ภัยของรัฐประเทศวาติกัน ต่อสถาบันพระพุทธศาสนา
4 posters
หน้า 1 จาก 1
ภัยของรัฐประเทศวาติกัน ต่อสถาบันพระพุทธศาสนา
วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๕ เวลา ๐๙๓๐ - ๑๒๐๐ ณ ห้อง ๑๐๗ ของรัฐสภา
เรียน ประธานคณะอนุกรรมาธิการศาสนาวุฒิสภาที่เคารพ ท่านอนุกรรมาธิการผู้มีเกียรติทุกท่าน กระผม............ เรื่องที่จะแถลงในวันนี้นั้น เป็นเรื่องของความมั่นคงของชาติโดยตรงแต่ก็ดีใจ ที่ให้มาพูดให้คณะอนุกรรมาธิการศาสนาฟัง เพราะพระพุทธศาสนาคือรากฐานของวัฒนธรรมประเพณี อันเป็นส่วนสำคัญแห่งความมั่นคงของชาติกระผมก็จะพูดได้เท่าที่จำเป็น เพราะถูกเรียกมาแล้ว บางส่วน ท่านอาจจะไม่เข้าใจกระจ่างนักในบางส่วนเพราะเป็นเรื่องของความมั่นคง
หากท่านมีความสงสัยใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคล คณะ หรือองค์กรต่าง ๆ โปรดฟังเนื้อหาที่ผมบรรยายให้จบเสียก่อน เพราะจะมีคำตอบอยู่ในเนื้อหาที่ท่านตั้งข้อสงสัยไว้นั้นอย่างสมบูรณ์
ที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นประเด็นด้านความมั่นคง และอธิปไตยแห่งสถาบันชาติโดยเฉพาะ กล่าวคือ
ประเทศที่เป็นเอกราช ไม่เป็นเมืองขึ้นของใคร ย่อมมีอธิปไตยเป็นของตนเอง อธิปไตย แบ่งออกเป็น ๓ อย่าง คือ
๑. บูรณภาพแห่งดินแดน
๒. อำนาจในการใช้กฎหมายของประเทศ
๓. อำนาจของประมุขผู้ปกครองประเทศ
ผู้ใดที่เข้าไปในประเทศที่มีอธิปไตยดังกล่าวนี้ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศดังกล่าวนี้ เป็นกฎหมายสากล นี่คืออธิปไตย ต้องเคารพบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศนั้น ต้องเคารพกฎหมายของประเทศนั้น ต้องเคารพอำนาจของประมุขผู้ปกครองประเทศนั้น เมื่อกระทำความผิด ต้องถูกลงโทษโดยกฎหมายของประเทศนั้น ๆ ยกเว้นจะระบุไว้เป็นกรณีพิเศษ เช่น การส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทย/สหรัฐอเมริกา เป็นข้อตกลงเฉพาะบางประเทศเท่านั้น
ประเทศไทย มีเอกราช มีอธิปไตย มีองค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศเพียงพระองค์เดียว
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑ “ประเทศไทย เป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้”
คำว่า ราชอาณาจักร แปลความตามตัวอักษรว่า อาณาจักรของพระราชา รัฐธรรมนูญมาตรา ๒ บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
Re: ภัยของรัฐประเทศวาติกัน ต่อสถาบันพระพุทธศาสนา
กรรมาธิการทุกท่าน ทราบ ใช่ไหมครับ ?
บุคคล ไม่ว่าสัญชาติใด เชื้อชาติใด เมื่ออยู่บนผืนแผ่นดินไทย ภายในราชอาณาจักรไทย ย่อมอยู่ภายใต้กฎหมายของไทย ไม่มีข้อยกเว้นทั้งสิ้น เป็น STANDARD เดียวกัน จะใช้หลัก DOUBLE STANDARD ไม่ได้
ประเทศอื่นใด จะละเมิดอธิปไตย โดยแบ่งแยกปกครองดินแดนของประเทศอื่น โดยกฎหมายของรัฐประเทศของตน ย่อมกระทำมิได้ เป็นการละเมิดอธิปไตยระหว่างบูรณภาพแห่งดินแดน ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายสากล(International Law) ว่าด้วย “อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน”
บุคคลใด ทำการใด ๆ เพื่อให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักร ตกไปอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป มันผู้นั้น ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๙
แม้ว่า การกระทำใด ๆ มิได้ทำให้รัฐอื่นยึดครอง แต่รัฐต่างประเทศได้ประโยชน์ มีโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิตเช่นกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๒๔ วรรค ๓
ผู้พยายาม สนับสนุน การกระทำใด ๆ ให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของดินแดนประเทศไทย ตกไปอยู่ใต้กฎหมายของรัฐต่างประเทศ การตระเตรียมการใด ๆ อันทำให้อธิปไตยของชาติ หรือบูรณภาพแห่งดินแดนเสียไป เป็นความผิดฐานจารกรรม ผู้กระทำเรียกว่าจารชน ประชาชนมีสิทธิ์สังหารทิ้งได้ ผู้สนับสนุน ผู้พยายาม มีความผิดเท่ากับความผิดสำเร็จ
ความผิดฐานจารกรรมนี้ ปรากฏอยู่ในข้อ ๕ ของระเบียบรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๑๗ ซึ่งยังมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
ผู้ที่ให้ที่อยู่ ที่พัก ที่อาศัย หรือรู้แล้วไม่แจ้ง มีความผิดตามกฎหมายจารชน ซึ่งยังมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เกี่ยวเนื่องด้วยความมั่นคงของชาติ กฎหมายจึงบัญญัติให้ลงโทษสถานหนักแก่บุคคลเหล่านี้ โดยไม่มีข้อยกเว้น ว่าเขาเหล่านี้ จะอยู่ในสภาวะ สถานะ หรือลักษณะใด ๆ ก็ตาม ย่อมต้องรับโทษตามกฎหมายของไทย ดังบัญญัติไว้ เป็น STANDARD เดียวกันทั้งสิ้น ไม่มียกเว้นให้เป็น DOUBLE STANDARD
ประชาชนไทย มีหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๖
ข้าราชการทหาร มีหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๗๒ ทั้งโดยวินัย และโดยหน้าที่โดยตรง
ปรากฎเป็นหลักฐานสาธารณะที่องค์การสหประชาชาติว่า วาติกันเป็นประเทศ มีสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศชัดเจน มีอธิปไตยเป็นของตนเอง ผู้ที่เป็นคาทอลิกต้องเปลี่ยนสัญชาติเป็นวาติกัน ต้องเสียภาษีเงินได้๑๐%ให้ประเทศวาติกัน จึงไม่ใช่เรื่องศาสนา แต่เป็นเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของชาติ ปรากฏหลังฐานของVatican ซึ่งแถลงถึงฐานะของประเทศวาติกัน ต่อที่ประชุมสมาชิกสหประชาติ ซึ่งจากหลักฐานนี้จึงไม่อาจคัดค้านหรือปฏิเสธกันอีกต่อไป และต้องยอมรับกันโดยดุษฏีว่า "วาติกัน คือประเทศ ที่เป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ"
ที่บอกว่าไม่เกี่ยวกับศาสนาเพราะวาติกันมันเป็นประเทศ มีความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับเอกอัครราชทูต ซึ่งเป็นระดับสูงสุด มีสถานทูตอยู่ที่สีลม ถ้าเป็นศาสนา ทำไมจึงไม่มีสมณทูต หรือศาสนทูต แต่นี่เป็นเอกอัครราชทูต จัดจากกระทรวงการต่างประเทศ
บุคคล ไม่ว่าสัญชาติใด เชื้อชาติใด เมื่ออยู่บนผืนแผ่นดินไทย ภายในราชอาณาจักรไทย ย่อมอยู่ภายใต้กฎหมายของไทย ไม่มีข้อยกเว้นทั้งสิ้น เป็น STANDARD เดียวกัน จะใช้หลัก DOUBLE STANDARD ไม่ได้
ประเทศอื่นใด จะละเมิดอธิปไตย โดยแบ่งแยกปกครองดินแดนของประเทศอื่น โดยกฎหมายของรัฐประเทศของตน ย่อมกระทำมิได้ เป็นการละเมิดอธิปไตยระหว่างบูรณภาพแห่งดินแดน ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายสากล(International Law) ว่าด้วย “อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน”
บุคคลใด ทำการใด ๆ เพื่อให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักร ตกไปอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป มันผู้นั้น ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๙
แม้ว่า การกระทำใด ๆ มิได้ทำให้รัฐอื่นยึดครอง แต่รัฐต่างประเทศได้ประโยชน์ มีโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิตเช่นกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๒๔ วรรค ๓
ผู้พยายาม สนับสนุน การกระทำใด ๆ ให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของดินแดนประเทศไทย ตกไปอยู่ใต้กฎหมายของรัฐต่างประเทศ การตระเตรียมการใด ๆ อันทำให้อธิปไตยของชาติ หรือบูรณภาพแห่งดินแดนเสียไป เป็นความผิดฐานจารกรรม ผู้กระทำเรียกว่าจารชน ประชาชนมีสิทธิ์สังหารทิ้งได้ ผู้สนับสนุน ผู้พยายาม มีความผิดเท่ากับความผิดสำเร็จ
ความผิดฐานจารกรรมนี้ ปรากฏอยู่ในข้อ ๕ ของระเบียบรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๑๗ ซึ่งยังมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
ผู้ที่ให้ที่อยู่ ที่พัก ที่อาศัย หรือรู้แล้วไม่แจ้ง มีความผิดตามกฎหมายจารชน ซึ่งยังมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เกี่ยวเนื่องด้วยความมั่นคงของชาติ กฎหมายจึงบัญญัติให้ลงโทษสถานหนักแก่บุคคลเหล่านี้ โดยไม่มีข้อยกเว้น ว่าเขาเหล่านี้ จะอยู่ในสภาวะ สถานะ หรือลักษณะใด ๆ ก็ตาม ย่อมต้องรับโทษตามกฎหมายของไทย ดังบัญญัติไว้ เป็น STANDARD เดียวกันทั้งสิ้น ไม่มียกเว้นให้เป็น DOUBLE STANDARD
ประชาชนไทย มีหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๖
ข้าราชการทหาร มีหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๗๒ ทั้งโดยวินัย และโดยหน้าที่โดยตรง
ปรากฎเป็นหลักฐานสาธารณะที่องค์การสหประชาชาติว่า วาติกันเป็นประเทศ มีสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศชัดเจน มีอธิปไตยเป็นของตนเอง ผู้ที่เป็นคาทอลิกต้องเปลี่ยนสัญชาติเป็นวาติกัน ต้องเสียภาษีเงินได้๑๐%ให้ประเทศวาติกัน จึงไม่ใช่เรื่องศาสนา แต่เป็นเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของชาติ ปรากฏหลังฐานของVatican ซึ่งแถลงถึงฐานะของประเทศวาติกัน ต่อที่ประชุมสมาชิกสหประชาติ ซึ่งจากหลักฐานนี้จึงไม่อาจคัดค้านหรือปฏิเสธกันอีกต่อไป และต้องยอมรับกันโดยดุษฏีว่า "วาติกัน คือประเทศ ที่เป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ"
ที่บอกว่าไม่เกี่ยวกับศาสนาเพราะวาติกันมันเป็นประเทศ มีความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับเอกอัครราชทูต ซึ่งเป็นระดับสูงสุด มีสถานทูตอยู่ที่สีลม ถ้าเป็นศาสนา ทำไมจึงไม่มีสมณทูต หรือศาสนทูต แต่นี่เป็นเอกอัครราชทูต จัดจากกระทรวงการต่างประเทศ
Re: ภัยของรัฐประเทศวาติกัน ต่อสถาบันพระพุทธศาสนา
ปรากฎว่า ประเทศวาติกัน ได้มีการแบ่งเขตการปกครองขึ้น บนผืนแผ่นดินไทย เรียกว่า มิซซัง ตามกฎหมายของประเทศวาติกัน มิซซัง แปลว่า แคว้น ส่วนตำแหน่งอาร์ค บิชอป คือ ผู้ครองแคว้น แต่งตั้งโดยประมุขของประเทศวาติกัน มีการแต่งตั้งอัศวิน มีหน้าที่กำจัดบุคคลที่ขัดขวาง เหล่านี้มาจากสงครามครูเสด และแต่งตั้งในวันจักรีด้วย บนผืนแผ่นดินไทย ตามกฎหมายของประเทศวาติกัน มีการแตะบ่าด้วย หมายความว่าอย่างไร บนผืนแผ่นดินนี้ องค์พระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ที่แตะบ่าได้
เหล่านี้คือการไม่เคารพต่อบูรณภาพแห่งดินแดน ไม่เคารพต่อกฎหมายไทย ไม่เคารพต่อพระราชอำนาจขององค์พระประมุขแห่งราชอาณาจักรไทย
ถ้าประเทศอื่น ๆ จะทำในทำนองเดียวกันนี้บ้าง เช่น ประเทศรัสเซีย มาแบ่งเขตการปกครองขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย แล้วแต่งตั้งคนสัญชาติรัสเซียขึ้นเป็นผู้ปกครองแคว้นที่แบ่งแยกนั้น คนไทยจะยินยอมไหม ? แล้วทำไมจึงปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น นี่คือความหมายของ DOUBLE STANDARD ดังพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วัดในราชอาณาจักรไทย ตามกฎหมายไทย ต้องได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาจากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น จึงจะตั้งเป็นวัดได้ แต่ประเทศวาติกัน ตั้งวัดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย โดยใช้กฎหมายของประเทศวาติกัน นี่คือการละเมิดอำนาจอธิปไตยด้านนิติบัญญัติ และคือการล้มล้างพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย
สมเด็จพระสังฆราช องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งได้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น เป็นพระราชอำนาจเฉพาะพระองค์เดียวเท่านั้น และในประเทศไทยมีพระสังฆราชได้องค์เดียวเท่านั้น แต่ประเทศวาติกัน แต่งตั้งพระสังฆราชบนผืนแผ่นดินไทยถึง ๑๐ คน ตามกฎหมายของประเทศวาติกัน และแต่งตั้งอัครสังฆราชอีก ๑ คน ตำแหน่งใหญ่เหนือกว่าตำแหน่งตำแหน่งพระสังฆราชไทย ที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้ง นี่คือการล้มล้างพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยและคือ DOUBLE STANDARD ดังพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ตามกฎหมายไทย ผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์บนผืนแผ่นดินไทย ต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทยเท่านั้น
ปรากฎว่า ประเทศวาติกันเอาพวกที่เข้าไปเป็นคาทอลิกจะถูกแปลงสัญชาติอัตโนมัติไปเป็นวาติกัน เสียสัญชาติไทยไปแล้วตามกฏหมาย แต่วาติกันได้อาศัยบุคคลเหล่านี้มาถือครองกรรมสิทธิที่ดินบนผืนแผ่นดินไทย ซึ่งผิดกฏหมายแพ่งพานิชย์ว่าด้วยนิติกรรม เป็นการใช้กลอุบายเพื่อเอาที่ดินนั้นไปเป็นสมบัติของวาติกัน โดยนำที่ดินนั้นเข้าบัญชีกระทรวงทรัพย์สินเกี่ยวกับศาสนจักรตะวันออก ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเก็บส่วยอาณานิคมวาติกันในแถบเอเซียโดยเฉพาะ วาติกันได้ตั้งสำนักงานในประเทศไทยชื่อ “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระองค์” รวบรวมทำบัญชีทรัพย์สินของผู้ที่เป็นคาทอลิกในประเทศไทยทั้งหมดขึ้นเป็นสมบัติของสันตะปาปา เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ประเทศไทยมีในหลวงพระองค์เดียว และมีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์หนึ่งเดียว หากไม่ใช่ตั้งขึ้นมาเพื่อล้มล้างพระมหากษัตริย์องค์พระประมุขของไทย จะมีเหตุผลอื่นอ้างหรือไม่ ขอให้พิจารณาจากหลักฐานนี้
เหล่านี้คือการไม่เคารพต่อบูรณภาพแห่งดินแดน ไม่เคารพต่อกฎหมายไทย ไม่เคารพต่อพระราชอำนาจขององค์พระประมุขแห่งราชอาณาจักรไทย
ถ้าประเทศอื่น ๆ จะทำในทำนองเดียวกันนี้บ้าง เช่น ประเทศรัสเซีย มาแบ่งเขตการปกครองขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย แล้วแต่งตั้งคนสัญชาติรัสเซียขึ้นเป็นผู้ปกครองแคว้นที่แบ่งแยกนั้น คนไทยจะยินยอมไหม ? แล้วทำไมจึงปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น นี่คือความหมายของ DOUBLE STANDARD ดังพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วัดในราชอาณาจักรไทย ตามกฎหมายไทย ต้องได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาจากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น จึงจะตั้งเป็นวัดได้ แต่ประเทศวาติกัน ตั้งวัดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย โดยใช้กฎหมายของประเทศวาติกัน นี่คือการละเมิดอำนาจอธิปไตยด้านนิติบัญญัติ และคือการล้มล้างพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย
สมเด็จพระสังฆราช องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งได้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น เป็นพระราชอำนาจเฉพาะพระองค์เดียวเท่านั้น และในประเทศไทยมีพระสังฆราชได้องค์เดียวเท่านั้น แต่ประเทศวาติกัน แต่งตั้งพระสังฆราชบนผืนแผ่นดินไทยถึง ๑๐ คน ตามกฎหมายของประเทศวาติกัน และแต่งตั้งอัครสังฆราชอีก ๑ คน ตำแหน่งใหญ่เหนือกว่าตำแหน่งตำแหน่งพระสังฆราชไทย ที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้ง นี่คือการล้มล้างพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยและคือ DOUBLE STANDARD ดังพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ตามกฎหมายไทย ผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์บนผืนแผ่นดินไทย ต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทยเท่านั้น
ปรากฎว่า ประเทศวาติกันเอาพวกที่เข้าไปเป็นคาทอลิกจะถูกแปลงสัญชาติอัตโนมัติไปเป็นวาติกัน เสียสัญชาติไทยไปแล้วตามกฏหมาย แต่วาติกันได้อาศัยบุคคลเหล่านี้มาถือครองกรรมสิทธิที่ดินบนผืนแผ่นดินไทย ซึ่งผิดกฏหมายแพ่งพานิชย์ว่าด้วยนิติกรรม เป็นการใช้กลอุบายเพื่อเอาที่ดินนั้นไปเป็นสมบัติของวาติกัน โดยนำที่ดินนั้นเข้าบัญชีกระทรวงทรัพย์สินเกี่ยวกับศาสนจักรตะวันออก ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเก็บส่วยอาณานิคมวาติกันในแถบเอเซียโดยเฉพาะ วาติกันได้ตั้งสำนักงานในประเทศไทยชื่อ “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระองค์” รวบรวมทำบัญชีทรัพย์สินของผู้ที่เป็นคาทอลิกในประเทศไทยทั้งหมดขึ้นเป็นสมบัติของสันตะปาปา เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ประเทศไทยมีในหลวงพระองค์เดียว และมีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์หนึ่งเดียว หากไม่ใช่ตั้งขึ้นมาเพื่อล้มล้างพระมหากษัตริย์องค์พระประมุขของไทย จะมีเหตุผลอื่นอ้างหรือไม่ ขอให้พิจารณาจากหลักฐานนี้
Re: ภัยของรัฐประเทศวาติกัน ต่อสถาบันพระพุทธศาสนา
ผู้ที่เปลี่ยนสัญชาติเป็นวาติกันไปแล้ว ต้องสูญเสียสัญชาติไทยไปโดยอัตโนมัติ นี่คือกฎหมายสากล ถือครองอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่เดิมนั้นไม่ได้
นิติกรรมต่าง ๆ การซื้อ ขาย ถ่าย โอน เช่า ให้เช่า ที่ได้กระทำหลังจากที่ตนได้เสียสัญชาติไทยไปแล้วนั้น นิติกรรมทั้งสิ้นล้วนเป็นโมฆะทั้งหมด โฉนดที่ถืออยู่เป็นโมฆะทั้งหมด เป็นกฎหมายสากล ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มี DOUBLE STANDARD
หากต้องการสัญชาติคืนเป็นไทย ต้องไปยื่นคำร้องต่อศาล ของคืนสัญชาติเป็นไทย
หากต้องการอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ต้องไปขอต่อ VISA ทุก ๆ ๖ เดือนต่อครั้ง หรือทำใบคนต่างด้าว ทำงานในประเทศไทยก็ไม่ได้ จะทำต้องไปขอใบขออนุญาตทำงานที่กรมแรงงานทุกคน ไม่มีข้อยกเว้นว่าถ้าเป็นประชาชนประเทศวาติกันไม่ต้องทำ แต่หากเป็นเขมรพม่า ลาว ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงต้องจับมันเนรเทศออกไปให้หมด แต่หากเป็นวาติกันต้องยกไว้หรืออย่างไร ? หากไม่ใช่แล้วที่ใช่เป็นอย่างไร กฏหมายไหนที่ให้มีข้อยกเว้นบ้าง กรุณาช่วยบอกกันหน่อย เรียก รมว.ยุติธรรมมาถามดูให้รู้เรื่องไปเลย
เครดิตยูเนียน เป็นของประเทศวาติกัน ระบุชัดเจนว่า เงินสนับสนุนการปฏิบัติการ ออกไปจากเครดิตยูเนียน
นิติกรรมต่าง ๆ การซื้อ ขาย ถ่าย โอน เช่า ให้เช่า ที่ได้กระทำหลังจากที่ตนได้เสียสัญชาติไทยไปแล้วนั้น นิติกรรมทั้งสิ้นล้วนเป็นโมฆะทั้งหมด โฉนดที่ถืออยู่เป็นโมฆะทั้งหมด เป็นกฎหมายสากล ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มี DOUBLE STANDARD
หากต้องการสัญชาติคืนเป็นไทย ต้องไปยื่นคำร้องต่อศาล ของคืนสัญชาติเป็นไทย
หากต้องการอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ต้องไปขอต่อ VISA ทุก ๆ ๖ เดือนต่อครั้ง หรือทำใบคนต่างด้าว ทำงานในประเทศไทยก็ไม่ได้ จะทำต้องไปขอใบขออนุญาตทำงานที่กรมแรงงานทุกคน ไม่มีข้อยกเว้นว่าถ้าเป็นประชาชนประเทศวาติกันไม่ต้องทำ แต่หากเป็นเขมรพม่า ลาว ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงต้องจับมันเนรเทศออกไปให้หมด แต่หากเป็นวาติกันต้องยกไว้หรืออย่างไร ? หากไม่ใช่แล้วที่ใช่เป็นอย่างไร กฏหมายไหนที่ให้มีข้อยกเว้นบ้าง กรุณาช่วยบอกกันหน่อย เรียก รมว.ยุติธรรมมาถามดูให้รู้เรื่องไปเลย
เครดิตยูเนียน เป็นของประเทศวาติกัน ระบุชัดเจนว่า เงินสนับสนุนการปฏิบัติการ ออกไปจากเครดิตยูเนียน
Re: ภัยของรัฐประเทศวาติกัน ต่อสถาบันพระพุทธศาสนา
ศพพ. ถูกจัดตั้งและบริหารโดยบุคคลสัญชาติวาติกัน เป็นคนของประเทศวาติกัน และสนับสนุนเงินทุนโดยเครดิตยูเนียน จากการเปิดเผยของนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ซึ่งเป็นผู้บ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามนโยบายของประเทศวาติกันอยู่แล้ว
ผู้สนับสนุนการกระทำใด ๆ ให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของดินแดนของประเทศไทย ตกไปอยู่ใต้กฎหมายของรัฐต่างประเทศ การตระเตรียมการใด ๆ อันทำให้อธิปไตยของชาติ หรือบูรณภาพแห่งดินแดนเสียไป เป็นความผิดฐานจารกรรม ผู้กระทำเรียกว่าจารชน ผู้สนับสนุน ผู้พยายาม มีความผิดเท่ากับความผิดสำเร็จ ตามกฎหมายจารชน ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน โทษสถานเบาที่สุด คือ เนรเทศ
พวกพม่า เขมร เวียตนาม ทำไมเนรเทศใส่เรือไปได้ แล้วทำไมไม่เอาพวกนี้ใส่เครื่องบิน แล้วส่งกลับไปยังประเทศวาติกันบ้าง หรือนี่คือ DOUBLE STANDARD ดังองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดำรัสไว้อย่างชัดเจนไร้ข้อสงสัย
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่มีผลต่อสถาบันความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุด เป็นรากฐานของขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของชนชาติไทย คำจำกัดความของคำว่า “ชาติ” โดยสากลโลกนั้นระบุไว้ตรงกันหมายความถึง “ชนที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม ภาษา ศาสนา เป็นหนึ่งเดียวกัน และศาสนาคือต้นกำเหนิดของขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม” สำหรับชนชาติไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นรากฐาน และสามารถที่จะกล่าวได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นสถาบันที่สร้างชาติสร้างแผ่นดิน ให้เราชาวไทยทุกคนในเวลานี้ได้มีประเทศอยู่อาศัยได้ซุกหัวนอน เพราะปรากฏประกาศเป็นพระบรมราชโองการของพระเจ้าตากสินมหาราชกษัตริย์ไทยว่า “ถวายแผ่นดินเป็นพุทธบูชา” ชัดเจนประจักษ์แจ้งทั้งยังสลักจารึกไว้ที่ผนังพระราชวังเดิม กรุงธนบุรีเป็นพยานจวบปัจจุบัน นั่นหมายถึงว่า “แผ่นดินทั้งประเทศไทยเป็นที่ธรณีสงฆ์ เป็นพุทธศาสนสมบัติ จัดเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์” ศาสนาอื่นใดมิอาจอ้างได้ทั้งสิ้น และไม่เคยปรากฏว่ามีหลักฐาน ณ ที่ใด เมื่อใด ในสมัยรัตนโกสินทร์ ทั้งก่อนและหลังเปลี่ยนการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ ก็ไม่ปรากฏว่ามีประกาศยกเลิกพระบรมราชโองการเอาที่ดินคืนมาจากพระพุทธศาสนา ถ้าจะพูดกันให้ตรงประเด็นก็คือ “ทุกวันนี้ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยไม่ว่าชาติใดภาษาใด ล้วนแล้วแต่ได้รับความเมตตาจากพระภิกษุสงฆ์ซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดินโดยชอบธรรมตามพระบรมราชโองการที่ยังไม่เคยมีการยกเลิก เรียกว่าอาศัยที่วัดอยู่กันทุกคน” จึงควรตระหนักว่าพระพุทธศาสนานั้นเป็นสถาบันหลักยิ่งกว่าสถาบันใด เพราะหากปราศจากพระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมของจิตใจชาวไทยทั้งชาติ ให้ร่วมกันกอบกู้เอกราชจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ โดยสมเด็จพระเจ้าตากสินได้ประกาศให้กู้แผ่นดินไทยถวายเป็นพุทธบูชา จึงใช้เวลาเพียง ๗ เดือนชาวไทยพุทธทั้งประเทศได้นำเอกราช อธิปไตยกลับคืนมาสู่แผ่นดินได้สำเร็จ และนี่คือพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ศาสนาใดจะกล่าวอ้างมิได้ทั้งสิ้น หากชนชาวไทยในครั้งเสียกรุงไร้เสียซึ่งพระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมใจ แผ่นดินที่เป็นประเทศไทยขณะนี้จะเป็นประเทศอะไร ก็สุดเดาได้
ฉะนั้น กรณีที่ประเทศวาติกันได้ดำเนินการบ่อนทำลายสถาบันพระพุทธศาสนา ดังปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยและกฏหมายระหว่างประเทศโดยแจ้งชัด เป็นการแทรกแทรงจารกรรมบ่อนทำลายความมั่นคงของไทยทั้งประเทศผู้ที่ร่วมสนับสนุนกิจกรรมใด ๆ ของประเทศวาติกันบนผืนแผ่นดินไทยนับเป็นความผิด “ฐานเป็นจารชน” ตามกฏหมายสากลระหว่างประเทศ และความผิดดังกล่าวนี้เป็นหน้าที่ของกองทัพซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้อำนาจไว้ตามมาตรา ๗๒ ในการรักษาความมั่นคงในความผิดส่วนนี้ พึงทราบว่าการดำเนินการใด ๆ ต่อผู้ที่เป็น “จารชน” เป็นอำนาจของทหารเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของตำรวจเพราะกฏหมายระบุไว้ชัดเจนว่า เจ้าพนักงานตำรวจ มีหน้าที่สืบสวน สอบสวนจับกุม เฉพาะผู้ที่กระทำความผิดทางอาญาเท่านั้น จะสังเกตุง่าย ๆ ว่าแม้กระทั่งจับเหล้าเถื่อน ตำรวจก็จับไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจเป็นของเจ้าหน้าที่สรรพสามิต หรือผู้กระทำผิดทางแพ่งตำรวจก็จับไม่ได้
จึงขอฝากให้คณะกรรมมาธิการฯ โปรดได้เรียกตัวข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และ/หรือ ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบทั้งหมดมาสอบถามรายละเอียดให้กระจ่างว่า ด้วยสาเหตุหรือแรงจูงใจอะไร จึงทำให้เกิดการปล่อยให้ “จารชนวาติกัน” สามารถสร้างเครือข่าย ปักปันเขตแดน ตั้งเขตอาณานิคม “สิทธิภาพนอกอาณาเขตเหนือดินแดนไทย” ได้โดยเสรีโดยไม่ดำเนินการปราบปราม จับกุม หรือกระทำตามที่กฏหมายให้อำนาจไว้ ทั้ง ๆ ที่กลุ่มจารชนวาติกันได้ขยายเครือข่ายกระทำการบ่อนทำลายสถาบันความมั่นคงของชาติอย่างเปิดเผยเด่นชัด ยิ่งไปกว่านั้นยังปรากฏคล้ายกับว่ามีการสนับสนุนทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ต่อขบวนการจารชนวาติกันนี้อีกด้วย
กรณีการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติดังกล่าวทั้งหมดนี้ กระผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคณะกรรมาธิการฯ จะได้ดำเนินการ แก้ไข ป้องกัน โดยเร่งด่วน หากมิได้ดำเนินการใด ๆ และปล่อยให้บ่อนทำลายเช่นนี้ต่อไปนั่นย่อมหมายถึง เราต้องสิ้นชาติ และเมื่อถึงวันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสจะแก้ตัว
ผู้สนับสนุนการกระทำใด ๆ ให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของดินแดนของประเทศไทย ตกไปอยู่ใต้กฎหมายของรัฐต่างประเทศ การตระเตรียมการใด ๆ อันทำให้อธิปไตยของชาติ หรือบูรณภาพแห่งดินแดนเสียไป เป็นความผิดฐานจารกรรม ผู้กระทำเรียกว่าจารชน ผู้สนับสนุน ผู้พยายาม มีความผิดเท่ากับความผิดสำเร็จ ตามกฎหมายจารชน ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน โทษสถานเบาที่สุด คือ เนรเทศ
พวกพม่า เขมร เวียตนาม ทำไมเนรเทศใส่เรือไปได้ แล้วทำไมไม่เอาพวกนี้ใส่เครื่องบิน แล้วส่งกลับไปยังประเทศวาติกันบ้าง หรือนี่คือ DOUBLE STANDARD ดังองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดำรัสไว้อย่างชัดเจนไร้ข้อสงสัย
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่มีผลต่อสถาบันความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุด เป็นรากฐานของขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของชนชาติไทย คำจำกัดความของคำว่า “ชาติ” โดยสากลโลกนั้นระบุไว้ตรงกันหมายความถึง “ชนที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม ภาษา ศาสนา เป็นหนึ่งเดียวกัน และศาสนาคือต้นกำเหนิดของขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม” สำหรับชนชาติไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นรากฐาน และสามารถที่จะกล่าวได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นสถาบันที่สร้างชาติสร้างแผ่นดิน ให้เราชาวไทยทุกคนในเวลานี้ได้มีประเทศอยู่อาศัยได้ซุกหัวนอน เพราะปรากฏประกาศเป็นพระบรมราชโองการของพระเจ้าตากสินมหาราชกษัตริย์ไทยว่า “ถวายแผ่นดินเป็นพุทธบูชา” ชัดเจนประจักษ์แจ้งทั้งยังสลักจารึกไว้ที่ผนังพระราชวังเดิม กรุงธนบุรีเป็นพยานจวบปัจจุบัน นั่นหมายถึงว่า “แผ่นดินทั้งประเทศไทยเป็นที่ธรณีสงฆ์ เป็นพุทธศาสนสมบัติ จัดเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์” ศาสนาอื่นใดมิอาจอ้างได้ทั้งสิ้น และไม่เคยปรากฏว่ามีหลักฐาน ณ ที่ใด เมื่อใด ในสมัยรัตนโกสินทร์ ทั้งก่อนและหลังเปลี่ยนการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ ก็ไม่ปรากฏว่ามีประกาศยกเลิกพระบรมราชโองการเอาที่ดินคืนมาจากพระพุทธศาสนา ถ้าจะพูดกันให้ตรงประเด็นก็คือ “ทุกวันนี้ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยไม่ว่าชาติใดภาษาใด ล้วนแล้วแต่ได้รับความเมตตาจากพระภิกษุสงฆ์ซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดินโดยชอบธรรมตามพระบรมราชโองการที่ยังไม่เคยมีการยกเลิก เรียกว่าอาศัยที่วัดอยู่กันทุกคน” จึงควรตระหนักว่าพระพุทธศาสนานั้นเป็นสถาบันหลักยิ่งกว่าสถาบันใด เพราะหากปราศจากพระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมของจิตใจชาวไทยทั้งชาติ ให้ร่วมกันกอบกู้เอกราชจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ โดยสมเด็จพระเจ้าตากสินได้ประกาศให้กู้แผ่นดินไทยถวายเป็นพุทธบูชา จึงใช้เวลาเพียง ๗ เดือนชาวไทยพุทธทั้งประเทศได้นำเอกราช อธิปไตยกลับคืนมาสู่แผ่นดินได้สำเร็จ และนี่คือพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ศาสนาใดจะกล่าวอ้างมิได้ทั้งสิ้น หากชนชาวไทยในครั้งเสียกรุงไร้เสียซึ่งพระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมใจ แผ่นดินที่เป็นประเทศไทยขณะนี้จะเป็นประเทศอะไร ก็สุดเดาได้
ฉะนั้น กรณีที่ประเทศวาติกันได้ดำเนินการบ่อนทำลายสถาบันพระพุทธศาสนา ดังปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยและกฏหมายระหว่างประเทศโดยแจ้งชัด เป็นการแทรกแทรงจารกรรมบ่อนทำลายความมั่นคงของไทยทั้งประเทศผู้ที่ร่วมสนับสนุนกิจกรรมใด ๆ ของประเทศวาติกันบนผืนแผ่นดินไทยนับเป็นความผิด “ฐานเป็นจารชน” ตามกฏหมายสากลระหว่างประเทศ และความผิดดังกล่าวนี้เป็นหน้าที่ของกองทัพซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้อำนาจไว้ตามมาตรา ๗๒ ในการรักษาความมั่นคงในความผิดส่วนนี้ พึงทราบว่าการดำเนินการใด ๆ ต่อผู้ที่เป็น “จารชน” เป็นอำนาจของทหารเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของตำรวจเพราะกฏหมายระบุไว้ชัดเจนว่า เจ้าพนักงานตำรวจ มีหน้าที่สืบสวน สอบสวนจับกุม เฉพาะผู้ที่กระทำความผิดทางอาญาเท่านั้น จะสังเกตุง่าย ๆ ว่าแม้กระทั่งจับเหล้าเถื่อน ตำรวจก็จับไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจเป็นของเจ้าหน้าที่สรรพสามิต หรือผู้กระทำผิดทางแพ่งตำรวจก็จับไม่ได้
จึงขอฝากให้คณะกรรมมาธิการฯ โปรดได้เรียกตัวข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และ/หรือ ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบทั้งหมดมาสอบถามรายละเอียดให้กระจ่างว่า ด้วยสาเหตุหรือแรงจูงใจอะไร จึงทำให้เกิดการปล่อยให้ “จารชนวาติกัน” สามารถสร้างเครือข่าย ปักปันเขตแดน ตั้งเขตอาณานิคม “สิทธิภาพนอกอาณาเขตเหนือดินแดนไทย” ได้โดยเสรีโดยไม่ดำเนินการปราบปราม จับกุม หรือกระทำตามที่กฏหมายให้อำนาจไว้ ทั้ง ๆ ที่กลุ่มจารชนวาติกันได้ขยายเครือข่ายกระทำการบ่อนทำลายสถาบันความมั่นคงของชาติอย่างเปิดเผยเด่นชัด ยิ่งไปกว่านั้นยังปรากฏคล้ายกับว่ามีการสนับสนุนทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ต่อขบวนการจารชนวาติกันนี้อีกด้วย
กรณีการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติดังกล่าวทั้งหมดนี้ กระผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคณะกรรมาธิการฯ จะได้ดำเนินการ แก้ไข ป้องกัน โดยเร่งด่วน หากมิได้ดำเนินการใด ๆ และปล่อยให้บ่อนทำลายเช่นนี้ต่อไปนั่นย่อมหมายถึง เราต้องสิ้นชาติ และเมื่อถึงวันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสจะแก้ตัว
Re: ภัยของรัฐประเทศวาติกัน ต่อสถาบันพระพุทธศาสนา
แล้วทําไงกันดี
wincha- จำนวนข้อความ : 107
Registration date : 25/10/2008
ฅนไท- จำนวนข้อความ : 193
Registration date : 04/11/2008
Re: ภัยของรัฐประเทศวาติกัน ต่อสถาบันพระพุทธศาสนา
เค้ามีทั้งเงิน คน อำนาจ
จะไปต่อกรยังไงล่ะเนี่ย
จะไปต่อกรยังไงล่ะเนี่ย
kiagenwa- จำนวนข้อความ : 20
Registration date : 24/11/2009
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|