หมากตาต่อไป...ของพันธมิตร
หน้า 1 จาก 1
หมากตาต่อไป...ของพันธมิตร
เดินหน้าต่อไปในการดึงต่างชาติเข้ามาครอบงำประเทศชาติให้จงได้ สำหรับกลุ่มพันธมิตร
โดยการประกาศว่า จะไปยื่นเรื่องต่อยูเอ็นบ้าง ต่อศาลโลกบ้าง
ทั้งๆที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องภายในประเทศแท้ๆ
เฮ้อ!!!กรรมะ ของประเทศชาติ
ทำไม?? ประชาชนที่ไปฟัง ไม่หยุดคิด พิจารณาสักนิดกับสิ่งที่แกนนำได้พูดออกมา
หลับหู หลับตาเชื่อกันเข้าไปได้ยังไง
เฮ้อ!!!
โดยการประกาศว่า จะไปยื่นเรื่องต่อยูเอ็นบ้าง ต่อศาลโลกบ้าง
ทั้งๆที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องภายในประเทศแท้ๆ
เฮ้อ!!!กรรมะ ของประเทศชาติ
ทำไม?? ประชาชนที่ไปฟัง ไม่หยุดคิด พิจารณาสักนิดกับสิ่งที่แกนนำได้พูดออกมา
หลับหู หลับตาเชื่อกันเข้าไปได้ยังไง
เฮ้อ!!!
Re: หมากตาต่อไป...ของพันธมิตร
กระบวนการเริ่มต้นการดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ
นอกจากความ สำคัญในเรื่องที่ว่าคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศประเภทใดบ้างแล้วที่สามารถนำ มาฟ้องร้องคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศได้ ซึ่งเป็นเสมือนหลักในประมวลกฎหมายที่กำหนดฐานความผิดต่างๆ และการเริ่มต้นการดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศก็เปรียบเสมือนประมวล วิธีพิจารณาความในศาล สำหรับในรายงานฉบับนี้จะขอเน้นหนักในเรื่องกระบวนการเริ่มต้นการดำเนินคดีใน ศาลอาญาระหว่างประเทศก่อน เนื่องจากมีความสำคัญว่าเราจะทราบวิธีการเริ่มต้นฟ้องร้องคดีอาญาระหว่าง ประเทศโดยผ่านกระบวนการใดได้บ้าง
สำหรับกระบวนการฟ้องร้องคดีในศาล อาญาระหว่างประเทศนั้นอาจมาได้จาก 3 ที่กล่าวคือ.- : 1) รัฐที่เป็นภาคี (State Party) 2) คณะมนตรีความมั่นคง (Security Council) และ 3) อัยการผู้ฟ้องร้องคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศ (Prosecutor) หรืออาจเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า “กลไกเริ่มต้น” (trigger mechanism) ข้อที่พึงสังเกตเกี่ยวกับกลไกเริ่มต้นนี้ก็คือองค์การระหว่างประเทศ, ปัจเจกบุคคล, องค์กรอิสระที่มิใช่ของรัฐบาล (NGO) และรัฐใดก็ตามที่มิได้เข้าเป็นภาคีศาลอาญาระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการจึง ไม่ได้รับรองสิทธิอย่างเป็นทางการในการเริ่มต้นฟ้องร้องคดีในศาลอาญาระหว่าง ประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติการใดของมนุษยชาตินั้นอยู่ในขอบเขตของอัยการผู้ฟ้องร้องคดีของศาล อาญาระหว่างประเทศที่จะสามารถเริ่มต้นฟ้องร้องคดีได้
การเริ่มต้น ฟ้องร้องคดีโดยอัยการผู้ฟ้องร้องคดีนั้นคล้ายคลึงกับการฟ้องร้องคดีของ อัยการภายในรัฐ แต่ว่าก็มีความแตกต่างกันอยู่มากเช่นกัน โดยการร่างธรรมนูญกรุงโรมนั้นคณะกรรมการนิติศาสตร์สากล (International Law Commission; ILC) นั้นเห็นว่าวิธีการที่จะเริ่มต้นฟ้องร้องคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศนั้นรัฐ ภาคีตามธรรมนูญกรุงโรมจะต้องยื่นเรื่องต่อคณะมนตรีความมั่นคงเท่านั้นที่มี อำนาจในการเริ่มต้นดำเนินกระบวนการพิจารณาคดี ในระหว่างกระบวนการร่างธรรมนูญกรุงโรมนั้นกลุ่มรัฐที่มีความเห็นตรงกัน (Liked Minded States) และองค์การอิสระที่มิใช่ของรัฐบาล (NGO) ได้มีความเห็นตรงกันที่จะทำให้อัยการผู้ฟ้องร้องคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศ มีความสามารถในการฟ้องร้องคดีได้เอง หรือที่เรียกกันว่า “Proprio motu Prosecutor” แนวความคิดในเรื่องความเป็นอิสระของอัยการผู้ฟ้องร้องคดีของศาลอาญาระหว่าง ประเทศจึงปรากฏขึ้น และเรื่องดังกล่าวไม่ยอมผ่อนปรนกัน เรื่องเกี่ยวกับความเป็นอิสระของอัยการผู้ฟ้องร้องคดีได้รับการสนับสนุน อย่างเข้มแข็งจากอัยการผู้ฟ้องร้องคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศชั่วคราวในขณะ ที่ร่างธรรมนูญกรุงโรมในขณะนั้นคือนายริชาร์ด โกลด์สโตน (Richard Goldstone) และนายหลุยส์ ออร์บัวร์ (Louise Arbour)
แต่รัฐมหาอำนาจ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวความคิดนี้ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาเกรงว่าผู้ที่มีอิทธิพลเหนือองค์การอิสระที่มิ ใช่ของรัฐบาล (NGO) จะใช้กลไกดังกล่าวนี้เป็นเครื่องมือ โดยอ้างถึง “Doctor Strangelover prosecutor” ซึ่งหมายถึงภาพยนตร์คลาสสิคที่มีเนื้อเรื่องว่านักวิทยาศาสตร์ผู้บ้าคลั่ง ชาวอเมริกันสูญเสียจุดยืนและกลายเป็นผู้เริ่มต้นการใช้อาวุธนิวเคลียร์เสีย เอง ความกลัวในประเด็นนี้จึงเป็นที่มาของการใช้ดุลยพินิจของศาลเหนือดุลยพินิจ ของอัยการผู้ฟ้องร้องคดี ผลลัพธ์ก็คือคำตัดสินของอัยการผู้ฟ้องร้องคดีหรือเริ่มการสอบสวนในกรณีที่ เป็น “Proprio motu Prosecutor” นั้นจะต้องเป็นไปตามบทที่ว่าด้วยการเตรียมการไต่สวน (Pre-Trail Chamber) ซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาจำนวน 3 คนเป็นผู้พิจารณาเมื่ออัยการเห็นว่ากรณีใดที่มีเหตุผลพอสมควรในการฟ้องร้อง (reasonable basis) สำหรับการเริ่มต้นดำเนินกระบวนการสอบสวนนั้นก็ต้องเป็นไปตามบทที่ว่าด้วยการ เตรียมการไต่สวน (Pre-Trail Chamber) ซึ่งในกรณีจะเห็นได้ว่าแตกต่างจากกระบวนการฟ้องร้องคดีในศาลภายในรัฐ เช่นกรณีของประเทศไทยที่อัยการมีอำนาจฟ้องร้องคดีได้เองโดยไม่ต้องมีบทที่ ว่าด้วยการเตรียมการไต่สวน แต่ต้องผ่านการสอบสวนของพนักงานสอบสวนก่อน
นอกจากความ สำคัญในเรื่องที่ว่าคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศประเภทใดบ้างแล้วที่สามารถนำ มาฟ้องร้องคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศได้ ซึ่งเป็นเสมือนหลักในประมวลกฎหมายที่กำหนดฐานความผิดต่างๆ และการเริ่มต้นการดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศก็เปรียบเสมือนประมวล วิธีพิจารณาความในศาล สำหรับในรายงานฉบับนี้จะขอเน้นหนักในเรื่องกระบวนการเริ่มต้นการดำเนินคดีใน ศาลอาญาระหว่างประเทศก่อน เนื่องจากมีความสำคัญว่าเราจะทราบวิธีการเริ่มต้นฟ้องร้องคดีอาญาระหว่าง ประเทศโดยผ่านกระบวนการใดได้บ้าง
สำหรับกระบวนการฟ้องร้องคดีในศาล อาญาระหว่างประเทศนั้นอาจมาได้จาก 3 ที่กล่าวคือ.- : 1) รัฐที่เป็นภาคี (State Party) 2) คณะมนตรีความมั่นคง (Security Council) และ 3) อัยการผู้ฟ้องร้องคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศ (Prosecutor) หรืออาจเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า “กลไกเริ่มต้น” (trigger mechanism) ข้อที่พึงสังเกตเกี่ยวกับกลไกเริ่มต้นนี้ก็คือองค์การระหว่างประเทศ, ปัจเจกบุคคล, องค์กรอิสระที่มิใช่ของรัฐบาล (NGO) และรัฐใดก็ตามที่มิได้เข้าเป็นภาคีศาลอาญาระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการจึง ไม่ได้รับรองสิทธิอย่างเป็นทางการในการเริ่มต้นฟ้องร้องคดีในศาลอาญาระหว่าง ประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติการใดของมนุษยชาตินั้นอยู่ในขอบเขตของอัยการผู้ฟ้องร้องคดีของศาล อาญาระหว่างประเทศที่จะสามารถเริ่มต้นฟ้องร้องคดีได้
การเริ่มต้น ฟ้องร้องคดีโดยอัยการผู้ฟ้องร้องคดีนั้นคล้ายคลึงกับการฟ้องร้องคดีของ อัยการภายในรัฐ แต่ว่าก็มีความแตกต่างกันอยู่มากเช่นกัน โดยการร่างธรรมนูญกรุงโรมนั้นคณะกรรมการนิติศาสตร์สากล (International Law Commission; ILC) นั้นเห็นว่าวิธีการที่จะเริ่มต้นฟ้องร้องคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศนั้นรัฐ ภาคีตามธรรมนูญกรุงโรมจะต้องยื่นเรื่องต่อคณะมนตรีความมั่นคงเท่านั้นที่มี อำนาจในการเริ่มต้นดำเนินกระบวนการพิจารณาคดี ในระหว่างกระบวนการร่างธรรมนูญกรุงโรมนั้นกลุ่มรัฐที่มีความเห็นตรงกัน (Liked Minded States) และองค์การอิสระที่มิใช่ของรัฐบาล (NGO) ได้มีความเห็นตรงกันที่จะทำให้อัยการผู้ฟ้องร้องคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศ มีความสามารถในการฟ้องร้องคดีได้เอง หรือที่เรียกกันว่า “Proprio motu Prosecutor” แนวความคิดในเรื่องความเป็นอิสระของอัยการผู้ฟ้องร้องคดีของศาลอาญาระหว่าง ประเทศจึงปรากฏขึ้น และเรื่องดังกล่าวไม่ยอมผ่อนปรนกัน เรื่องเกี่ยวกับความเป็นอิสระของอัยการผู้ฟ้องร้องคดีได้รับการสนับสนุน อย่างเข้มแข็งจากอัยการผู้ฟ้องร้องคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศชั่วคราวในขณะ ที่ร่างธรรมนูญกรุงโรมในขณะนั้นคือนายริชาร์ด โกลด์สโตน (Richard Goldstone) และนายหลุยส์ ออร์บัวร์ (Louise Arbour)
แต่รัฐมหาอำนาจ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวความคิดนี้ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาเกรงว่าผู้ที่มีอิทธิพลเหนือองค์การอิสระที่มิ ใช่ของรัฐบาล (NGO) จะใช้กลไกดังกล่าวนี้เป็นเครื่องมือ โดยอ้างถึง “Doctor Strangelover prosecutor” ซึ่งหมายถึงภาพยนตร์คลาสสิคที่มีเนื้อเรื่องว่านักวิทยาศาสตร์ผู้บ้าคลั่ง ชาวอเมริกันสูญเสียจุดยืนและกลายเป็นผู้เริ่มต้นการใช้อาวุธนิวเคลียร์เสีย เอง ความกลัวในประเด็นนี้จึงเป็นที่มาของการใช้ดุลยพินิจของศาลเหนือดุลยพินิจ ของอัยการผู้ฟ้องร้องคดี ผลลัพธ์ก็คือคำตัดสินของอัยการผู้ฟ้องร้องคดีหรือเริ่มการสอบสวนในกรณีที่ เป็น “Proprio motu Prosecutor” นั้นจะต้องเป็นไปตามบทที่ว่าด้วยการเตรียมการไต่สวน (Pre-Trail Chamber) ซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาจำนวน 3 คนเป็นผู้พิจารณาเมื่ออัยการเห็นว่ากรณีใดที่มีเหตุผลพอสมควรในการฟ้องร้อง (reasonable basis) สำหรับการเริ่มต้นดำเนินกระบวนการสอบสวนนั้นก็ต้องเป็นไปตามบทที่ว่าด้วยการ เตรียมการไต่สวน (Pre-Trail Chamber) ซึ่งในกรณีจะเห็นได้ว่าแตกต่างจากกระบวนการฟ้องร้องคดีในศาลภายในรัฐ เช่นกรณีของประเทศไทยที่อัยการมีอำนาจฟ้องร้องคดีได้เองโดยไม่ต้องมีบทที่ ว่าด้วยการเตรียมการไต่สวน แต่ต้องผ่านการสอบสวนของพนักงานสอบสวนก่อน
Re: หมากตาต่อไป...ของพันธมิตร
กลไก เริ่มต้นในการฟ้องร้องคดีในกรณีที่สองคือรัฐภาคีเป็นผู้เสนอให้มีการเริ่ม ต้นดำเนินคดี โดยรัฐอาจเสนอ “เหตุการณ์หรือสถานการณ์ซึ่งเกิดเหตุอาชญากรรมใดหรือมากกว่านั้น ภายในเขตอำนาจศาลที่ต้องการให้อัยการผู้ฟ้องร้องคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศ เริ่มดำเนินการสอบสวน เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบว่ามีบุคคลใดที่ถูกกล่าวหาดังกล่าวได้กระทำความผิด จริงหรือไม่” ในกรณีที่เป็นรัฐภาคีเป็นผู้เสนอให้มีการเริ่มต้นคดีนั้น ไม่จำเป็นต้องระบุตัวผู้กระทำความผิด เพราะในธรรมนูญกรุงโรมใช้คำว่า “เหตุการณ์หรือสถานการณ์” (Situation) ซึ่งเปรียบเทียบกับระบบการฟ้องร้องของศาลภายในแล้วก็คือคล้ายกับกรณีที่มี ผู้มาแจ้งความแล้ว พนักงานสอบสวนมีอำนาจรับเป็นคดีที่จัดอยู่ในประเภท “คดีที่ไม่ปรากฏตัวผู้กระทำความผิด” ซึ่งไม่จำเป็นต้องระบุตัวผู้กระทำความผิด แต่ระบุถึงเหตุที่เกิดขึ้นในคดีนั้นๆ
และการเริ่มต้นการฟ้องร้อง คดีแบบสุดท้ายคือการฟ้องร้องคดีโดยคณะมนตรีความมั่นคงขององค์การสหประชา ชาติ ซึ่งในธรรมนูญไม่ได้กล่าวถึงเกี่ยวกับรายละเอียดการเสนอคดีโดยคณะมนตรีความ มั่นคงขององค์การสหประชาชาติ นอกจากนี้แล้วคณะมนตรีความมั่นคงยังสามารถใช้อำนาจตามบทที่ 7 ของกฎบัตรสหประชาชาติ (Chapter 7 of the Charter of the United Nations) เพื่อใช้ศาลอาญาระหว่างประเทศชั่วคราว (ad hoc tribunal) ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างในกรณีการใช้ศาลอาญาระหว่างประเทศชั่วคราวสำหรับ ดำเนินคดีกับบุคคลที่กระทำความผิดในยูโกสลาเวียเดิม (The International Criminal Tribunal for the Former Yugoslavia; ICTY) ศาลอาญาระหว่างประเทศชั่วคราวสำหรับดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในรวันดา (ICTR) ที่ได้กล่าวมาแล้ว
กล่าวโดยสรุปในบทที่ 2 ได้กล่าวถึงลักษณะความผิดและกระบวนการเริ่มต้นการดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่าง ประเทศเพื่อเป็นการทำความเข้าใจซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการทำความเข้าใจใน ประมวลกฎหมายและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความของศาลภายในรัฐ แต่อย่างไรก็ตามในเรื่องกระบวนการฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งหมดในรายงานฉบับนี้ มิได้กล่าวถึงไว้ทั้งหมด เนื่องจากมุ่งประสงค์จะทำความเข้าใจศาลอาญาระหว่างประเทศในแง่ของอาชญา วิทยา ดังนั้น หากผู้ที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องกระบวนการพิจารณาคดีของศาลอาญา ระหว่างประเทศเป็นการเฉพาะนั้นสามารถศึกษาได้จากหนังสือ “สิทธิมนุษยชนในกระบวนการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาระหว่างประเทศ” (Human Rights in International Criminal Proceedings) ซึ่งเขียนโดย Salvatore Zappala โดยจะกล่าวถึงสิทธิมนุษยชนในด้านต่างๆ ของกระบวนการฟ้องร้องดำเนินคดีและศึกษาได้จากธรรมนูญกรุงโรมโดยเฉพาะเรื่อง กฎเกณฑ์การดำเนินการฟ้องร้องและการรับฟังพยานหลักฐาน (Rule of Procedure and Evidence) ซึ่งตีพิมพ์โดยศาลอาญาระหว่างประเทศ.
และการเริ่มต้นการฟ้องร้อง คดีแบบสุดท้ายคือการฟ้องร้องคดีโดยคณะมนตรีความมั่นคงขององค์การสหประชา ชาติ ซึ่งในธรรมนูญไม่ได้กล่าวถึงเกี่ยวกับรายละเอียดการเสนอคดีโดยคณะมนตรีความ มั่นคงขององค์การสหประชาชาติ นอกจากนี้แล้วคณะมนตรีความมั่นคงยังสามารถใช้อำนาจตามบทที่ 7 ของกฎบัตรสหประชาชาติ (Chapter 7 of the Charter of the United Nations) เพื่อใช้ศาลอาญาระหว่างประเทศชั่วคราว (ad hoc tribunal) ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างในกรณีการใช้ศาลอาญาระหว่างประเทศชั่วคราวสำหรับ ดำเนินคดีกับบุคคลที่กระทำความผิดในยูโกสลาเวียเดิม (The International Criminal Tribunal for the Former Yugoslavia; ICTY) ศาลอาญาระหว่างประเทศชั่วคราวสำหรับดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในรวันดา (ICTR) ที่ได้กล่าวมาแล้ว
กล่าวโดยสรุปในบทที่ 2 ได้กล่าวถึงลักษณะความผิดและกระบวนการเริ่มต้นการดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่าง ประเทศเพื่อเป็นการทำความเข้าใจซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการทำความเข้าใจใน ประมวลกฎหมายและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความของศาลภายในรัฐ แต่อย่างไรก็ตามในเรื่องกระบวนการฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งหมดในรายงานฉบับนี้ มิได้กล่าวถึงไว้ทั้งหมด เนื่องจากมุ่งประสงค์จะทำความเข้าใจศาลอาญาระหว่างประเทศในแง่ของอาชญา วิทยา ดังนั้น หากผู้ที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องกระบวนการพิจารณาคดีของศาลอาญา ระหว่างประเทศเป็นการเฉพาะนั้นสามารถศึกษาได้จากหนังสือ “สิทธิมนุษยชนในกระบวนการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาระหว่างประเทศ” (Human Rights in International Criminal Proceedings) ซึ่งเขียนโดย Salvatore Zappala โดยจะกล่าวถึงสิทธิมนุษยชนในด้านต่างๆ ของกระบวนการฟ้องร้องดำเนินคดีและศึกษาได้จากธรรมนูญกรุงโรมโดยเฉพาะเรื่อง กฎเกณฑ์การดำเนินการฟ้องร้องและการรับฟังพยานหลักฐาน (Rule of Procedure and Evidence) ซึ่งตีพิมพ์โดยศาลอาญาระหว่างประเทศ.
ชักศึกเข้าบ้าน สมควรตาย
เท่ากับทำลายความน่าเชือถือ สถาบันตุลาการในประเทศ
ซึ่งเป็นสถาบันสุดท้ายของระบอบการปกครองที่มีกษัตริย์เป็นประมุข
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|