สำนักพุทธฯเสนอแนวทางพระเทศน์ปี ๒๕๕๒

[MI-6]

Happy Buddha !!

เป็นผู้เบิกบาน แจ่มใส
เป็นผู้ไร้ ซึ่งหม่นหมอง
คนว่า บันดาลเงินทอง
คนจับจอง ซ้องบูชา

[MI-6]

ดร.อำนาจ บัวศิริ ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า
ขณะนี้ตนได้ร่างแผนแม่บทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว หลักๆจะกำหนดแนวทางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ในปี 2552 ประกอบด้วย

1. ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยตั้งเป้าให้วัด 1 แห่ง ต้องเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่ประชาชนให้ได้มากที่สุด
เบื้องต้นจะกำหนดให้ 1 วัด ต่อ 1,000 คน

แนวทางในการพัฒนาพระสงฆ์ ขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการ... ในส่วนของการพัฒนาเจ้าอาวาสวัดทุกแห่ง ให้มีความรู้ในระดับปริญญาตรี

โดยกำหนดให้มีเจ้าอาวาสเข้าร่วมโครงการปีละ 5,000 รูป และเจ้าอาวาสรุ่นแรก ที่เข้าร่วมโครงการกำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 3
ของทั้งมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.)

2. การสร้างเครือข่ายในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาร่วมกับองค์กรทางพระพุทธศาสนาต่างๆ

3. การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

4. การดูแลสุขภาพของพระสงฆ์ โดยทาง พศ. กำลังประสานไปยังโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อขอข้อมูลสาเหตุในการอาพาธของพระสงฆ์
ที่เข้ามารับการรักษา เพื่อหาแนวทางดูแลสุขภาพพระสงฆ์ต่อไป

และ 5. แนวทางการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนพระปริยัติธรรม





ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรฯกล่าวต่อว่า ใน วันที่ 22 ม.ค. 2552 จะมีการประชุม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.)
ทั่วประเทศ .... แจกร่างแผนแม่บทการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในปี 2552 ให้แต่ละจังหวัดไปดำเนินการ

จากนั้นในช่วง เดือน ก.พ. จะให้ พศจ. ส่งแนวทางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของแต่ละจังหวัดกลับมาที่ พศ.
เพื่อเตรียม รวบรวมนำเสนอต่อคณะกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา แห่งชาติ มีพระพรหมโมลี วัดพิชยญาติการาม เป็น ประธาน ที่คาดว่าจะสามารถประชุมได้ประมาณเดือน มี.ค. เพื่อออกเป็นแผนแม่บทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั่วประเทศต่อไป

ขณะเดียวกันในส่วนของแนวทางการเทศน์ของพระสงฆ์ทั่วประเทศนั้น จะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติด้วยว่า ควรจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสอนให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่ ประเทศกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำได้.

[MI-6]

ที่มาจาก เว็บ นสพ.ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/news.php?section=education&content=117524


บ้านเพื่อนอยู่ใกล้โรงถ่ายละครในเครือไทยรัฐ พอปีใหม่เขาก็ส่ง กระเช้าของขวัญแล้วก็ ส่งไดอารี่ ๖๐ ปีไทยรัฐให้ด้วย แต่เพื่อนเราเป็นประเภท ตรงสุดชีวิต ก็เลยซื้อของขวัญที่ราคาแพงกว่าที่เขาให้มา ส่งกลับไป เพราะว่า
เขากำลังก่อสร้างอยู่ หากรับของเขา แบบงก จนขาดสติ ก็จะชักนำความวุ่นวายในภายหน้าได้ แต่ตอนนี้ก็ดูว่า
เขายังดีอยู่ คือ เกรงใจชาวบ้านรอบข้างอยู่บ้างตามสมควร ซึ่งเป็นแบบนี้จึงเหมาะ เพราะว่าสายอาชีพเขาคืองานที่ต้องอาศัย ความรัก ความชัง ของสาธารณะ หากไปสร้างกระแสต้านเข้า จะไม่เป็นผลดีกับธุรกิจเขาเองค่ะ

เพื่อนเราเป็นประเภท ไม่ชอบให้ใครมีบุญคุณ ใครให้ของต้องให้กลับ อยากได้อะไรก็ทำงานเก็บเงินซื้อเอา ถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่ต้องซื้อ แล้วก็ไม่เคยเห็นของใครดีจนต้องอยากได้ หรือคิดจะมีกับเขาบ้าง ดังนั้นจึงไม่เคยรวย เพราะว่าพอหาเงินได้จำนวนหนึ่ง ก็หาโน่นหานี่มาใช้ บางทีก็หมดไปกับการช่วยคนที่มาขออยู่ร่ำไป แบบว่า ในชีวิตนี้มีกรรมเก่าตามมาทันไม่รู้จักหยุดหย่อน(หมายถึงคนที่มาขอ)

ก็เล่าประกอบแหล่งข่าว เพราะบังเอิญเกี่ยวเนื่องกับไทยรัฐ

[MI-6]

ส่วนบทความนี้ จาก alittlebuddha.com ตั้งแต่ ๓๐ กันยายน ปี ๔๖ แล้ว ไม่ได้บอกว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
แต่คิดว่า ผู้ที่อยู่ในวงการพระพุทธศาสนา หรือ เราๆ ท่านๆ ที่เป็นพุทธบริษัท ควรจะอ่านแล้วก็หาทางช่วยค้ำชูศาสนาพุทธของเรา เท่าที่สองมือจะกอบได้ เราปฎิบัติกับศาสนาเราอย่างไร เราปฏิบัติต่อพระสงฆ์ เหมาะ และควรหรือไม่


" ....กล่าวให้ครอบคลุม ปัญหาในวงการคณะสงฆ์ปัจจุบันนี้ทั้งหมด มันไม่ได้อยู่ที่พระสังฆาธิการ หากแต่ติดอยู่ที่มหาเถรสมาคมหมด ไม่ว่าปัญหาอะไร ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ พระสังฆาธิการในระดับล่างไม่มีอำนาจในการจัดการได้เด็ดขาด ต้องอาศัยมหาเถรสมาคมให้ลงมาเล่นแทนในทุกบท แต่มหาเถรสมาคมนั้น แปลว่า สมาคมของพระที่แก่มาก หรือแก่ยิ่งกว่าแก่ เพราะมหานั้นแปลว่ามาก เถระก็แปลว่า แก่ เฒ่า หรือชรา ทีนี้เมื่อพระผู้เฒ่าแบบนอนโรงพยาบาลบริหารบ้านเมืองยังคงกุมอำนาจไว้ในย่ามอยู่อย่างไม่รู้วันตาย ก็อย่าหวังเลยว่าสังฆมณฑลไทยจะเจริญ นี่มิได้กล่าวจาบจ้วงโจมตีพระเถระ แต่เราต้องพิจารณาความเป็นจริงกันให้หนัก ว่าปัจจุบันวันนี้โลกพัฒนาไปถึงไหน มีใครบ้างในมหาเถรสมาคมให้ความสนใจในเรื่องของการศึกษาและพัฒนาวงการคณะสงฆ์ นอกจากจะรับกิจนิมนต์เปิดโน่นเจิมนี่ไปวัน ๆ หรือไม่ก็ไปนั่งปรกปลุกเสกพระเครื่อง

“เป็นการทำลายระบบอาวุโสที่มีมาแต่เดิม” นั่นเป็นวิสัยทัศน์ของเมืองไทยสมัยสามพันปีก่อนที่ยังตกตะกอนอยู่จนเดี๋ยวนี้ เพราะคนไทยเราให้ความเคารพเชื่อมั่นในพระภิกษุผู้ชรา ว่าคงไม่มีกิเลสแล้ว น่าไว้วางใจกว่าพระหนุ่มเณรน้อย ไม่รู้ว่าจะเกี้ยวสีกาในเวลาไหน ดังนั้น ถ้าได้พระผู้เฒ่าเป็นเจ้าอาวาสหรือเป็นพระสังฆาธิการก็จะให้ความเคารพนับถือ

หากแต่ในโลกยุคปัจจุบันนั้น เราท่านก็ได้เห็นว่า ระบบอาวุโสที่ใช้ในวงการคณะสงฆ์ไทยตั้งแต่สมัยสร้างชาติมานั้น “ไม่ทันการณ์” มีแต่พระผู้เฒ่ามะงุมมะงาหราอยู่กับตำราเก่า ๆ เทศน์แต่ละทีก็ต้องส่องกล้องทางไกลให้ตัวหนังสือโต ๆ สำนวนก็หลงยุค เขาถามเรื่องไอที ท่านก็เล่นตอบเรื่องพระขุนแผน เขาถามเรื่องการศึกษาและพัฒนา ท่านก็ตอบเรื่องการสร้างโบสถ์สร้างวิหารว่าเป็นการสร้างงานพระศาสนาและมีบำเหน็จเป็นสมณศักดิ์ ทำให้พระพุทธศาสนาในประเทศไทยล้าหลัง สู้พระสงฆ์ต่างชาติ เช่น ศรีลังกา พม่า มาเลเซีย จีน ญี่ปุ่น ธิเบต หรือแม้แต่เวียตนามก็สู้เขาไม่ได้ จริง ๆ เลย ทุกวันนี้คนอเมริกันรู้จักกันก็แต่พระจีนและพระธิเบต ถ้าเรื่องวิปัสสนาเขาก็บินเข้าพม่า เพราะว่าขนาดพระไทยยังใช้พระพม่าเป็นครูสอนวิปัสสนากรรมฐานเลย มีพระจบด๊อกเตอร์ดังอยู่องค์เดียว คือพระเมตตานันโท แต่ก็ฝรั่งจ๋า พูดจาอะไรก็การแพทย์ และโลกตะวันตก ลืมโลกตะวันออก ตำหรับตำราเก่าก็ไม่เอามาประยุกต์ เชื่อแต่ทฤษฎีฝรั่ง พฤติกรรมอย่างนี้เลยถูกพระไทยรุมตีจนเกือบสลบ เพราะท่านจบแค่ประโยค 1-2 แต่อุตริสอนมหาเปรียญเก้า ...."



หมายเหตุ ...พระเมตตานันโทนั้น เท่าที่ทราบ ชื่อฆราวาสชื่อ มโน และล่าสุดรู้สึกว่าท่านจะลาสิกขาบทแล้ว และเคยได้ข่าวอีกแหละว่า สังกัดพรรคชาติไทย ..... แต่ล่าสุดไม่ทราบค่ะ ข่าวนี้ตั้งแต่ประมาณ ๑ ปีมาแล้ว ...MI-6