กะเหรี่ยง vs พม่า

[hacksecrets]

กะเหรี่ยง KNLA ประกาศแยกตัวจาก พม่า

"นายพลทินหม่อง" ประกาศแยกตัวจากพม่า พร้อมจับมือ กองกำลังกะเหรี่ยงทุกกลุ่ม ร่วมต่อสู้ เพื่อรวมเลือดเนื้อและความเป็นชนเผ่าชาวกะเหรี่ยง

มีรายงานข่าวจาก ชายแดนไทย-พม่า ด้าน อ.ท่าสองยาง จ.ตาก แจ้งว่า นายพลทินหม่อง ผู้บัญชาการกองทัพกะเหรี่ยงอิสระ KNLA และเป็นอดีตผู้บัญชาการกองพลที่ 7 ของกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงอิสระ KNU ที่ได้แปรพักตร์ลงนามตามข้อตกลงร่วมกับ รัฐบาลทหารพม่า SPDC เป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน BGF เมื่อเดือนสิงหาคม 2553 ที่ผ่านมา ได้ประกาศแยกตัวออกจากการเป็น BGF ของฝ่ายรัฐบาลและปลดป้าย อาร์ม BGF ทิ้งแล้ว และประกาศแยกตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นกับการปกครอง หรือ และควบคุมการบังคับบัญชาจากฝ่ายพม่า และพร้อมที่จะเป็นพันธมิตรกับชนกลุ่มน้อยชาวกะเหรี่ยงทุกกลุ่ม เช่น กลุ่มของ พล.ต.นะคะมวย กองกำลังกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย DKBA กลุ่มกะเหรี่ยงอิสระ KNU เพื่อรวบรวมนักรบชนเผ่ากะเหรี่ยง ให้เป็นหนึ่งเดียว รวมเลือดเนื้อและชนชาวกะเหรี่ยง เพื่อต่อสู้กับทหารพม่า เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความไม่พอใจให้ฝ่ายพม่า เป็นอย่างมาก และมีแนวโน้มว่า พม่า จะส่งกำลังเข้าปราบปรามกลุ่ม KNLA ทำให้สถานการณ์ชายแดนด้าน อ.ท่าสองยาง ส่อเค้าที่จะรุนแรงขึ้น

สำหรับสถานการณ์ชายแดน ด้าน อ.พบพระ จ.ตาก นายพจน์ หรูวรนันท์ นายอำเภอพบพระ ได้จัดสถานที่และอำนวยความสะดวกตามหลักมนุษยชน ให้กับผู้อพยพชาวกะเหรี่ยง ที่เป็นมวลชนของกลุ่ม พล.ต.นะคะมวย เนื่องจากมีการสู้รบฝั่งพม่าและมีผู้อพยพชาวกะเหรี่ยง เดินทาง ทยอยเข้ามาที่หมู่บ้านวาเล่ย์เหนือ หมู่ที่ 3 เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ กว่า 600-700 คนแล้ว และทางฝ่ายปกครองจังหวัดตาก ได้ประสานกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ UNHCR และกลุ่ม NGO เพื่อช่วยเหลือผู้อพยพตามหลักมนุษยธรรม สำหรับ สถานการณ์ล่าสุดแม้ จะมีการยิงปะทะและเสียงปืนเงียบสงบ แต่ราษฎรทั้งชาวไทยและพม่า ตามหมู่บ้านชายแดน ยังหวาดกลัวตลอดเวลา

[hacksecrets]

สถานการณ์ตามตะเข็บชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน พบว่ามีศูนย์ผู้อพยพลี้ภัยประมาณ 4 แห่ง

จากการสอบถามแหล่งข่าวที่เข้าไปฝังตัวอยู่ในศูนย์ผู้อพยพลี้ภัย ได้รับแจ้งว่าแต่ละศูนย์จะมีผู้อพยพเป็นจำนวนหลักแสนคน

ที่สำคัญทุกคนล้วนนับถือศาสนาคริสต์
(แหล่งข่าวเพิ่มเติมว่า ในสมัยแม้วเป็นนายกฯ เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ 1 คนต่อผู้อพยพประมาณ 300 คน
แต่ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ศูนย์มีจำนวนลดน้อยลงมากๆ ทำให้เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ 1 คนต้องรับผิดชอบผู้อพยพมากกว่า 1,000 คน)

การเดินทางเข้าไปยังศูนย์อพยพใช้เวลาเดินทางไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง เนื่องจากหนทางที่เข้าไปลำบาก อีกทั้งยังต้องเสี่ยงภัยต่างๆตลอดการเดินทาง หากต้องเดินทางไปที่ศูนย์ เรียกว่าต้องออกเดินทางกันตั้งแต่เวลาประมาณ ตีหนึ่ง-ตีสอง เพื่อไปถึงที่ศูนย์ในเวลาเช้า โดยเฉพาะหน้าฝน นอกจากจะบุกป่าฝ่าดง ยังต้องมีการดำโคลนกันก็มี โชคร้ายไปไม่ถึงก็มีเยอะแยะ

เจ้าหน้าที่ระดับ key ของศูนย์จะเป็นคนต่างชาติ พนักงานที่ทำงานที่ศูนย์ แม้กระทั่งคนขับรถก็ต้องเป็นคนในเท่านั้น ไม่รับคนนอกเด็ดขาด

ในแต่ละปี ศูนย์ฯจะทำการส่งผู้อพยพต่างๆ กระจายไปยังประเทศที่สาม ไม่ว่าจะเป็น อเมริกา ออสเตรเลีย นอร์เวย์ ญี่ปุ่น ฯลฯ แม้จะมีการส่งผู้อพยพออกเป็นจำนวนมากในแต่ละปี แต่จำนวนผู้อพยพในแต่ละศูนย์ฯ ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะลดน้อยจำนวนลงเลย แต่กลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องมีการตั้งศูนย์ผู้อพยพเพิ่มขึ้น

พท.แม่สะเรียงเป็น พท.ที่ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่น แต่กลับพบว่าคนต่างชาติเดินทางมาพักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็น NGO ทั้งนั้น ทั้งนี้ พท.แม่สะเรียงสามารถเดินทางไปยังศูนย์อพยพฯได้จำนวน 2 แห่ง และคาดว่ากำลังจะเกิดขึ้นอีก 1 แห่งในไม่ช้า

[hacksecrets]

เท่าที่รับรู้มาถึงขณะนี้ นอกจากกลุ่ม NGO แล้ว ยังมีหน่วยอื่นๆอีกที่ดำเนินการโดยคนไทย แต่อ้างเอาศาสนาพุทธเป็นเครื่องมือในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-พม่า ซึ่งตอนนี้อยู่ในระหว่างตรวจสอบรายละเอียด

เนื่องด้วยกลุ่มดังกล่าวเริ่มเข้ามายึดครองพท.บางส่วนในแม่สะเรียง และกำลังคืบคลานเพื่อเดินหน้าคุมพท.ทั้งหมด

หรือ พท.แม่สะเรียงคือจุดยุทธศาสตร์สำคัญอะไรบางอย่าง

ใครเล่าจะรู้