจาฮีดีนในอัฟกานิสถาน ใน พ.ศ.๒๕๓๒
๙. ปฏิบัติการก่อวินาศกรรมในแองโกล่า โคลัมเบีย เอล ซัลวาดอร์ และนิคารากัว ใน พ.ศ.๒๕๓๒
๑๐. สนับสนุนการก่อการจราจลกรณีจัตุรัส เทียน อัน เหมิน ในจีน ปี พ.ศ.๒๕๓๒
๑๑. ปฏิบัติการโดยใช้ชื่อ บิน ลาเดน กรณีวางระเบิดตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ ในปี ๒๕๓๖
๑๒. สนับสนุนกองกำลังกบฏเคอร์ดิสโจมตีตอนเหนือของอิรักในปี ๒๕๓๘
๑๓. เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการถล่มฐานทัพสหรัฐฯ ในซาอุดิอาระเบีย โดยในนาม บิน ลาเดน ในปี ๒๕๓๙
๑๔. สร้างสถานการณ์กรณีถล่มสถานทูตสหรัฐฯ ในเคนยาและแทนซาเนีย ในนาม บิน ลาเดน ในปี ๒๕๔๑
๑๕. จัดตั้งหน่วยปฏิบัติการรบพิเศษลับสุดยอด ( Supersecret Special Operation group SOG )
ในการร่วมมือกับเครือข่ายจารชนทั่วโลก
๑๖. อยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมเรือรบสหรัฐฯ USS Coles ในนามของ บิน ลาเดน ในปี ๒๕๔๓
( สร้างสถานการณ์ )
๑๗. สร้างสถานการณ์ ๑๑ กันยายน ถล่มตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในนามของ บิน ลาเดน ในปี ๒๕๔๔
๑๘. สนับสนุนการปฏิบัติการของกลุ่มพันธมิตรด้านเหนือในสงครามถล่มอัฟกานิสถานปี ๒๕๔๔- ๒๕๔๕
๑๙. สนับสนุนกองกำลังกองโจรเคอร์ดิสโจมตีทางเหนือของอิรักในสงครามอิรักครั้งที่ ๒ในปี ๒๕๔๖
(ซีไอเอ ( CIA ) คือ อะไร: วัชรี สายสิงห์ทอง )
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:31 am

กลยุทธ์ที่ ๓๔ กลทุกข์กาย
คนมิทำร้ายตัวเอง ถูกทำร้ายจึงจริง เท็จจริงจริงเท็จ กลศึกจึงบรรลุ อาศัยจุดอ่อนแห่งจิต ลู่ตามจึงพิชิต

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า โดยสามัญสำนึก คนเราจะไม่ทำร้ายตัวเอง หากบาดเจ็บ ก็เชื่อกันว่า
คงจะถูกทำร้าย ถ้าแม้นสามารถทำเท็จให้เป็นจริงให้ศัตรูเชื่อไม่สงสัย กลอุบายก็จะสัมฤทธิ์ผล
ทว่าการทำให้ศัตรูเชื่อ ก็พึงเข้าใจในจุดอ่อนของศัตรู ทำเท็จให้จริงจัง ให้เชื่อว่าจริงแท้
“อาศัยจุดอ่อนแห่งจิต ลู่ตามจึงพิชิต” คำนี้มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ปิด” หมายความว่า
อาศัยความไร้เดียงสาของทารก ล่อหลอกโดยโอนอ่อนผ่อนตามไปก็จักลวงให้บรรลุจุดประสงค์ได้
กลยุทธ์นี้ เป็นอุบายใช้การทำร้ายตัวเอง ให้ศัตรูหลงเชื่อ เพื่อมึนชาแล้วพิชิตศัตรูอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือกรณีผู้ก่อการร้ายถล่มตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ของสหรัฐอเมริกา
เมื่อ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔
โศกนาถกรรมที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ก่อการร้ายถล่มตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์กรุงนิวยอร์ก
สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ หรือที่เรียกกันในชื่อของเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน นั้น
เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คนทั้งโลกตะลึงงัน ตัวการสำคัญในการปฏิบัติการอันสะเทือนขวัญของคนทั้งโลกนั้น
เป็นเพียงกลุ่มกองโจรที่ปฏิบัติการสงครามกองโจรอยู่ในที่ราบสูงดินแดนประเทศอัฟกานิสถานเท่านั้น
ทำให้ตึกที่สูงเสียดฟ้าของมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ต้องพังครืนลงมา มีผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์
ไม่ต่ำกว่า ๒,๕๐๐ คนสร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับชาวโลก สร้างความโศกเศร้าเสียใจและความโกรธแค้น
ให้กับชาวอเมริกันเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อรวบรวมหลักฐานทั้งสิ้นแล้ว สามารถที่จะพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัด
ถึงการวางแผนถล่มตึกเวิร์ลดเทรด เซ็นเตอร์ โดยสหรัฐอเมริกาเอง ( การใช้หลักการตามตำราพิชัยสงคราม ซุน วู
วิเคราะห์ “เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔” และ “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย”: โดย พันโท โสภณ ศิริงาม
นักศึกษาหลักสูตรความมั่นคงรุ่นที่ ๑๑ มหาวิทยาลัยป้องกันประเทศ กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน
ระหว่าง ก.ย. ๒๕๔๕ – ก.ย.๒๕๔๖:http:// ARTAMART.FreeWeb-Hosting.com ) เป็นการใช้กลยุทธ์
“กลทุกข์กาย” เพื่อที่จะให้ได้มาในสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ เบื้องหลังของการที่สหรัฐฯ ต้องสร้างเหตุการณ์
โดยการใช้กลทุกข์กายคือการที่ทำให้ประชาคมโลกเห็นว่าตนเองถูกทำให้เจ็บตัวโดยการสูญเสียชีวิต
ชาวอเมริกันจำนวนมาก สูญเสียตึกระฟ้าอันเป็นสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ คือตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์
พร้อมทั้งดูว่าเป็นการสูญเสียเกียรติภูมินั้นเนื่องจากสหรัฐฯ ประสบปัญหาหลายประการด้วยกัน อาทิเช่น
ปัญหาด้านเศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนักที่สหรัฐฯ กำลังประสบอยู่ในเวลานั้นและวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่
กำลังจะเกิดขึ้นตามมาและจะร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม ซึ่งใกล้กาลอันจะทำให้สหรัฐฯ ต้องล่มสลายได้
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้นประสบปัญหาด้านความนิยมตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศตน
คือตกต่ำลงถึง ๔๐ % ภัยคุกคามจากที่จีนกำลังขยายอิทธิพลทั้งด้านการค้าและด้านการเมืองระหว่างประเทศ
เข้าแทนที่สหรัฐอเมริกาและกำลังจะเข้าแทนที่การเป็นประเทศมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลกแทนสหรัฐฯ
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การบีบคั้นจากกลุ่มอิทธิพลภายในประเทศเพื่อให้แก้ปัญหาเศรษฐกิจ การกดดัน
ด้านเศรษฐกิจจากการขยายตัวของเงินตระกูลยูโรของกลุ่มสหภาพยุโรปที่กำลังจะเข้ามาทดแทนพื้นที่
การยึดครองของเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาในตลาดการเงินของโลก พร้อมทั้งประชาคมโลกกำลังรุมบีบคั้นสหรัฐฯ
จากนโยบายอันผิดพลาดของสหรัฐฯ เองหลายประการด้วยกัน

เมื่อสหรัฐอเมริกายอมที่จะเจ็บกายตาม “ กลทุกข์กาย” ตามที่ตนเองได้สร้างเหตุการณ์
๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ขึ้นแล้ว ผลตอบแทนที่สหรัฐฯ ได้รับคือ
๑) สามารถที่จะนำประเทศของตนให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ทั้งหลายที่ประดังเข้ามาก่อนที่จะสร้าง
“ เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน” และหลังจากที่ เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างขึ้นแล้ว จากหลักฐานดังที่แสดงไว้แล้ว
ในตอนต้น วิกฤตการณ์ของสหรัฐอเมริกาประกอบไปด้วยวิกฤตทางเศรษฐกิจ วิกฤตทางการเมือง
ที่มีทั้งการเมืองภายในและการเมืองในระดับนานาชาติ วิกฤตทางด้านความมั่นคงปลอดภัยแต่วิกฤตที่ใหญ่ที่สุด
ในบรรดาวิกฤตทั้งหลายคือวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ

๒) สามารถที่จะลดความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของสองเสือเศรษฐกิจของโลกที่เป็นคู่แข่ง
อันฉกาจฉกรรจ์ของสหรัฐฯ คือ จีนกับสหภาพยุโรป จีนจะแสดงบทบาทที่โดดเด่นในสังคมของประชาคมโลก
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าและความเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวของสหรัฐฯ จะถูกแทนที่ด้วยอิทธิพลของจีนในทุก ๆ
ปัจจัยตามที่นักวิเคราะห์สถานการณ์โลกได้รายงานไว้เงินยูโรดอลลาร์ได้ถูกประเมินว่าเป็นภัยคุกคามหลัก
ต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในตลาดการเงินโลก ตามที่ทราบกันดีว่า เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเงินที่ไม่ได้สร้าง
ด้วยการรองรับของเศรษฐกิจจริงหรือทรัพย์สินจริงดังที่หลักสากลยอมรับกัน ดังนั้นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
จึงเป็นเงินปลอมตามความเป็นจริง ในทางตรงกันข้าม เงินยูโรดอลลาร์จะมีค่าที่แข็งขึ้นเนื่องจากมีทองคำสำรอง
และมีเศรษฐกิจจริงที่มีความแข็งแกร่งของกลุ่มสหภาพยุโรปรองรับค่าเงิน ฉะนั้นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จึงจะค่อย ๆ
ถูกผลักให้ไหลกลับไปยังแหล่งกำเนิดของตนโดยอิทธิพลของเงินยูโรดอลลาร์และฟองสบู่ขนาดมหึมา
จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและจุดจบของจักรวรรดิสหรัฐแห่งอเมริกาก็จะปรากฏขึ้น
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

๓) ประสบความสำเร็จในการควบคุมระดับความสัมพันธ์ของสองประเทศมหาอำนาจชั้นรองคือ
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซีย พร้อมกับได้ส่งกำลังทหารส่วนหนึ่งไปประจำที่เอเชียกลาง
เพื่อสอดส่องดูและการเคลื่อนไหวของรัสเซียและจีนอีกด้วย

๔) สามารถที่จะดำรงสภาพความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกาไปได้อีกยาวนาน จากสถานการณ์ก่อนหน้านี้
สหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการครอบครองเศรษฐกิจโลกโดยการใช้สงครามเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือ
หลังจากได้สร้าง ๒ เหตุการณ์ขึ้นแล้ว( ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ และ สงครามถล่มอัฟกานิสถาน )
ทำให้สหรัฐฯ สามารถเข้าครอบครองแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทั้งสิ้นจากประเทศมุสลิมได้อย่างมั่นคง
รวมทั้งกลุ่มประเทศต่าง ๆ ในทวีปอัฟริกา ที่สำคัญคือการเข้าครอบครองแหล่งแรงงานขนาดใหญ่ที่สุดในโลกได้
อย่างจีนเพื่อที่จะนำไปกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

๕) สหรัฐฯ สามารถที่จะดำรงความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับกลุ่มครูเสดได้อีกครั้งหนึ่ง ( Crusader Groups)
กลุ่มครูเสด เป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลสูงยิ่งต่อรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาและมีอิทธิพลอย่างยิ่ง
ต่อเสถียรภาพของรัฐบาลด้วย กลุ่มครูเสดเป็นกลุ่มที่เกิดขึ้นจากการสนับสนุนของ FED
ซึ่ง FED เป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นโดย ๘ ตระกูลคาทอลิกที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรปและอเมริกาซึ่งครอบครองธุรกิจขนาดยักษ์
๕ กลุ่มธุรกิจทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกที่เป็นสาขาของสหรัฐอเมริกา และ FED เป็นผู้สร้าง CIA
เพื่อให้สามารถที่จะรักษาผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจของตนในทั่วทุกมุมโลก

๖) บรรลุเป้าหมายในการอ้างความชอบธรรมในการส่งกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ที่มีความสำคัญ
รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทั้งปวงของสหรัฐฯ ในการรักษาผลประโยชน์ของตนในทั่วทุกภูมิภาคของโลก
ตามที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า ผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกามีอยู่ทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและผลประโยชน์ทางด้านยุทธศาสตร์ สหรัฐฯ ต้องการอย่างยิ่งยวด
เพื่อที่จะให้สถานการณ์ต่าง ๆ อยู่ในสภาพที่สามารถควบคุมได้โดยองค์กรต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ
ได้ส่งออกไปแล้วในช่วงของการทำ “ สงครามต่อต้านการก่อการร้าย”

๗) ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการทำลายจีนโดยแผน “ ปิดล้อม ,แบ่งแยกและย่อยสลายจีน”
โดยสหรัฐอเมริกา

๘) เพื่อเป็นเงื่อนไขในการสร้างความชอบธรรมในการบุกอิรักเพื่อยึดครองอิรักและตะวันออกกลางอีกครั้งหนึ่ง
ในปี ๒๕๔๖ อันเป็นการเข้ายึดครองแหล่งความมั่งคั่งของโลกและพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของโลกไว้อีกด้วย

ถ้าติดตามรายการโทรทัศน์หลายรายการในการพิสูจน์เรื่องการโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ของสหรัฐอเมริกา
โดยกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้นจะเห็นว่า การโจมตีนั้นเป็นการสร้างสถานการณ์ของสหรัฐฯ เอง
โดยให้ชาวโลกได้รับรู้ว่าเป็นการกระทำของญี่ปุ่นแต่เพียงฝ่ายเดียวแต่แท้ที่จริงแล้วหลักฐานของ
ประเทศมหาอำนาจหลายประเทศได้ยืนยันว่าเป็นการกระทำของสหรัฐอเมริกาเองหลังจากที่สหรัฐฯ
ได้มีการประเมินกำลังที่เหลือของมหาอำนาจต่าง ๆ ที่ได้ทำสงครามกันมาตั้งแต่ต้นแล้วนั้น
ต่างก็อ่อนล้าบอบช้ำกันแล้วทั้งนั้น แม้แต่อังกฤษที่เป็นฝ่ายสัมพันธมิตรร่วมกับสหรัฐอเมริกาก็ไม่สามารถ
ที่จะฟื้นกลับคืนมาเป็นมหาอำนาจของโลกได้อีกต่อไป เยอรมนี ญี่ปุ่น รัสเซีย ฝรั่งเศส หรือประเทศใด ๆ ก็ตาม
ไม่สามารถที่จะกลับฟื้นคืนอำนาจของได้อีกอย่างแน่นอนแล้วสหรัฐฯ จึงกระโจนเข้าสู่สงครามในฐานะ
ประเทศมหาอำนาจที่มีกำลังสดชื่นที่สุด และสหรัฐฯ มั่นใจว่าเมื่อเข้าร่วมทำสงครามในตอนนั้นแล้วตน
จะต้องเป็นฝ่ายได้ชัยชนะอย่างแน่นอนและสามารถที่จะก้าวกระโดดเป็นมหาอำนาจชั้นนำของโลกได้
และจำสามารถครองความเป็นมหาอำนาจได้อีกยาวนานไม่ต่ำกว่า ๑ – ๒ ร้อยปีเลยทีเดียว สหรัฐฯ

จึงตัดสินใจสร้างเหตุการณ์ถล่มเพิร์ลฮาเบอร์ขึ้นและก็ได้รับผลตอบแทนตามที่สหรัฐฯ ต้องการทุกประการ
เหตุการณ์ครั้งนี้มีชาวอเมริกันเสียชีวิตประมาณ ๖,๐๐๐ เศษ นั่นคือ “ กลทุกข์กาย” ที่สหรัฐอเมริกา
ได้เคยใช้มาแล้วในอดีต และกลยุทธ์อย่างนี้จะปกปิดความจริงได้อย่างแนบเนียนแม้กระทั่งปัจจุบันนี้
ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาและติดตามเรื่องราวอย่างถ่องแท้ก็จะไม่เข้าใจ แต่ความขลังของกลยุทธ์นี้ก็ยังคงมีอยู่
ตลอดไปเท่าทุกวันนี้

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปไว้ว่า
“ คำโบราณของจีนมีกล่าวไว้ว่า “ ร่างกาย เส้นผม และผิวหนัง ได้มาจากบิดามารดา มิควรทำลาย
นี้คืออันดับแรกแห่งความกตัญญู” คำคำนี้เป็นทัศนะคติที่ฝังรากลึกอยู่ในมโนธรรมของชาวจีนมาช้านาน
ดังนั้น การจงใจทำร้ายร่างกายตนเอง ยอมสวามิภักดิ์ แก่ศัตรูด้วยอุบาย จึงมักจะได้รับความเห็นใจ
ให้ความเชื่อถือ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ล้ำลึกกว่า “ กลไส้ศึก” เคยได้รับความสำเร็จอย่างงดงามมามากหลาย
ตั้งแต่โบราณกาล”
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:32 am

กลยุทธ์ที่ ๓๕ กลลูกโซ่
ขุนพลมากไพร่พลหลาย มิพึงปะทะด้วย ปล่อยให้อ่อนเปลี้ย
ขจัดเสียซึ่งความแกร่ง แม่ทัพผู้ปรีชา จักได้ฟ้าอนุเคราะห์

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อกำลังศัตรูเข้มแข็งกว่าหลายเท่า จักปะทะด้วยมิได้เป็นอันขาด
พึงใช้กลอุบายนานา ให้ศัตรูต่างถ่วงรั้งซึ่งกันและกันทำลายความแกร่งของศัตรู หรือร่วมมือกับ
พลังต่าง ๆ ทั้งมวล ร่วมกันโจมตีเพื่อขจัดความฮึกเหิมของศัตรูลงไป “แม่ทัพผู้ปรีชา จักได้ฟ้าอนุเคราะห์”
มาจาก “คัมภีร์อี้จิง แม่ทัพ” อันความหมายว่า แม่ทัพผู้ปรีชา ย่อมสามารถจะบัญชาการศึก
ได้อย่างคล่องแคล่วดุจดั่งคล้อยตาม “ความประสงค์ของฟ้า” จัดต้องได้รับชัยชนะเป็นมั่นคง
กลยุทธ์ที่เรียกว่า “กลลูกโซ่” นี้ หมายถึงอุบายที่ใช้ซ้อนกัน ตั้งแต่ สองอุบายขึ้นไป
เพื่อเอาชัยแก่ศัตรูอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ...

ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ(Force 21)

นับตั้งแต่กลางปี พ.ศ.๒๕๔๐ จวบจนปัจจุบัน สภาพเศรษฐกิจของไทย เข้าสู่ภาวะวิกฤตตกต่ำสุดขีด
เสียยิ่งกว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งเราท่านไม่อาจจะคาดคำนวณกันได้ว่าผลสรุป
และจุดจบของสภาวะเช่นนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักจะมองไปถึงต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ว่า
มาจากสภาพเศรษฐกิจของโลกบ้าง การตัดสินใจผิดพลาดของธนาคารแห่งประเทศไทยบ้าง
แล้วแต่ว่าใครจะกล่าวอ้างกันขึ้นมา แต่ที่แน่ ๆ คือไม่มีนักวิชาการ นักเศรษฐ ศาสตร์ผู้ใด ที่จะบอกกล่าว
เล่าเตือนถึงมหันตภัยทางเศรษฐกิจอันจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยล่วงหน้าถูกต้องได้เลยแม้แต่คนเดียว
วิกฤตการณ์นี้เกิดขึ้นแทบจะเรียกว่าข้ามคืนเลยก็ว่าได้ แม้ว่าจะใช้หลักวิชาการมาเป็นตัววิเคราะห์วิจัย
ก็ไม่สามารถแก้ไขได้แม้แต่น้อย ยิ่งแก้ไขยิ่งเหมือนกับเป็นการสร้างปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ

แม้กระทั่งนักเศรษฐศาสตร์อันดับหนึ่งของโลกผู้ได้รับรางวัลโนเบล ซึ่งเดินทางมาบรรยายในประเทศไทย
ก็ยังคาดคำนวณสถานภาพเศรษฐกิจไทยล่วงหน้าผิดพลาดอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ฉะนั้นอย่าพูดถึงนักการเมือง
นักบริหาร หรือนักวิชาการในประเทศไทยเลย ที่จะสามารถคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ล่วงหน้า มันเป็นไปได้อย่างไร
ที่ภาวะวิกฤตนี้เกิดขึ้นในขณะที่ประเทศไทยซึ่งถูกเรียกว่าเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเซีย/กำลังอยู่ในภาวะเจริญ
เกือบสุดขีดจนประเทศเพื่อนบ้านของเรายึดถือเอาประเทศไทยเป็นตัวอย่างในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
เงินกู้เงินลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมหาศาลที่กำลังไหลเข้าสู่ประเทศไทยมิได้ไหลเข้ามาเพราะคนต่างชาติโง่
หรือคนไทยหลอกลวงเก่ง เพราะการกู้ยืมโดยสถาบันการเงินก็ดี หรือโดยนักธุรกิจอิสระก็ดี เจ้าหนี้ผู้ให้ยืมเงินหรือ
ร่วมลงทุนเหล่านั้นล้วนเป็นชาวต่างประเทศ ที่มาจากสารพัดชนชาติที่ทุ่มเงินมหาศาลเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ล้วนแล้วแต่ มีผู้ชำนาญทางการเงิน ซึ่งเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ถึงอนาคตการลงทุน และแนวทางเศรษฐกิจ
ของประเทศไทยว่าจะรุ่งเรืองที่สุดในย่านภูมิภาคเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้จึงปล่อยสินเชื่อให้กับภาคเอกชนลงทุน
ในประเทศไทย

ดังนั้นจึงไม่มีเหตุปัจจัยใดที่พอน่าเชื่อได้ว่านักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ นักลงทุน ที่ปล่อยเงินกู้เหล่านั้น
นัดกันไอคิวตกทั้งโลก หากเช่นนั้นสาเหตุหรือมูลฐานปัจจัยที่เกิดขึ้นนี้มาจากอะไรกันแน่ ที่เป็นสาเหตุให้
ประเทศไทยตกเหววิกฤตแห่งเศรษฐกิจเพียงชั่วข้ามคืน นี่แหละคือคำถาม และบทวิเคราะห์ต่อไปนี้
อาจจะเป็นแนวทางที่ ชี้ถึงสาเหตุแห่งธนภัยและวิกฤต ซึ่งจะช่วยในการหาวิธีแก้ไขได้ถูกทางยิ่งขึ้น

ในปลายปี ๒๕๑๗ ประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ได้มีการทบทวนบทบาทของการพ่ายแพ้ในการรบ
ในสงครามเวียตนาม พบว่าชัยชนะไม่อาจได้มาด้วยการใช้กำลังอาวุธหรือกำลังพลที่เหนือกว่าตามที่เชื่อกันมาในอดีต
ดังนั้นจึงได้จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะขึ้นเพื่อวิเคราะห์ถึงยุทธวิธีสำหรับการรบในศตวรรษที่ ๒๑ (Force 21)
ว่าควรเป็นไปในรูปใด จึงจะได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จถาวร มีการสูญเสียน้อยที่สุด เอื้อผลประโยชน์ให้มากที่สุด
และใช้ระยะเวลาในการปฏิบัติการสั้นที่สุด การวิเคราะห์ทดสอบของหน่วยงานนี้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งในปี ๒๕๓๓ ได้ผลสรุปว่าการยึดอำนาจทางเศรษฐกิจเท่านั้นจะให้ชัยชนะและผลประโยชน์อย่างถาวร
อันเป็นแผนปฏิบัติการที่ถูกนำมาใช้เรียกว่า ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ โดยมีสมการของยุทธวิธีคือ E = MOC 2

E (Economic) เศรษฐกิจ
M (Mental) สร้างความเชื่อใหม่, สลายศรัทธาเดิม
O ( Organization) สร้างกระแส, ทำลายระบบการเมือง
C (Cash Value) ทำลายค่าของเงิน
C (Cash Control) ควบคุมระบบการเงินแบบเบ็ดเสร็จ

สาเหตุที่หน่วยงานดังกล่าวต้องใช้สมการนี้เป็นหัวใจของยุทธวิธี ก็เนื่องจากได้วิจัยพบว่า เหล่านักวิชาการ
หรือนักเศรษฐศาสตร์อันอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนั้น ล้วนร่ำเรียนตามหลักวิชาที่มีรากฐานทางเดียวกันทั้งสิ้น
ทั้งการสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหา ฉะนั้นหากมีปัญหาใดที่เกิดขึ้นจากเศรษฐกิจปกติสามัญแล้ว
ก็จะไม่พ้นปัญญาของผู้รู้เหล่านั้นที่จะแก้ไขได้ไม่ยาก ดังนั้นสมการนี้จึงถูกพัฒนาให้มีความผกผันในตัวของมันเอง
ไม่เพียงแต่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยพื้นฐานทางวิชาการเท่านั้น สมการนี้ยังมีศักยภาพที่สามารถทำให้การแก้ปัญหา
ในทุก ๆ ครั้งผิดแนวทางไร้ประโยชน์ และการแก้ไขนั้นจะกลับเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับสมการนี้บรรลุเป้าหมาย
เร็วยิ่งขึ้นไปอีกโดยอัตโนมัติ เท่ากับเป็นการช่วยเหลือสมการนี้เสียด้วยซ้ำ

ตอนนี้เรามาดูกันว่าปัจจัยใดทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเหยื่อยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ เป็นความบังเอิญ
หรือเป็นเพราะได้มีการวางแผนงานไว้แล้วอย่างเป็นขั้นตอน ผู้เขียนขอมอบให้เป็นเอกสิทธิ์ ของท่านผู้อ่าน
ที่จะวินิจฉัยด้วยภูมิปัญญาตามหลักวิชาการของแต่ละท่านโดยอิสระ

หน่วยงานนี้ได้ค้นพบว่า สมการนี้จะให้ประโยชน์สูงสุดต่อเมื่อสามารถหาพื้นที่อันเป็นฐานที่มั่นถาวรในการปฏิบัติการ
ทางยุทธวิธีที่เรียกว่า ยุทธภูมิเศรษฐศาสตร์ อันประกอบไปด้วยปัจจัยทางภูมิศาสตร์และเศรษฐศาสตร์สมบูรณ์
ครบ ๕ ประการ(Give Me 5) คือ

๑. ทางบก มีพื้นที่เป็นผืนเดียวกับแผ่นดินใหญ่ สามารถขยายเส้นทางคมนาคมทั้งทางยุทธศาสตร์และเชิงพาณิชย์
หรือเชื่อมต่อกับประเทศที่มีศักยภาพในการผลิต และมีอำนาจการซื้อได้โดยง่าย
๒. ทางน้ำ มีพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่สามารถขยายศักยภาพทางทะเล ทั้งทางทหารและ ทางพาณิชย์(พาณิชย์นาวี)
ได้ครอบคลุมภูมิภาค
๓. ทางอากาศ มีความพร้อมในการขยายศักยภาพทางอากาศทั้งทางทหาร และเชิงพาณิชย์ ในพิสัยโดยรอบภูมิภาค
๔. มีทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะด้านการเกษตร สามารถขยายฐานผลิตด้านเกษตรได้โดยง่าย
และมีพื้นที่ติดกับประเทศที่มีฐานทางการเกษตร (เนื่องจากสภาวะเรือน กระจกทำให้ผลผลิตสินค้า
ด้านบริโภคจะมีความต้องการสูงขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัดในอนาคตของตลาดโลก)
๕. ผูกค่าสกุลเงินตราของประเทศไว้กับเงินสกุลดอลลาร์ ด้วยปัจจัยหลักดังกล่าวนี้ประเทศไทยนับว่า
เป็นประเทศที่มีครบทุกประการ ฉะนั้นประเทศไทยอาจถูกเลือกให้เป็นยุทธภูมิเศรษฐศาสตร์ในการดำเนินยุทธวิธี
แต่ทั้งนี้การดำเนินยุทธวิธีของยุทธศาสตร์เศรษฐกิจจะต้องขึ้นอยู่กับดัชนีแห่งเวลา (Time Table) เป็นตัวชี้นำว่า
เมื่อใดจึงจะเหมาะสมที่จะปฏิบัติการใช้ยุทธวิธีนี้ หากดัชนีแห่งเวลาไม่อยู่ในช่วงที่เหมาะสมแล้ว
จะทำให้ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไม่สามารถบรรลุผลได้ ดังนั้นยุทธวิธีจึงถูกแบ่งเป็น ๓ ขั้นตอน
โดยมีดัชนีเวลาเป็นตัวกำหนดอัตราเร่งและปฏิบัติการที่ตายตัว

ขั้นตอนที่ ๑ เริ่มในปี ๒๕๓๓ ถึง ๒๕๓๙ ใช้ยุทธวิธีตัว M(Mental)สร้างค่านิยมใหม่ สลายศรัทธาเดิม
ประสานกับ O (Organization) สร้างกระแส ประสานเสริมศักยภาพให้กับ M
ขั้นตอนที่ ๒ เริ่มในปี ๒๕๔๐ ใช้ยุทธวิธีของ C (Cash Devalue)อันเป็นC ตัวที่หนึ่ง เป็นตัวนำ
โดยการทำลายค่าของเงินให้ต่ำลงเพื่อบีบให้เข้าสู่ ขั้นตอนที่ ๓ โดยใช้อัตราเร่งรวมจากผลคูณของ M และ O
ขั้นตอน ๓ เริ่มในปี ๒๕๔๑ เป็นการเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย ใช้ยุทธวิธีของ C ตัวที่สองซึ่งจะมีอัตราเร่งสูงสุด
จากผลคูณของมวลรวมของ ๑ และ ๒ โดยมีเป้าประสงค์อยู่ที่การเข้าควบคุมระบบการเงินทั้งหมดให้ได้แบบเบ็ดเสร็จถาวร
โดยอาศัยอำนาจทางกฎหมาย หรือวิธีการอื่นใด

เมื่อภาระกิจสามขั้นตอนดังกล่าวนี้เสร็จสิ้นลงตามดัชนีเวลา (Time Table) นั่นก็หมายความว่ายุทธวิธี
ทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ บรรลุเป้าประสงค์ สามารถยึดฐานที่มั่นอันถาวรเพื่อปฏิบัติการต่อเนื่องต่อไป
ประเทศไทยเป็นประเทศอันอยู่ในภาวะที่มีความพร้อมถึงขั้นเกือบ ๑๐๐% ที่ได้เตรียมการไว้อย่างเป็นรูปธรรม
ในการต้อนรับนักธุรกิจ และนักลงทุนชาวฮ่องกง ที่มีความตั้งใจจะย้ายฐานการดำเนินการดำเนินธุรกิจจากเกาะฮ่องกง
เข้าสู่ประเทศไทยภายหลังฮ่องกงกลับไปอยู่กับจีน มีการก่อสร้างที่พักอาศัย และอาคารพาณิชย์ไว้รองรับอย่างพรักพร้อม
จึงมีนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์กันมากเป็นประวัติการณ์ สถาบันการเงินทุกแห่ง
ต่างปล่อยสินเชื่อในด้านอสังหาริมทรัพย์ก็ด้วยปัจจัยนี้เป็นหลัก ซึ่งหากปล่อยให้นักธุรกิจฮ่องกงย้ายฐานมาอยู่ในประเทศไทย
ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอาเซี่ยนได้เมื่อใดก็ตามนั่นหมายถึงความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจของเอเซียอันเต็มไปด้วย
ทรัพยากรทางเกษตรซึ่งเปรียบเหมือนกระเพาะของโลก จะเป็นตัวได้เปรียบทางด้านการค้า และการเงินของโลกในอนาคต
อย่างมหาศาล เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของตลาดการค้าอื่น ๆ ซึ่งไม่มีพื้นที่จะสร้างผลผลิตทางเกษตรอันปัจจัยหลัก
ในการดำรงชีพ เช่น เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และประกอบกับประเทศมหาอำนาจได้สูญเสียศักยภาพทางทะเล
ในด้านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ไป ยังไม่สามารถหามาทดแทนได้ ฉะนั้นอาศัยดัชนีเวลาที่เหมาะสมเป็นไปได้ว่า
ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจได้เริ่มขึ้นโดยมีประเทศไทยเป็นเหยื่อแห่งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ตามยุทธวิธีแห่งสมการ
ดังกล่าวตลอดมา ตั้งแต่ปี ๒๕๓๓ ผู้เขียนจะไม่อธิบายในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งท่านผู้อ่านจะเห็นได้เองอย่างเป็นรูปธรรม
ฉะนั้นจะขอลำดับเหตุการณ์ เฉพาะเหตุการณ์สะท้านโลกที่พาประเทศและประชาชนชาวไทย ก้าวเข้าสู่ห้วงวิกฤต ดังนี้

ในช่วงปลายปี ๒๕๓๙ ได้มีการข่าวที่สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ทั้งจริงและไม่จริง ทำลายความเชื่อ มั่น ในสถาบันการเงิน
อย่างเป็นระลอก นี่เป็นการเริ่มต้นของ M(Mental) อันเป็นอักษรตัวแรกของสมการ เพื่อก่อให้ความเชื่อว่าน่าจะเป็นจริง
ตามข่าวลือนั้นคือเกิดกระแส O(Organization) อักษรตัวที่สองคือความไม่เชื่อมั่นในสถาบันการเงินเกิดขึ้น
กับประชาชนในประเทศไทยจากนั้นเป็นหน้าที่ของ C(Cash Value) อักษรตัวที่สามอันสร้างจากสถาบันความเชื่อถือมูดดี้ส์
และ เอสแอนพีประสานงานกันอย่างต่อเนื่องโดยลดความน่าเชื่อถือของไทยลงไป ตามติดด้วยนายจอร์จ โซรอส
ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ค่าเงินบาทตกต่ำลงในทันทีและการกระทำดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวแต่เป็นการกระทำอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต่อสู้ตามหลักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์และการเงิน ซึ่งได้เคยกระทำมาในอดีต
โดยการป้องกันค่าเงินบาท แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ

ดังได้กล่าวไปแล้วว่าสมการนี้มีความผกผันมากมาย ฉะนั้นยิ่งแก้ไขยิ่งยุ่งเหยิง พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น
ประกาศจะสู้กับนักค้าเงินให้ถึงที่สุด ไทยเป็นเลือดนักรบมาแต่บรรพกาล แม้รู้ว่าจะต้องตายก็ขอสู้จนเลือดหยดสุดท้าย
แต่ถึงท่านจะเก่งอย่างไร มีที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจการเงินที่เชี่ยวชาญขนาดไหน ก็ไม่มีวันพ้นศักยภาพแห่งสมการของ
ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจที่ได้ตั้งดัชนีเวลาไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นการปล่อยข่าวทำลายศรัทธา(M) ทั้งสถาบันการเงิน
และตัวท่านจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดท่านก็พลาดเข้าสู่สมการอุบาทว์แห่งยุทธวิธีนี้จนได้
ในการสั่งปิดสถาบันการเงินต่าง ๆ (O) และในที่สุดในวันที่ ๒ ก.ค.๒๕๔๐ ประเทศไทยต้องประกาศให้เงินบาทลอยตัว(C)
ทำให้เงินบาทมีค่าน้อยลงกว่าเดิม ซึ่งเป็นระยะเวลาเดียวกันกับเหตุการณ์ที่ฮ่องกงกลับไปอยู่กับจีน
ดูเวลาช่างประจวบเหมาะกันเหลือเกิน ย่อมมิใช่เป็นการบังเอิญเป็นแน่ และเป็นอุบัติการที่นักเศรษฐศาสตร์ทั้งโลกช็อค
หาคำตอบและสาเหตุไม่ได้ว่า เกิดจากอะไรกันแน่ และไม่มีปัจจัยบอกเหตุทางเศรษฐศาสตร์ให้รู้ล่วงหน้าเสียด้วยซ้ำ
สมการแห่งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจมิได้หยุดเพียงเท่านี้ นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ถึงครึ่งทางของเป้าประสงค์เสียด้วยซ้ำ
เนื่องจากตัวสมการทุกตัวของยุทธวิธีมีค่าเป็นคูณเสมอ โดยเฉพาะตัวอักษร C นั้นนอกจากจะคูณแล้วยังยกกำลังสองอีกด้วย
การปฏิบัติการจึงดำเนินต่อไปด้วยอัตราเร่งที่เร็วขึ้นกว่าเดิมเป็นทวีคูณ สมการนี้ก็เริ่มดำเนินการอีกโดยการสร้างความเชื่อ
ในสังคมว่าประเทศไทยต้องพึ่ง สถาบันการเงินระหว่างประเทศ IMF แห่งเดียวเท่านั้นจึงจะรอดพ้นจากความหายนะทางเศรษฐกิจ
ในขณะที่สถาบันและองค์กรการเงินในโลกนี้มีหลายร้อยหลายพันสถาบัน การสร้างความเชื่อเช่นนี้ก็เพราะว่า
นโยบายการทำงานของ IMF จะช่วยให้สมการ นี้บรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้นโดยเฉพาะในการสลายองค์กร(C)
ซึ่งแน่นอนที่สุดสมการนี้ก็ประสบผลสำเร็จเช่นเคย ประเทศไทยตกลงกู้เงินจากIMF (ซึ่งเป็นตัวเบิกทางให้กับ C ตัวที่สอง)
ให้เข้าควบคุมองค์กรและระบบการเงินของประเทศได้ โดยใช้เงื่อนไขเป็นหลักในการดำเนินการในอนาคต

เส้นทางของเป้าประสงค์แห่งสมการอุบาทว์นี้ยังอยู่อีกไกล ทั้งนี้เป็นด้วยองค์ประกอบในขณะนั้น พรรคฝ่ายค้าน
ล้วนแล้วแต่เป็นนักกฎหมาย ย่อมคัดค้านต่อรัฐบาลในการที่จะออกกฎหมายให้คนต่างชาติมีสิทธิทางกฎหมายเท่าเทียมกับ
คนไทยในประเทศได้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะสัมฤทธิ์ผลในการเข้ายึดพื้นที่ทางเศรษฐกิจโดยสมบูรณ์
ตามกฎหมายและดุษณีภาพ สมการของ C ตัวที่สอง ดังนั้นยุทธวิธีทำลายความเชื่อมั่นในตัวผู้นำจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม (M)
การสร้างแนวร่วมขึ้นต่อต้านโจมตีนโยบายรัฐบาล(O) พร้อมไปกับการลดความเชื่อถือทางการเงินทำให้ค่าเงินบาทลดลง
อย่างน่าใจหาย (C) ในที่สุดรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ก็จบลง อันเป็นไปตามขั้นตอนของยุทธวิธี
แห่งสมการ

รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายชวน หลีกภัย เข้ารับหน้าที่แทน มีคณะทีมเศรษฐกิจซึ่งบอกเล่ากล่าวขานกันว่า
มีฝีมือในการบริหารการเงิน เพื่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ก็มิได้รอดพ้นที่จะเป็นเครื่องมือของสมการอุบาทว์นี้เช่นกัน
โดยแทบจะทันทีทันใดหลังรับตำแหน่ง ก็ได้สั่งปิดองค์กรและสถาบันการเงิน ๕๖ แห่งอย่างถาวร
ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว การสั่งปิดหรือยึดทรัพย์ สินนั้นเป็นอำนาจของศาล ภายใต้ข้อเท็จจริงอันได้พิสูจน์โดยชัดแจ้ง
ซึ่งก็นับว่าขัดต่อกฎหมายอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังไม่มีหลักเกณฑ์ใดที่จะใช้พิสูจน์ว่าหนี้ใดดีหนี้ใดเสียได้อีกด้วย
แต่ด้วยพลังแห่งสมการทำให้ ทีมเศรษฐกิจใช้เพียงข้อสมมุติฐานว่าหากปิดสถาบันการเงินเหล่านี้แล้ว
จะทำให้ต่างชาติมีความเชื่อมั่นกลับมาลงทุน และค่าเงินบาทจะสูงขึ้นกว่าเดิม ผลปรากฏว่าต่างชาติกลับลงทุน
ในตลาดหุ้นของไทยน้อยลง รวมทั้งค่าเงินบาททำสถิติตกดิ่งต่ำยิ่งกว่าเดิม ผู้เขียนคงไม่ต้องอธิบายกันซ้ำอีกละว่า
ยิ่งแก้เหมือนยิ่งช่วยเร่ง ผลที่เกิดตามมาคืออุตสาหกรรมการส่งออกขาดสภาพคล่องไม่มีเงินในการซื้อวัตถุดิบในการผลิต
พนักงานตกงานในทันทีนับเป็นหมื่นคน วงล้อสมการอุบาทว์ยังคงหมุนต่อไป การทำลายความเชื่อถือในเงินบาท
ยังเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอโดยสถาบันความเชื่อถือมูดี้ ประกาศลดเครดิตต่ำลงไปอีก ทำให้ต้องใช้เงินกู้ที่เป็นเงินสำรอง
ออกแทรกแซงค่าเงินบาทซ้ำแล้วซ้ำอีก แนวความคิดเริ่มจะเชื่อว่าหากมีชาวต่างชาติเข้าถือหุ้นในบริษัทของคนไทย
หรือซื้อบริษัทไปบริหารเลยได้มากเท่าไรจะช่วยเศรษฐกิจไทย ได้มากขึ้นเท่านั้นแรงขึ้นทุกขณะ และเกิดการเปลี่ยนแปลง
บทบัญญัติอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าถือหุ้นนิติบุคคลได้เกินกว่าร้อยละ 50 และต่อไปคืออนุญาตให้ต่างชาติถือครองที่ดิน
และประกอบอาชีพได้เช่นประชาชนไทย ภายใต้ความเชื่อว่าเป็นการนำเงินตราเข้าประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่
ชาวต่างชาติเข้าซื้อหรือถือหุ้นในขณะนี้กลับเป็นสถาบันการเงิน ซึ่งเมื่อไม่กี่เดือนมานี้รัฐบาลมีความเชื่อว่าเป็นตัวก่อปัญหา
ให้เกิดหนี้สิน (สิ่งนี้จะเห็นได้อย่างชัดในเรื่องตลาดเงินเสรี อันเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ใช้สมการนี้) จะเห็นว่า
ความผกผันของสมการนี้มีศักยภาพสูงมากเพราะว่ายิ่งแก้ไขมากเท่าไรยิ่งจมลงสู่ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ลึกลงไปทุกที
สัจธรรมที่ว่าอย่าเชื่อสิ่งที่เห็น จงเชื่อสิ่งที่เป็น ยังคงความอมตะเสมอ

ทีนี้เรามาดูถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยต่อไป ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว เมื่อเกิดภาวะวิกฤตเช่นนี้เกิดขึ้น
ทางแก้ปัญหาโดยสามัญคือ การส่งสินค้าออกให้มากที่สุดเพื่อให้ได้เงินตราต่างประเทศเข้ามามากที่สุด
แต่สำหรับสมการแห่งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจนี้การแก้ไขคือการฆ่าตัวตาย พิสูจน์กันได้ชัดดังนี้คือ สินค้าออกของเราคือข้าว
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นกันไปทั่วว่าเราขายข้าวเป็นสินค้าออกมากกว่าปีที่แล้ว และยังได้ราคาดีกว่าด้วยตามปกติแล้ว
ย่อมหมายถึงกำไร แต่เปล่าเลยด้วยสมการนี้ ยิ่งส่งออกยิ่งขาดทุน ลองมาดูตัวเลขกันแบบตันต่อตันก็ได้ ในปี ๒๕๓๙
เราขายข้าวตันละ ๔,๐๐๐ บาท เท่ากับ $๑๔๒.๘๖(๒๘บาท/ดอลลาร์) แต่ในปี ๒๕๔๐ เราขายข้าวตันละ ๖,๐๐๐บาท
เท่ากับ ๑๒๗.๖๖(๔๗บาท/ดอลลาร์) เมื่อนำเอาตัวเลขตามอัตราแลกเปลี่ยนมาลบกันจะเห็นว่าเราขาดทุนไปตันละ ๑๕.๒๐ ดอลลาร์
หรือประมาณ ๗๑๔บาท ในการขายข้าวทุก ๆ หนึ่งตัน ดังนั้นยิ่งส่งออกข้าวมากขึ้นเท่าไร นั่นหมายถึงเรายิ่งได้เงินน้อยลง
และซ้ำร้ายไปกว่านั้นโรงสี ผู้รับซื้อข้าวขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนักไม่มีเงินสดมาซื้อข้าวจากเกษตรกร
เนื่องจากสถาบันทางการเงินถูกปิด หรือเปลี่ยนระบบการทำงาน ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้การแนะนำเงื่อนไขของ IMF
ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วการสร้างสภาพคล่องทางการเงินคือสร้างให้เกิดกระแสการเงินหมุนเวียนภายในประเทศให้มากที่สุด
ส่งเสริมให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยให้มาก หรือตามปกติ แต่ไม่ควรใช้ของนอก จำกัดการนำของนอกเข้า หรือจำกัดการนำเงิน
ออกนอกประเทศ รีบกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นให้มากที่สุดโดยผ่านทางงบประมาณของรัฐ สร้างความเชื่อถือในความมั่นคง
ของสถาบันการเงินให้มากที่สุด แต่เนื่องจากว่าการแก้ไขปัญหาทั้งหลายจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ได้สัญญาไว้กับ IMF
เอาเฉพาะเรื่องที่เกิดความผลผิดพลาดอันจากคำแนะนำของ IMF ที่เกิดขึ้นกับประเทศเมื่อวันที่ ๘ ธ.ค.๒๕๔๐
ปิดสถาบันการเงิน ๕๖ แห่ง ทำให้ประเทศต้องเป็นหนี้เพิ่มขึ้นเฉพาะ ๔๘ ชั่วโมงแรกหลังคำสั่งนั้นกว่า ๕ หมื่นล้านบาท
เฉพาะชั่วโมงเดียว ทำให้ประเทศไทยที่แทบจะไม่มีเงินสำรองอยู่แล้วต้องนำเงินออกมาปกป้องค่าเงินบาท
ทำให้เงินสำรองของประเทศสูญไปอีก ซึ่งยังไม่นับรวมถึงปัจจุบันว่าหนี้ได้เพิ่มขึ้นอีกมากเท่าใดใครจะรับผิดชอบ
เงื่อนไขและคำแนะนำดังกล่าวมีผลกระทบไปถึงประชาชนชาวไทย มีผลต่อวิถีชีวิตครอบครัว สภาพธุรกิจทั่วไปซึ่ง
ไม่อาจดำเนินกิจกรรมได้โดยปกติสุข ปัญญาผู้มีความรู้ทั้งทางการเงินและสาชาต่าง ๆ อันเป็นทรัพยากรบุคคลนับเป็นล้านคน
ซึ่งรัฐได้เสียงบประมาณการศึกษาหลายแสนล้านสร้างขึ้นมา กลายเป็นบุคคลไร้อาชีพ เนื่องจากธุรกิจจำนวนมากต้องปิดตัวเอง
เนื่องจากขาดสภาพคล่องในการดำเนินการ ก่อให้เกิดภาวะอาชญากรรม และเพิ่มจำนวนทุจริตชนมากขึ้น อันหมายถึง
ความไม่สงบเรียบร้อยภายในย่อมเกิดขึ้นตามมา ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงสภาพสังคมของเยาวชนไทยที่ต้องออกจากการศึกษา
เนื่องจากภาวะทางเศรษฐกิจ จะเป็นปัญหาต่อเนื่องยาวนานที่ฝังรากลึกกับอนาคตของชาติในด้านศีลธรรมจรรยา
ที่พวกเขาพลาดเวลาในการเข้าศึกษาอบรมในวัยอันควรซึ่งจัดเป็นปัญหาในแนวดิ่ง การตัดงบประมาณต่าง ๆ
ทำให้เสียสภาพคล่องในประเทศจัดเป็นการสูญเสียในแนวราบ ล้วนแล้วแต่เกิดจากการแนะนำของ IMF ทั้งสิ้น
ต้องกล่าวชม นายกมหาเธร์ โมฮัมมัด ที่ไม่ยอมหลงกลเป็นเหยื่อให้กับสมการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจนี้ ซึ่งปรากฏผลว่า
ปัจจุบันค่าเงินริงกิตของมาเลเซียไม่ได้ตกต่ำตามที่ใครๆ คิด เมื่อเทียบกับค่าเงินบาทในเวลาเดียวกัน สภาพเศรษฐกิจ
ในมาเลเซียปัจจุบันก็มิได้เลวร้ายเช่นดังเกิดขึ้นในประเทศไทย ในอนาคตระบบธนาคารของไทยโดยเฉพาะสินเชื่อ จะเป็นอัมพาต
หนี้ด้อยคุณภาพจะพุ่งขึ้นสูงสุด สั่งเข้าส่งออกจะตายสนิท และต่างชาติ มหาอำนาจจะใช้รัฐบาลเป็นเครื่องมือออกกฎหมาย
เพื่อเข้ายึดครองเบ็ดเสร็จ

ณ จุดนี้ ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า ประเทศของเราเป็นเหยื่อของยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไปแล้วหรือไม่ หากไม่เหตุไร
เราจึงไม่สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นได้ด้วยคนไทยเอง เหตุใดเราจึงต้องได้ยินคำกล่าวอ้างทุกครั้งว่าเป็นคำสั่ง
หรือเป็นเงื่อนไขของ IMF เป็นผู้ให้กระทำทั้งสิ้น สิ่งที่น่าแปลกที่สุดในขณะนี้ก็คือการกระทำตามเงื่อนไขกลับเพิ่มปัญหา
และส่งผลในทางลบกับประเทศ การกระทำหลายอย่างขัดต่อ ตัวบทกฎหมายความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี
อันส่งผลร้ายในระยะยาวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งประชาชนทุกหมู่เหล่าชาวไทยในแผ่นดิน มิได้เลือกเว้นว่าเป็นลูกเล็กเด็กแดง
อันไม่มีส่วนรับรู้ตกอยู่ในสภาพของเสมือนดังลูกหนี้ถ้วนหน้ากัน ต้องมีหน้าที่ใช้หนี้ที่ไม่เคยรู้เห็น ฉะนั้นหากเราเป็นหนี้ IMF จริง
โดยสภาพกฎหมายประชาชนไทยในฐานะลูกหนี้ ก็มีสิทธิ์ที่จะรู้เห็นสัญญาเงินกู้ที่ได้ทำไว้กับเจ้าหนี้คือ IMF
เพราะนับแต่วันที่อ้างว่ากู้เงิน IMF มาจนบัดนี้ยังไม่เคยมีการแสดงสัญญาเงินกู้ดังกล่าวต่อสาธารณชน และหากว่า
สัญญาเงินกู้ดังกล่าวนั้นรัฐบาลถือว่าเป็นความลับของชาติ ภาครัฐก็สามารถส่งให้คณะกรรมการกฤษฏีกา หรืออัยการสูงสุด
ซึ่งล้วนแล้วได้ผ่านการวินิจฉัยสัญญาอันเป็นความลับสุดยอดของประเทศมาแล้วทั้งสิ้น และเป็นอำนาจโดยตรงตามกฎหมาย
ที่ให้ทำหน้าที่ตรวจสอบเงื่อนไขสัญญาใด ๆ อันรัฐได้กระทำกับต่างประเทศ ถึงความได้เปรียบเสียเปรียบและ
ผลประโยชน์ของประเทศอยู่แล้ว (เพราะไม่มีปรากฏในประมวลกฎหมายใดของประเทศไทย ที่อนุญาตหรือยกเว้นให้ชาวต่างชาติ
มีอำนาจออกคำสั่ง ในการบริหาร สั่งการ หรือสร้างเงื่อนไขให้รัฐปฏิบัติตามได้ ผู้เขียน)แต่ก็ไม่เคยมีการส่งให้
หน่วยงานดังกล่าวตีความ เพราะข้อเท็จจริงที่มีอยู่จริงก็คือ ประเทศไทยไม่เคยทำสัญญาเงินกู้ใด ๆ เป็นลายลักษณ์อักษรกับ IMF
แม้แต่ฉบับเดียว สิ่งที่นำมากล่าวอ้างเป็นเพียงข้อเสนอฝ่ายเดียวซึ่งรัฐบาลไทยเสนอกับ IMF ว่าจะทำอะไรตอบแทนบ้างเท่านั้น
ดังที่เรียกกันว่าหนังสือแสดงเจตจำนงค์ หรือ LETTER OF INTENT นั้น ลงนามโดยรัฐบาลไทยฝ่ายเดียว ซึ่งสามารถแก้ไข
ยกเลิกได้ตลอดเวลา แต่ทำไมจึงกลายเป็นเงื่อนไขที่รัฐบาลต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด เช่นต้องปิดสถาบันการเงิน
หรือขายรัฐวิสาหกิจ และไม่เคยปรากฏว่ามีสัญญาเงินกู้ LOAN AGREEMENT กับ IMF เลยแม้แต่ฉบับเดียว
แล้วเราเป็นหนี้เขาแต่เมื่อไร ? นี่คือสิ่งที่ประชาชนไทยต้องการความกระจ่างชัด
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:33 am

ตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ท่านผู้อ่านคงจะวินิจฉัยได้โดยเหตุผลและข้อเท็จจริง จึงขอฝากความเป็นความตายของชาติ
ไว้ในมือของท่านผู้ทรงปัญญา นักวิชาการและประชาชน ที่จะหาแนวทาง วิธีการแก้ไข ถอดสมการอุบาทว์ให้หมดศักยภาพไป "
ก่อนที่คนไทย จะไม่เหลือแผ่นดิน " ( พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ : อ้างแล้ว )

สูตร E = MOC 2 นี้เป็นสูตรการปฏิบัติการทางยุทธวิธีที่ใช้ยึดครองพื้นที่ต่าง ๆ แทนการเข้ายึดครองโดยกำลังทหารที่เคยใช้มา
ตั้งแต่ในอดีตและได้มีการเปลี่ยนแปลงพลิกแพลงเพื่อให้ประชาชนของประเทศที่เป็นเป้าหมายตายใจคิดไม่ถึงว่า
การยึดครองจะสามารถใช้วิธีการอื่นนอกเหนือจากการใช้กำลังทหารได้ แต่เมื่อถูกยึดครองแล้วจึงรู้ตัว หรือไม่ก็ไม่รู้ตัวเลย
ซึ่งโดยเป้าหมายของการใช้สูตรนี้ต้องการที่จะไม่ให้ประชาชนของประเทศที่เป็นเป้าหมายมีความรู้สึกว่าถูกยึดครอง
ต้องการที่จะให้มองเห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สามารถจะเกิดขึ้นได้ในลักษณะปลาใหญ่กินปลาเล็กแล้วในที่สุดก็เฉยไป
ผลที่ตามมาคือประชาชนเจ้าของประเทศไม่คิดที่จะต่อต้านการยึดครองอันนั้น นี่คืออานุภาพของสูตรแห่งการยึดครองอันนี้
กลยุทธ์นี้จึงสามารถที่จะเรียกได้อย่างสมบูรณ์ว่าเป็นกลยุทธ์ “ ปิดฟ้าข้ามทะเล” กลยุทธ์นี้ใช้การพรางตามาปกปิดจุดประสงค์ของตน
มิให้ฝ่ายตรงข้ามพบเห็นได้ง่าย เพื่อบรรลุหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้อย่างหนึ่ง นั่นคือการยึดครองทางเศรษฐกิจแทนการยึดครอง
ด้วยกำลังทหารที่หาโอกาสใช้ยากขึ้นแล้วในยุคต่อ ๆ มา

M ( Mental ) แท้ที่จริงแล้วการใช้การยึดครองจิตใจของคนหรือการเข้าครอบงำจิตใจ คือการยึดพื้นที่ทางสมองให้
วิธีการอาจจะเป็นลักษณะโดยการให้การศึกษาให้มีความเชื่อตามแนวทางของผู้ต้องการยึดครอง ประการนี้จะเห็นได้ว่า
เมื่อผู้ใดก็ตามที่จบการศึกษาจากประเทศสหรัฐอเมริกา หรือประเทศมหาอำนาจใด ๆ ก็ตามก็มักจะมีจิตใจโน้มเอียงไป
ในทางเข้าข้างประเทศนั้น ในประเทศไทย นักเรียนนอกในยุคปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่จบการศึกษามาจากประเทศสหรัฐอเมริกา
บุคคลเหล่านี้จะมีความจงรักภักดีต่อประเทศนี้ชนิดที่ยอมสละชีวิตเลยทีเดียว ทั้งนี้เพราะบุคคลเหล่านี้หลังจากที่จบการศึกษา
จากประเทศดังกล่าวมาแล้วถ้าทำตัวให้เด่นในวงสังคมและวงการงานประเทศดังกล่าวก็จะให้การสนับสนุนให้มีหน้าที่การงานที่ดี
มีอิทธิพลอำนาจพอที่จะสามารถอำนวยประโยชน์ให้กับเขาได้ ในหลายประเทศก็เป็นเช่นนั้น ในวงการเมือง วงการทหาร
วงการข้าราชการ วงการธุรกิจ วงการศึกษา ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลของประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาในลักษณะของการ
ให้ความช่วยเหลือโดยผ่านผู้ที่จบการศึกษาที่ถูกใส่ข้อมูลมาในเบื้องต้นแล้วมาครอบงำเพื่อนร่วมงานในวงการงานของตน
ด้วยความรู้ทางวิชาการแฝงไว้ด้วยวัฒนธรรมที่ประเทศสหรัฐฯ ใส่เข้ามาทางความคิดเหมือนลักษณะการล้างสมองหรือการสะกดจิต
นอกจากการให้การศึกษาแล้วยังมีการใช้สื่อต่าง ๆ ที่ทำให้ประชาชนในประเทศเป้าหมายมีความนิยมชมชอบวัฒนธรรมของสหรัฐอเมริกา
ในลักษณะมีความจงรักภักดีอย่างไม่เสื่อมคลาย การปฏิบัติลักษณะเช่นนี้วิทยาการทางทหารสมัยใหม่เรียกว่า Psychological Warfare
หรือสงครามจิตวิทยา การใช้สงครามจิตวิทยาดังกล่าวนั้นในยุคโลกาภิวัตน์ อันเป็นยุคแห่งข่าวสารข้อมูลที่มีความรวดเร็วประสิทธิภาพ
ของการปฏิบัติงานด้านสงครามจิตวิทยายิ่งมีมากขึ้น การครอบครองโดยการยึดครองพื้นที่ทางสมองจึงเป็นไปได้ง่ายดายยิ่งขึ้น

ดังนั้นการปฏิบัติตามสูตร E = MOC 2 ในขั้นตอนนี้ อาจจะสามารถเป็นได้ทั้งกลยุทธ์ “ ปิดฟ้าข้ามทะเล”
และกลยุทธ์ “ จับโจรเอาหัวโจก” ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของประชาชนประเทศที่ถูกยึดครองมักจะไม่ระวังการยึดครองด้านมันสมอง
หรือด้านความคิด ทำให้สำเร็จในสิ่งที่ไม่คาดคิดในลักษณะการจู่โจมปกปิดเป้าหมายที่แท้จริงจึงเป็นการใช้กลยุทธ์ “ ปิดฟ้าข้ามทะเล”
ส่วนกลยุทธ์ “ จับโจรเอาหัวโจก” นั้น ถ้าคิดถึงจุดศูนย์ดุลของประเทศคือจิตใจของประชาชน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
สามารถยึดกุมจิตใจของประชาชนในชาติได้ก็ย่อมที่จะสามารถยึดครองประเทศได้ทั้งหมด ถ้าเปรียบประเทศเหมือนกองทัพ
จิตใจของประชาชนในชาติก็เหมือนแม่ทัพ ซึ่งมีความสำคัญถึงขั้นการเป็นหัวหน้า ถ้าเปรียบกับโจรก็เปรียบได้เป็นหัวหน้าโจร
ฉะนั้นการยึดกุมจิตใจของประชาชนในชาติก็เท่ากับว่าเป็นการจับเอาหัวใจของประเทศนั่นเอง นั่นคือการปฏิบัติลักษณะเช่นนี้
จึงสามารถที่จะกล่าวได้อีกเช่นเดียวกันว่าเป็นการใช้กลยุทธ์ “ จับโจรเอาหัวโจก”

O ( Organization) หมายถึงองค์กร ประเทศผู้ใช้สูตรสมการกลืนชาติอันนี้ได้มีการวางแผนการเกี่ยวกับการใช้องค์กรที่เป็นหลักใหญ่ ๆ
คือ การสร้างองค์กรใหม่ สลายองค์กรเดิม ที่เห็นได้ชัดในประเทศไทยก็ได้แก่ การยุบเลิกหน่วยงานราชการบางหน่วยงาน
การปรับเปลี่ยนโดยอ้างว่าเพื่อให้มีความเหมาะสมแก่ยุคแก่สมัย การลดอำนาจของฝ่ายข้าราชการประจำเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับ
ข้าราชการการเมือง การพยายามปฏิรูปองค์กรด้านสาธารณูปโภคของประเทศ เช่น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การปฏิรูปการเมือง
ที่สลายองค์กรเก่า แล้วมีองค์กรใหม่ขึ้นมาแทน สิ่งเหล่านี้ ฟังแล้วดูดี เป็นเป้าหมายที่เมื่อประชาชนฟังแล้วเกิดความคิดคล้อยตาม
สิ่งเหล่านี้ได้มีการว่างแผนมาล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องทำให้ได้ในลักษณะเช่นนี้ให้ได้ในเบื้องต้น คือการใช้เงื่อนไขที่สอดคล้อง
กับความต้องการของประชาชน ประชาชนส่วนใหญ่จึงจะช่วยสนับสนุน กลยุทธ์อย่างนี้คือ “ ยืมดาบฆ่าคน” แต่ประชาชน
ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบาง ก็คล้อยตามเพียงได้ทราบข้อมูลเพียงชั้นเดียวก็คล้อยตามซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของชาวบ้านที่ไม่ได้มีความคิด
ที่ลึกซึ้งหรือวิเคราะห์อะไรที่มากไปกว่าชั้นเดียว ส่วนนักวางแผนต้องคิดลึกมากกว่านั้นหลายเท่า เมื่อประชาชนสนับสนุน
แม้ว่าจะได้รับการต่อต้านจากเจ้าหน้าที่หรือบุคคลในองค์กรและผู้ที่พอจะรู้เป้าหมายของแผนการบางกลุ่มด้วยเสียงสนับสนุน
จากประชาชนที่มากกว่าย่อมจะสู้ไม่ได้ จึงสามารถที่จะบรรลุตามเป้าหมายการปฏิบัติการของฝ่ายวางแผนอย่างง่ายดาย
การลดขนาดของข้าราชการประจำ หรือเปลี่ยนจากข้าราชการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่เห็นเด่นชัดก็คือ การตัดขาดความสัมพันธ์
ระหว่างข้าราชการกับสถาบันพระมหากษัตริย์ การเข้าชี้นำการบริหารงานของข้าราชการประจำให้ได้เพื่อให้ข้าราชการใหม่
ต้องคล้อยตามแนวทางของฝ่ายการเมืองที่มีประเทศสหรัฐฯ ผู้ใช้สูตรสมการกลืนชาติโดยผ่านทางฝ่ายการเมืองได้โดยง่าย
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ก็เพื่อผลประโยชน์ที่ต่างชาติต้องการเพราะเป็นสาธารณูปโภคที่มีค่าทางทรัพย์สินและมีค่าทางด้าน
การครอบครองประเทศ เมื่อครอบครองความเป็นอยู่ของประชาชนได้ก็เท่ากับว่าควบคุมประชาชนได้ทั้งหมดและก็เท่ากับว่า
สามารถครอบครองประเทศได้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน การจะเข้าครอบครองที่ดินและศาสนสมบัติก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
ก็เพื่อทั้งที่ต้องการครอบครองสินทรัพย์และการที่ต้องการเข้าครอบครองยุทธศาสตร์ที่สำคัญของชาติด้วย วันนี้ทำไม่ได้
เพราะมีการต่อต้าน วันพรุ่งนี้ทำใหม่ยังสามารถรอได้ไม่รีบร้อน

การสร้างองค์กรใหม่ขึ้นมาที่เห็นชัดที่สุดที่ไม่เพียงแต่ใช้ในประเทศไทยเท่านั้น ยังใช้กับการปฏิบัติการทั่วโลกคือ
องค์กรเอกชนหรือ NGOs เห็นได้ชัดที่สุดที่สังเกตได้ก็คือ

๑) NGOs กว่าร้อยละ ๙๐ รับเงินเพื่อการเคลื่อนไหวกิจกรรมของตนเองจากต่างชาติ ( สหรัฐฯ )
ซึ่งจะต้องตอบแทนผู้ที่ให้การสนับสนุนด้านเงินทุนอย่างไม่ต้องสงสัย ( ไม่มีอะไรฟรีในโลกนี้)

๒) การเคลื่อนไหวกิจกรรมของ NGOs สอดคล้องกับคำประกาศการจัดระเบียบโลกใหม่ของสหรัฐฯ
ซึ่งต้องสนับสนุนแนวทางและผลประโยชน์ของสหรัฐฯ อย่างไม่ต้องสงสัย

๓) การเคลื่อนไหวกิจกรรมของ NGOs หน้าฉากคล้ายกับว่าเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ
และประชาชนแต่หลังฉากล้วนแล้วแต่สนับสนุนตามแผนงานของประเทศผู้ให้ทุนสนับสนุนทั้งสิ้น

๔) สิ่งที่จะนำมาซึ่งความเสียหายอันใหญ่หลวงต่อประเทศชาติโดยการกระทำของต่างชาติ NGOs
จะไม่ต่อต้านและขัดขวางหรือต่อต้านพอเป็นพิธีแล้วก็เงียบไป เช่น ไม่ได้ช่วยต่อต้านการที่ประเทศชาติ
ต้องสูญเสียเงินจำนวนมหาศาลจากการขายสินทรัพย์ของ ปรส.จำนวนเกือบ ๗ แสนล้านบาทที่เอื้ออำนวย
ให้ต่างชาติได้ประโยชน์ไป ซึ่งเงินจำนวนนี้เป็นเงินจำนวนมหาศาลแต่ ไม่มีองค์กร NGOs ใด ๆ ออกมาเคลื่อนไหว
ในอันที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาติในครั้งนั้นเลย การออกกฎหมายโดยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย พรรคประชาธิปัตย์
ที่ทำให้ต่างชาติได้ประโยชน์มหาศาลแต่ประเทศไทยต้องสูญเสียผลประโยชน์ไปจนกระทั่งประชาชน
เรียกกฎหมาย ๑๑ ฉบับนั้นว่าเป็นกฎหมายขายชาติ NGOs ก็ไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านอย่างจริงจัง
( ที่ไม่ออกมาคัดค้านเพราะผู้ให้ออกกฎหมายคือฝ่ายเดียวกันกับผู้ที่ให้เงินสนับสนุนแก่ NGOs ) ก็ไม่มีองค์กรใด ๆ ของ NGOs
ออกมาคัดค้าน แต่มีออกมาคัดค้านพอเป็นพิธีดังที่กล่าวมาแล้วตามวิธีการคือ คัดค้านหรือกล่าวถึง
เมื่อการดำเนินการด้านการออกกฎหมายเสร็จสิ้นไปแล้ว ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้แล้วหรือถ้าจะแก้ไข
ก็ใช้เวลาอีกยาวนานและเป็นไปไม่ได้เพราะประเทศที่ให้การสนับสนุนได้รับประโยชน์ในขั้นตอนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

๕) มีหลักฐานอย่างแน่ชัดว่า NGOs ทำงานร่วมกับ CIA ของสหรัฐอเมริกา และเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหว
เพื่อประโยชน์ขององค์การศาสนา ( ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก) ( NGOs 2000 : , ชำระประวัติศาสตร์
กรณีตุลาและพฤษภาทมิฬ....อ้างแล้ว ) ซึ่งแน่นอนว่า กิจกรรมทั้งสิ้นของ NGOs จะต้องสนับสนุนงานขององค์กรเหล่านี้
ที่เห็นเด่นชัดก็คือการเข้าไปฝังตัวอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อการรวบรวมข่าวสารต่าง ๆ ให้กับ CIA และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ
ศาสนาทั้งสิ้นที่ทำให้ศาสนาพุทธและศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาที่ตนได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนต้องเสียหาย
พวกนี้จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือไม่เข้าไปต่อต้าน ( เพราะกลุ่มที่สร้างสถานการณ์ขึ้นกับกลุ่มที่ให้การสนับสนุนตนเป็นกลุ่มเดียวกัน)

๖) กลุ่มที่เริ่มก่อตั้ง NGOs ในประเทศไทยล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มคนที่เคยมีอุดมการณ์ทำลายประเทศชาติมาก่อนทั้งสิ้น เช่น
เป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ต้องการจะล้มล้างการปกครองของไทยไปเป็นการปกครองในลัทธิคอมมิวนิสต์
หลังจากมีการประกาศนิรโทษกรรมให้เข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทยแล้วกลุ่มคนดังกล่าวก็ได้เข้ารับการศึกษาจากประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยการสนับสนุนขององค์กรในประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วเมื่อจบการศึกษาแล้วก็กลับเข้ามาเคลื่อนไหวต่อตามแนวทาง
ที่สหรัฐฯ ต้องการ จะเห็นได้ว่า กลุ่มคนเหล่านี้จะได้รับการสนับสนุนให้เข้าดำรงตำแหน่งที่สำคัญ ๆ ในทุกวงการ เช่น
การเมือง การศึกษา ข้าราชการ ด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นนักการเคลื่อนไหวที่สำคัญคือ NGOs นั่นเอง กลุ่มคนเหล่านี้
ยังคงตกเป็นเครื่องมือของสหรัฐอเมริกาอยู่เช่นเคย ที่เมื่อครั้งหนีเข้าป่าไปเคลื่อนไหวก็ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
กลับออกจากป่าก็ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ อีก

แต่ผลที่ดำเนินการทั้งหลายของกลุ่มคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สนับสนุนต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ทั้งสิ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
( การสร้างคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยให้มากขึ้นก็โดยการสร้างของสหรัฐอเมริกาตามที่ นายพลแมกนามารา รมว.กห.สหรัฐฯ
ได้กล่าวไว้ : อ้างแล้ว , กรณีการหนีเข้าป่าของนิสิตนักศึกษาก็เกิดจากการจงใจสร้างของสหรัฐฯ : ชำระประวัติศาสตร์กรณีตุลา
และพฤษภาทมิฬ : อ้างแล้ว , การสนับสนุน NGOs ก็เป็นการสนับสนุนของสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน : ชำระประวัติศาสตร์ฯ : อ้างแล้ว )

๗) การผลักดันของ NGOs ให้มีการปฏิรูปทางการเมืองโดยให้มีการร่างรัฐธรรมนูญโดย สสร.เมื่อปี ๒๕๔๐
เนื้อหาในรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อที่จะให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ให้กับต่างชาติทั้งสิ้น และผลที่ตามมา
ก็เป็นดังที่คาดจริง ๆ รัฐบาลที่ตามมาล้วนแล้วแต่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองตามแนวทางที่สหรัฐฯ ได้บงการไว้ทั้งสิ้น
มีการเข้าครอบงำทางการเมือง การเข้าครอบงำทางด้านการทหาร การเข้าครอบงำทางข้าราชการประจำ ทางด้านศาลและที่สำคัญ
มีการเข้าครอบงำเศรษฐกิจของชาติอย่างแยบยล โดยที่ถ้าไม่ได้สังเกตให้ดีแล้วก็จะไม่รู้แต่ถ้ามองภาพรวมที่เป็นภาพใหญ่
จะเห็นได้ชัดเจนว่าสหรัฐฯ ได้เข้ามาครอบงำและครอบครองเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร ข้าราชการ และองคาพยพของประเทศไทย
เกือบทั้งสิ้นแล้ว นี่คือผลงานอีกอันหนึ่งของ NGOs

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การใช้กลยุทธ์ในการสร้างและใช้ NGOs ขึ้นมา น่าที่จะเข้าลักษณะของการใช้กลยุทธ์อย่างน้อย ๒ กลยุทธ์ด้วยกันคือ
“ กลยุทธ์ไส้ศึก” และ “ กลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ” กลยุทธ์ไส้ศึกก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า NGOs ทำหน้าที่เป็นจารชนคือ
หาข่าวและสนับสนุนข่าวให้กับสหรัฐฯ เพราะเป็นองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากสหรัฐฯ และเมื่อ NGOs
ทำงานร่วมกับ CIA และองค์การที่เอาการกุศลบังหน้าแต่แท้ที่จริงผลงานทั้งสิ้นต้องตกอยู่ที่เจ้าของเงินทุน นั่นคือเป็นการใช้กลยุทธ์
“ ไส้ศึก” ส่วนกลยุทธ์ “ ถอนฟืนใต้กระทะ”

“ ดุจฟ้าอยู่เหนือน้ำ” ตามคำอธิบายของ “คัมภีร์ ๖๔ ทิศ ปฏิบัติ” “น้ำ” หมายถึงความแกร่ง “ฟ้า” หมายถึงความอ่อน
รวมแล้วหมายความว่า เอาอ่อนชนะแข็ง ซึ่งก็คือพึงใช้วิธีอ่อนพิชิตแข็ง ฉกฉวยโอกาสทำลายกำลังส่วนหนึ่งของข้าศึกไปเสีย
ให้พ่ายไปสิ้นในภายหลัง ที่ว่า “ดุจฟ้าอยู่เหนือน้ำ” เปรียบเทียบเป็นการแก้ปัญหาให้สิ้นไปโดยพื้นฐาน กลยุทธ์นี้เป็นอุบาย
ในการบั่นทอนพลังของข้าศึกทีละส่วน จนทำลายข้าศึกเป็นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดได้อย่างหนึ่ง คำนี้ เดิมมาจากหนังสือเรื่อง
“ ไหวหนานจื่อ” ความว่า “เทน้ำร้อนลงในน้ำเดือด มิอาจหยุดเดือด จักต้องรู้ลักษณะของมัน ทอนไฟจึงหยุด”
ใน “ฎีกาประท้วงราชวงศ์เหลียง” สมัยเว่ยเหนือก็ว่า “ ถอนฟืนจึงหยุดเดือด ตัดหญ้าพึงถอนราก”

การเข้ายึดครองประเทศเป้าหมายเช่นประเทศไทย ถ้าทำให้ประเทศเข้มแข็งก็ไม่สามารถที่จะเข้ายึดครองได้โดยง่าย
ต้องทำให้มีความอ่อนแอลง จะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบกับภาวะของการเมืองปั่นป่วนไม่มีเสถียรภาพ
เพราะฝีมือของ NGOs ไม่ใช่น้อย ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวอยากที่จะทำให้การเมืองมีความเข้มแข็ง แต่กิจกรรมทุกกิจกรรม
ล้วนแต่มุ่งเป้าหมายไปที่ทำอย่างไรที่จะทำให้เสถียรภาพทางการเมืองของไทยอ่อนแอ ถ้าสงบก็ต้องสร้างสถานการณ์ขึ้น
ถ้าสหรัฐฯ สร้างเองไม่ได้ก็ให้คนของสหรัฐฯ ที่ได้รับการจัดตั้งไว้ในแต่ละประเทศเรียบร้อยแล้วเป็นคนสร้าง

ใน
ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน
ผู้ที่เปิดเผยตัวว่าเป็นฝ่ายสหรัฐอเมริกาอย่างเปิดเผยก็มีอยู่เต็มบ้านเต็ม
เมือง ผู้ที่ติดต่อรับการสนับสนุน
และรับคำสั่งจากสหรัฐฯ อยู่ตลอดเวลาก็มีอยู่ถมไปที่ไม่ต้องการจะเปิดเผยตัว แต่อย่าลืมว่าผู้ที่ดำเนินกิจกรรมในลักษณะเช่นนี้
เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอาญาของไทย เป็นลักษณะของการให้ความลับเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติให้ต่างชาติ
มีการกำหนดโทษไว้อย่างสูงด้วย เมื่อสามารถที่จะสร้างสถานการณ์อันทำให้เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพการเมืองของไทยขึ้น
เมื่อบ้านเมืองปั่นป่วน ต่างชาติก็แทรกแซงทุกกิจกรรมได้โดยง่าย ในทางตรงกันข้าม ถ้า NGOs มีความหวังดีกับประเทศชาติจริง
ต้องเป็นแกนนำในการรณรงค์ให้คนไทยมีชาตินิยม รักความเป็นไทย มีความรักในความเป็นชาติของตนเอง
ส.ศิวรักษ์ NGOs ตัวกลั่นของเมืองไทยเคยบรรยายให้นักศึกษาของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งฟังมีข้อความเกี่ยวกับการ
ปลุกระดมไม่ให้มีความเป็นชาตินิยมของไทย ( มีหลักฐานเป็น CD พร้อมที่จะแสดงให้สาธารณชนชมได้ทุกเมื่อ) และนอกจากนั้น
ส.ศิวรักษ์ ยังกล่าวจาบจ้วงสถาบันอันเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยทั้งประเทศ เช่น การแสดงวาจาจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์
สถาบันพระพุทธศาสนา พร้อมกันนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวกับเครือข่ายที่ทำงานร่วมกันทั่วโลกในการสร้างกิจกรรมที่มีความสอดคล้องกับ
แนวนโยบายของสหรัฐฯ และศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ การเคลื่อนไหวต่อต้านการวางท่อแก๊สจากพม่าอย่างเอาเป็นเอาตาย
การ
เคลื่อนไหวเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างแข็งขัน
แต่เรื่องที่เป็นสาระเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริงไม่เคยทำ
ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก
และไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปตำหนิ ส.ศิวรักษ์ และกลุ่ม NGOs แต่ประการใดไม่ ที่เขาเหล่านั้นทำก็ล้วนแล้วแต่มีความจำเป็น
เพราะบุคคลเหล่านี้ได้รับคำสั่งโดยตรงจากสหรัฐฯ และกลุ่มศาสนาอื่นเพื่อปฏิบัติหน้าที่อันนี้ให้เรียบร้อย ไม่ปฏิบัติไม่ได้
ถ้าไม่ปฏิบัติเช่นนั้น บุคคลเหล่านี้อาจจะไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตนได้ อาจจะสูญเสียชีวิตก็เป็นได้เช่นเดียวกัน
การปฏิบัติเช่นนี้เป็นเสมือนการประกอบอาชีพเพื่อหาเลี้ยงชีพตนเอง แต่เขาไม่รู้หรอกว่าจะเกิดผลเสียต่อประเทศชาติและประชาชน
อย่างมหาศาลอย่างไรในอนาคต พร้อมกันนั้นผู้ที่เป็นหัวเรือใหญ่ของ NGOs ในประเทศไทยคือ นายอานันท์ ปันยารชุน ถ้าไม่เชื่อ
ก็จงสืบประวัติความเป็นมาของบุคคลเหล่านี้ดูให้ดีก็จะรู้ว่ามีความเกี่ยวพันธ์กับสหรัฐอเมริกาอย่างไร รับอะไรจากสหรัฐอเมริกามาบ้าง
ดำเนินการอะไรไปบ้างแล้วที่เป็นประโยชน์กับสหรัฐฯ และในอนาคตก็จะดำเนินการต่อไปอีกอย่างไม่หยุดหย่อน บุคคลเหล่านี้
พยายามสร้างกิจกรรมบั่นทอนความมั่นคงของประเทศชาติอยู่ตลอดเวลา ถ้าประเทศไทยเข้มแข็งประชาชนมีชาตินิยมสหรัฐฯ
ต้องเสียประโยชน์ เมื่อประเทศไทยหรือประเทศใด ๆ ก็ตามอ่อนแอไม่สามารถที่จะดำรงความมีอธิปไตยของตนได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อนั้นสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์ การกระทำต่าง ๆ ที่กลุ่มบุคคลเหล่านี้ทำจึงมุ่งไปที่การสร้างความอ่อนแอให้เกิดขึ้นในประเทศ
กลยุทธ์นี้จึงเรียกว่า “ ถอนฟืนใต้กระทะ”

C ( Cash Devalue ) ที่ผ่านมาการทำสงครามการเงินเป็นมิติใหม่ที่ประชาคมโลกยังไม่เคยได้ยินมาก่อน จนกระทั่ง จอร์จ โซรอส
นักค้าเงินชาวสหรัฐฯ ที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ทำหน้าที่เสมือนเป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายสงครามการเงินของสหรัฐฯ
โซรอส เคยได้รับคำสั่งจากรัฐบาลสหรัฐฯ เข้าโจมตีค่าเงินปอนด์ของอังกฤษซึ่งสร้างผลกระทบด้านการเงินให้กับอังกฤษไม่น้อย
ก่อนที่จะเกิดวิกฤตด้านการเงินขึ้นที่ประเทศไทย ทั้งนี้เพราะสหรัฐฯ ต้องการที่จะควบคุมอังกฤษไม่ให้เอาใจไปฝักใฝ่
ทางด้านกลุ่มประเทศอียูจนเกินไปจนกระทั่งอียูเป็นภัยคุกคามทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อังกฤษต้องยอมทำตามเพราะสหรัฐฯ
ใช้ทั้งสงครามการตีค่าเงินและสงครามเชื้อโรคในการบีบบังคับ หลังจากนั้น โซรอส ก็ได้รับคำสั่งให้เข้ามาโจมตีค่าเงินบาท
ในประเทศไทย แล้วตีเรื่อยไปทั่วทั้งอาเซียน ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นและขยายวงกว้างออกไป เป้าหมายต่อไปหลังจาก
กลุ่มประเทศอาเซียนคือประเทศจีน นอกจากฮ่องกงจะถูกโจมตีด้วยอาวุธเชื้อโรคคือไข้หวัดนกเมื่อปี ๒๕๔๐ เป้าหมายของการโจมตี
คือต้องการผลกระทบต่อเศรษฐกิจของจีนเป็นภาพรวม โซรอส เข้าโจมตีค่าเงินหยวนของจีนในห้วงระยะเวลาใกล้เคียงกันกับ
การโจมตีค่าเงินของกลุ่มประเทศอาเซียนและประเทศในเอเชียอื่น ๆ ด้วยระบบการเงินที่ไม่เหมือนใคร ด้วยเศรษฐกิจ
ที่มีความเข้มแข็งจริงอยู่ในตัว จีนสามารถตอบโต้การโจมตีค่าเงินของ โซรอส ได้อย่างทันควัน จนกระทั่ง โซรอส
ต้องพ่ายแพ้การสงครามด้านการเงินในครั้งนี้กับจีน ยุทธวิธีที่จีนได้นำมาใช้ในการต่อสู้กับโซรอสก็คือ

การใช้จุดแข็งของระบบเงินหยวนนอกและหยวนในที่ใช้เป็นด่านในการป้องกันด่านแรก ยุทธวิธีขั้นต่อไปคือการใช้เทคโนโลยี
ช่วยเหลือการทำสงครามการเงิน กล่าวคือ การตีค่าเงินนั้นการติดตามผลแพ้ชนะจะติดตามกันที่จอภาพของตลาดหุ้น
ทุกครั้งที่ โซรอส ทุ่มเงินเข้าไปโจมตี ฝ่ายจีนจะใช้การป้อนข้อมูลให้ฝ่ายโซรอสเห็นว่าจีนเพลี่ยงพล้ำเสมอ
แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น คือจีนไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากการตีค่าเงินหยวนเลยเพราะมีระบบหยวนนอกและหยวนใน
ดังที่กล่าวแล้ว เมื่อจีนป้อนข้อมูลให้ โซรอส เห็นว่าจีนกำลังเพลี่ยงพล้ำ โซรอส ก็ยิ่งได้ใจทุ่มเงินมหาศาลเข้าไปยังตลาดนหุ้นของจีน
เมื่อทุ่มเงินเข้าไปจำนวนมากแต่ผลของภาพรวมไม่ได้ปรากฏว่าค่าเงินหยวนอ่อนลง กับทั้งเศรษฐกิจของจีนไม่ได้รับผลกระทบ
อย่างใด ๆ เลย เมื่อเงินจำนวนมากของโซรอส เข้าไปในจีนจำนวนมหาศาลแล้วแต่ไม่ได้ผลกลับออกมา โซรอส จึงรู้ตัวว่า
การโจมตีครั้งนี้ไร้ผล เป็นการพ่ายแพ้เพียงครั้งเดียวของโซรอส ในสงครามการเงิน คือพ่ายแพ้ต่อจีน ทำให้จีนยังสามารถผงาดอยู่
ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินรอบบ้านตัวเอง เรื่องเกี่ยวกับสงครามการเงินและการสร้างภาพเรื่องตลาดหุ้น
ต้องมาทำความเข้าใจกันสักเล็กน้อยว่าตลาดหุ้นเป็นสงครามทางการเงิน ตัวเงินไม่มีจริงแต่ตัวเลขในจอคอมพิวเตอร์ในตลาดหุ้น
ขึ้นลงกันอย่างมหาศาล ผู้ควบคุมตลาดหุ้นของโลกคือสหรัฐฯ ดังที่ทราบกันอยู่แล้ว จะสร้างให้หุ้นขึ้นก็ไม่ยากเพียงแค่ป้อนตัวเลขเข้าไป
จะให้ลงก็ป้อนตัวเลขให้ลดลง จะสนับสนุนการเมืองประเทศใดว่าเสถียรภาพทางการเมืองและการเงินดีขึ้นก็ป้อนตัวเลขให้สูงขึ้น เช่น
ในสมัยรัฐบาลชวน ของไทยที่มีบางช่วงที่หุ้นขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะให้รัฐบาลอยู่ได้เพื่อออกกฎหมายให้กับสหรัฐฯ
ในช่วงกฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ คนไทยยังคงจำได้ มีการจับตัวประกันชาวญี่ปุ่นในอิรัก หุ้นในญี่ปุ่นกลับขึ้นอย่างพรวดพราด
ซึ่งผิดหลักธรรมชาติ ซึ่งถ้ามีวิกฤตเกิดขึ้นผลกระทบย่อมเกิดขึ้นต่อการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ สิ่งที่อ่อนไหวง่ายที่สุดคือ
ตลาดหุ้น ถ้ามีการจับตัวประกันหุ้นต้องตกลงไม่ใช่หุ้นขึ้น แต่ที่ผ่านมาเป็นเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะสหรัฐฯ ต้องการที่จะให้ญี่ปุ่น
คงกำลังทหารไว้ในอิรักจึงป้อนตัวเลขให้เห็นว่าหุ้นของญี่ปุ่นขึ้น การทำสงครามการเงินเช่นนี้ฝ่ายที่พ่ายแพ้สงคราม
ย่อมนำไปสู่การเกิดวิกฤตทางการเงิน เศรษฐกิจ และการเมือง รวมทั้งการนำไปสู่วิกฤตการณ์ด้านอื่น ๆ อีกต่อไปเป็นลูกโซ่
เมื่อเกิดผลกระทบในทางลบต่อประเทศเป้าหมาย สหรัฐฯ จึงสามารถเข้ายึดครองได้โดยง่าย เป็นการสร้างสถานการณ์
เพื่อให้ประเทศเป้าหมายที่มีพลังอำนาจของชาติที่เข้มแข็งเปลี่ยนไปเป็นอ่อนแอ กลยุทธ์นี้จึงน่าที่จะได้ชื่อว่าเป็นกลยุทธ์
“ ถอนฟืนใต้กระทะ” ด้วยเช่นเดียวกัน

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ การใช้กลยุทธ์ เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการเอาชนะศัตรู ซุนจื่อเคยกล่าวไว้ว่า “ ผู้ที่ใช้กลอุบาย มิควรใช้เพียงหนึ่งเดียว
หากควรประกอบด้วยอุบายนานาถือหลายอุบายเป็นหนึ่งกลยุทธ์ หรือร้อยพันอุบายเป็นหนึ่งกลยุทธ์ นี้คือกลยุทธ์ที่ดีที่สุด”
และดังนั้น จึงเป็นดุจดังคำที่ว่า “ แม่ทัพผู้ปรีชา จักได้ฟ้าอนุเคราะห์” นั้นเอง”
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:33 am

กลยุทธ์ที่ ๓๖ หนีคือยอดกลยุทธ์
หลบศึกทั้งทัพ ถอยหนีมิผิด เป็นวิสัยซึ่งสงคราม

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อรบกับข้าศึก หากข้าศึกแข็งเราอ่อน อาจจะถอยร่นอย่างรวดเร็ว
เพื่อหลบเลี่ยงการปะทะเสียก่อน ดังที่มีคำกล่าวไว้ใน “คัมภีร์อี้จิง แม่ทัพ” ว่า
“ถอยหนีมิผิด เป็นวิสัยซึ่งสงคราม” ซึ่งชี้ชัดว่าการถอยหนีในการทำสงครามนั้น มิใช้ความผิดพลาด
หากแต่เป็นเรื่องธรรมดาสามัญในการรบที่มักจะพลเห็นเสมอ การถอยเช่นนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย
ในยามที่เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และเพื่อชิงโอกาสตอบโต้ในภายหลังมิใช่ถอยหนีอย่างพ่ายแพ้หมดรูป
ตีโต้กลับมิได้อีก

นี้เป็นกลยุทธ์ที่ฝ่ายซึ่งอยู่ในฐานะเลวกว่า ใช้รูปแบบถอยหนี เพื่อโอกาสพิชิตข้าศึกอย่างหนึ่ง
ในตำราพิชัยสงครามชื่อ “ไหวหนานจื่อ ฝึกการยุทธทหาร” เคยกล่าวไว้ว่า “ แข็งจึงสู้ อ่อนก็หนี”
ในตำราพิชัยสงครามอีกเล่มหนึ่งชื่อ “ปิงฝ่าหยวนจีได้” ก็กล่าวไว้ว่า “ แม้นหลบแล้วรักษาไว้ได้ ก็พึงหลบ”
ใน “ ซุน วู บทกลยุทธ์” ก็กล่าวไว้เช่นกันว่า “แข็งพึงเลี่ยงเสีย ”

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ
ในหนังสือ “จ่อจ้วน ปีที่ ๑๖ แห่งศักราชเหวินกง” มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้
ในยุคชุนชิว แคว้นฉู่ตั้งอยู่ในระหว่างแม่น้ำเจียงสุ่ยและแม่น้ำฮั่นสุ่ยล้อมรอบไปด้วยแคว้นเล็ก
และเผ่าฮวนชนชาติต่างๆ ซึ่งในบางครั้งก็ยอมสวามิภักดิ์อยู่ใต้อำนาจฉู่ แต่บางครั้งก็ตั้งเป็นอิสระ
บางครั้งก็รบกันเองชุลมุน บางครั้งก็ร่วมมือกันตีแคว้นฉู่
หลังจากสมัยฉู่อู่ฉ๋อง (๗๔๐ – ๖๘๐ ปีก่อนคริสตกาล) แคว้นฉู่ย้ายเมืองหลวงจากเมืองตันหยาง
มาอยู่ที่เมืองอิ่ง (ทั้งสองเมืองนี้อยู่ในมณฑลหูเป๋ยในปัจจุบัน) และฉู่อู่อ๋องสนใจแต่เรื่องนำกำลังที่กล้าแข็งที่สุด
รวมศูนย์ขยายอิทธิพลของตนไปสู่จงหยวน หมายมุ่งจะเป็นใหญ่เหนือแคว้นอื่นๆ ทั้งหลาย ต่อแคว้นเล็กๆ ทางใต้
จึงมิค่อยไยดีด้วย แต่เนื่องจากแคว้นฉู่เป็นแคว้นที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุด และกำลังเข้มแข็งที่สุด
ในแคว้นต่างๆ ทางใต้ ดังนั้น แคว้นเล็กแคว้นน้อยเหล่านี้จึงมักจะส่งบรรณาการขอขึ้นต่อแคว้นฉู่ ส่วนแคว้นฉู่เอง
บางครั้งก็ฉวยโอกาสเล็มกินดินแดนของแคว้นเหล่านั้นเสมอมา

ครั้นถึงสมัยของฉู่จวงอ๋อง (๖๑๓ – ๕๑๙ ปีก่อนคริสตกาล) แคว้นฉู่เกิดทุพภิกขภัย แคว้นเล็กและเผ่าฮวนต่าง ๆ
ดังกล่าวก็ฉวยโอกาสรวมกำลังกันโจมตีแคว้นฉู่ ก่อนอื่นคือเผ่าฮวนซีหรง ก็บุกเข้ามายึดดินแดนของแคว้นฉู่
ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ และขยายอิทธิพลเข้ามาจนถึงอาณาบริเวณภูเขาต๋าฟู่ซาน (ในมณฑลหูเป๋ยปัจจุบัน)
กำลังส่วนใหญ่ของพวกซีหรงชุมนุมกันอยู่ที่ต้า หลิน ต่อมาก็รุกมาทางตะวันออก จนถึงฝั่งแม่น้ำฮั่นสุ่ย
และยึดเมืองจื่อจือไว้ได้

พวกฮวนเผ่ายง (สาขาหนึ่งของเผ่าซีหรง) ก็ยกกำลังเข้าตีแคว้นฉู่คุกคามต่อแคว้นฉู่อย่างร้ายแรง
พวกฮวนเผ่าจุนก็เดินทัพย่ำมาถึงต้นแม่น้ำแยงซีเกียงและแม่น้ำหยวนสุ่ยร่วมมือกับเผ่าขนไป่ผู
ชุมนุมทัพอยู่ที่เมืองส่วนตี้ (ในมณฑลหูเป๋ยปัจจุบัน) เตรียมเข้าตีแคว้นฉู่ เพื่อยึดอาณาเขตระหว่าง
แม่น้ำเจียงสุ่ยกับฮั่นสุ่ยเสีย
ภาคตะวันตกเฉียงเหนือและภาคใต้ของแคว้นฉู่ ล้วนแต่ได้ถูกบุกรุกโดยเผ่าชนแคว้นเล็ก ๆ
แต่แคว้นฉู่ก็ไม่กล้าถอนกำลังหลักที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือกลับมา เพราะจะต้องคอยป้องกัน
มิให้แคว้นฉีกับแคว้นหลู่ในจงหยวนฉวยโอกาสเล่นงาน ดังนั้น จึงเตรียมที่จะถอนกำลังที่ประจันหน้าอยู่
กับเผ่าชนเหล่านั้น ถอยมารักษาจุดยุทธศาสตร์ไว้ เพื่อที่จะได้สามารถใช้กำลังส่วนน้อยไปต่อต้านกับ
การบุกรุกของแคว้นเล็กแคว้นน้อยเหล่านั้น

แต่เหว่ยเจี้ยขุนนางผู้ใหญ่แย้งว่า “จะกระทำเช่นนั้นมิได้ เพราะที่ใดที่เราไปถึง พวกเขาก็ไปถึงได้เช่นกัน
สองทัพเผชิญหน้ากันอยู่ จะรุกหรือจุถอย พึ่งพิจารณาตามสภาพ เมื่อไม่นานมานี้เอง พวกฮวนเผ่าหรง
ทางเหนือโจมตีเรา เราถอยร่นมา พวกเขาก็ยึดอาณาเขตของเราไปส่วนหนึ่งบัดนี้ เผ่ายง เผ่าจุน และเผ่าไป่ผู
รวมกันมาบุกเราอีก เราจักยอมมิได้ หากควรตีโต้กลับ อีกประการหนึ่ง เหล่าไพร่พลของพวกจุนและไป่ผู
ก็มิได้มีวินัยเข้มงวด การจัดกำลังก็เหละหลวม ที่พวกเขาบุกเราในครั้งนี้ ก็เพราะถือโอกาสที่เราลำบากในเรื่อง
ข้าวยากหมากแพง เพื่อชิงทรัพย์สมบัติและผู้คนไปเท่านั้น ถ้าแม้นเราแสดงความเข้มแข็งให้ประจักษ์
พวกฮวนเหล่านี้ก็จักเกรงขามถอยทัพไปเอง ไหนเลยจะกล้ามาปล้นชิงแคว้นเราเล่า” คำของเหว่ยเจี้ย
ขุนนางทั้งหลายต่างก็เห็นฟ้องต้อนกัน ฉู่จวงอ๋องจึงมีคำสั่งให้กรีฑาทัพในบัดนั้น

ก่อนอื่น ขุนพลโต่วเจียวน้ำทหาร ๑๐๐ คันรถบุกตีไปทางเมืองส่วนตี้ซึ่งเผ่าจุนและไป่ผูยึดครองอยู่
การรบด้วยรถศึกของแคว้นฉู่ เผ่าทั้งสองมิได้เคยพบมาก่อน เห็นอานุภาพร้ายแรงนัก ไพร่พลของเผ่าจุน
และไป่ผูก็แตกตื่นหนีกระเจิงไป ภัยทางภาคใต้ของแคว้นฉู่จึงถูกขจัดหมดสิ้น
อีกทางหนึ่ง ฉู่จวงอ๋องก็สั่งให้จี้หลีนำทัพฉู่เข้าตีแคว้นหยง จี้หลีชำนาญภูมิประเทศทางภาคตะวันตกของแคว้นฉู่ดี
จึงบุกตีได้แคว้นฟางเฉิน (ในมณฑลหูเป๋ยปัจจุบัน) ของเผ่ายงได้รวดเดียว แต่เผ่ายงก็รวบรวมกำลังต้านทาน
อย่างแข็งแรง ทัพฉู่จึงไม่อาจรุกหน้าไปได้อีก

จื่อหยวนขวงขุนพลที่ได้รับมอบหมายให้รักษาเมืองฟางเฉิน ก็ปรามาสข้าศึก จึงถูกเผ่ายงจับเป็นเชลย
แต่ฝ่ายยงควบคุมจื่อหยางซางไม่เข้มงวด ในวันที่สามจื่อหยางซวงก็หนีรอดกลับค่ายตนไปได้ จึงแจ้งแก่จี้หลีว่า
“แคว้นยงมีคนมากมาย ชุมนุมกันอยู่คับคั่ง มือมีอาวุธครบถ้วนหน้า ถ้าหากกำลังทหารของฝ่ายเราน้อย
ก็เห็นทีจะยากแก่ชัยชนะ ฝ่ายเรามิสู้โยกย้ายกำลังหลักและกำลังหนุนเท่าที่มีอยู่ทางเหนือ โหมโจมตีแคว้นยง
โดยพร้อมเพียงกัน ดังนั้นแล้วจึงจักทำลายกำลังของแคว้นยงได้หมดสิ้น”

จี้หลีไม่เห็นด้วยจึงว่า “การโจมตีด้วยกำลังมิใช่เป็นการดี คนแคว้นยงมาก พึงชนะด้วยปัญญา
มิควรหักด้ามพร้าด้วยเข่า เราพึงแสร้งทำถอยร่นจงใจรบพ่ายสักหลายครั้ง ให้เผ่ายงเข้าใจว่าเราสู้เขามิได้
ก็จะเกิดความเย่อหยิ่งเผ่ายงยิ่งทระนงฮึกเหิมเท่าใด ก็จักสร้างความเครียดแค้นแก่ทหารเราเราเท่านั้น
เราพึงรอโอกาสอันควรแล้วจึงเข้าโจมตีให้แตกหักไป” ดังนั้น จี้หลีจึงนำทัพออกรบกับเผ่ายงด้วยตนเอง
สู้รบกันอยู่ถึง ๗ ครั้งจี้หลีก็ทำพ่านแพ้ถอยร่นมาทุกครั้งไป เผ่ายงจึงเกิดความประมาทบอกกล่าวแก่กันว่า
“คนทั้งหลายว่ากันว่าทหารฉู่เข้มแข็งนัก ที่แท้ก็หาใช่คู่ต่อสู้ของเผ่ายงเราไม่” จึงหย่อนยานในการระมัดระวังตัว
ฉู่จวงอ๋องนำทัพหนุนเดินทางมาจนถึงเมืองหลินปิ่น (ในมณฑลหูเป๋ยปัจจุบัน) ซึ่งเป็นปากทางจากแคว้นฉู่สู่แคว้นยง
อีกทางหนึ่งก็ให้ขุนพลจื่อเป้ย รุกกระหนาบไปทางเหริ่นตี้ (ในมณฑลหู่เป่ยปัจจุบัน) ซึ่งก็เป็นปากทางเข้า
แคว้นยงเช่นกัน ชาวเผ่ายงรบชนะ ๗ ครั้งติด ๆ กัน ก็ประมาทดูหมิ่นข้าศึก มิได้คาดคิดว่าทัพฉู่จะสามารถโจมตีตนได้อีก
จึงมิได้ป้องกันอย่างเข็มงวด เมื่อถูกโต่วเจียวและจื่อเป้ยขุนพลฉู่นำทัพบีบเข้ามา ๒ ทาง แม้ผู้ครองแคว้นยง
จะระดมกำลังทั้งหมดต้านทานด้วย แต่ก็ยันทัพฉู่ไว้ไม่อยู่ ต้องถอยไม่เป็นกระบวน ทัพฉู่รุกประชิดติดตามอย่างไม่ลดละ
จึงเข้ายึดเมืองหลวงของแคว้นยงไว้ได้ แคว้นยงก็เป็นอันสูญสิ้น

ทัพฉู่กวาดเผ่ายงราบคาบแล้ว ก็ถือโอกาสบุกตีแคว้นเล็กแคว้นน้อยต่าง ๆ ที่กระด้างกระเดื่องต่อตน ฝ่ายเผ่าอื่นๆ
กำลังระย่อต่อชัยชนะของแคว้นฉู่ต่อแคว้นยง ก็ต่างพากันยอมสวามิภักดิ์ส่งบรรณาการแก่แคว้นฉู่และปฏิญาณว่า
จะไม่คิดล่วงเกินดินแดนแคว้นฉู่สืบไป

จี้หลีใช้อุบายถือการถอยเป็นการรุก ยอมรบแพ้ถึง ๗ ครั้ง ๗ ครา แต่ในที่สุดก็หวนกลับมา
เป็นฝ่ายชนะด้วยกลยุทธ์ “หนี” นี้เอง
devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ - Page 2 Empty Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ

ตั้งหัวข้อ  devil Wed Dec 09, 2009 8:36 am

devil
devil

จำนวนข้อความ : 69
Registration date : 29/11/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

หน้า 2 จาก 2 Previous  1, 2

ขึ้นไปข้างบน


 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ