Any Doc!!!!
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

ถวายคืนพระราชอำนาจ โดยสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2548

Go down

ถวายคืนพระราชอำนาจ โดยสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2548 Empty ถวายคืนพระราชอำนาจ โดยสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2548

ตั้งหัวข้อ  Admin Tue Sep 09, 2008 2:07 am

“สนธิ” นำปฏิญาณ ถวายคืนพระราชอำนาจ

“สนธิ” นำมวลชนกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ขอถวายคืนพระราชอำนาจแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระราชทานผู้นำปฏิรูปการเมือง จัดโครงสร้างองค์กรใหม่โดยสันติวิธี ผ่านการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เพื่อจรรโลงระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ภายใต้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ให้มีเสถียรภาพ มั่นคง ก่อเกิดประโยชน์สุขต่อปวงประชากร และตัดช่องทางการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวให้กับกลุ่มการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงกลุ่มเดียว

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง เมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ครั้งที่ 8 ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง เมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ครั้งที่ 8 ช่วงที่ 2

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง เมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ครั้งที่ 8 ช่วงที่ 3 จบ

ในช่วงท้ายของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 8 ที่สวนลุมพินี เมื่อช่วงเย็น (11 พ.ย.) ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้นำกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อถวายคืนพระราชอำนาจ และขอพระราชทานผู้นำการปฏิรูปการเมืองเพื่อจัดโครงสร้างทางการเมืองใหม่ ให้หลุดพ้นจากการครอบงำของนายทุนพรรคการเมือง และเกิดประโยชน์สุขต่อปวงประชากร

นายสนธิ ได้กล่าวถึงเหตุผลในการถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ทุกวันนี้เรากำลังตกอยู่ในหลุมพราง กับดักของการเมืองที่ใช้ทุนเป็นใหญ่ ภายใต้ระบบพรรคการเมืองที่กำหนดให้ ส.ส.มีระเบียบวินัย เห็นอะไรที่ผิดมโนธรรม ผิดศีลธรรม อะไรที่ไม่มีความยุติธรรม หรือว่าอะไรที่เป็นสิ่งไม่ถูกต้องนั้น ถ้าหัวหน้าพรรคไม่เห็นด้วย ก็ต้องนั่งนิ่ง ขณะที่วุฒิสภาก็มีสภาพเป็นเพียงยางอะไหล่ของรัฐบาล เพราะคนที่จะเข้ามาเป็น ส.ว.ก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือจาก ส.ส.

นายสนธิ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ องค์กรอิสระต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กกต., ป.ป.ช. ซึ่งต้องผ่านการแต่งตั้งจากวุฒิสภา จึงกลายเป็นยางอะไหล่เสริมของรัฐบาลไปด้วย ดังนั้น แม้ประชาชนจะเข้าชื่อเพื่อขับไล่นายกฯ ก็ไม่มีความหมายอะไร ขณะที่สื่อมวลชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะโทรทัศน์ซึ่งห่วงแต่ผลประโยชน์ หรือเรตติ้ง ก็กลายเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการปิดหูปิดตาประชาชน

นายสนธิ กล่าวต่อว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ประชาชนคนไทยก็อยู่ในสภาวะที่มืดบอด ปล่อยให้ลัทธิประชานิยม ลัทธิลดแลกแจกแถม ลัทธิที่พูดวันนี้พรุ่งนี้จำไม่ได้ให้เกิดขึ้นอย่างนี้ตลอดเวลา การเมืองแบบนี้ไม่ใช่การเมืองที่สร้างสรรค์ เป็นการเมืองกึ่งประธานาธิบดี เพราะเป็นการเมืองให้พรรคเสนอชื่อนายกฯ นายกฯจะต้องเป็นคนที่อยู่ในบัญชีรายชื่อ ไม่ได้ต่างกว่าอเมริกาเลย รีพับลิกัน เดโมแครต พรรคไหนได้เสียงข้างมากหัวหน้าพรรคก็ได้เป็นประธานาธิบดี ไม่มีอะไรต่างกันเลย ต่างอยู่อย่างเดียวก็คือว่าความชั่วร้ายที่นี่มากกว่าเขาเยอะ

“เมื่อการเมืองมันเป็นอย่างนี้ ที่เห็น มันก็เลยมีการละเมิดพระราชอำนาจตลอดเวลา ไม่ใส่ใจ “เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯ จะจดจำใส่ล้นเกล้าล้นกระหม่อม” (ยกมือท่วมหัว) แล้วก็จบแค่นี้ แค่นี้เองจริงๆ พระเจ้าอยู่หัวพูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมากี่ปีแล้ว ไม่เคยทำ”

นายสนธิ กล่าวอีกว่า มีข้อสังเกตเมื่อวันที่ 31 ต.ค.เป็นวันสิ้นถือศีลอด มีการเชิญนายกรัฐมนตรีไปกล่าวปราศรัยออกโทรทัศน์ให้พี่น้องชาวมุสลิมได้ดูทั่วประเทศไทย มีสุนทรพจน์ที่รองเลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามได้ร่างให้ มีอยู่ 7-8 ย่อหน้า ส่งไปให้สำนักนายกฯ เมื่อเปรียบเทียบสุนทรพจน์ฉบับร่าง กับที่นายกฯอ่านออกอากาศจริงๆ แล้ว ในฉบับร่าง ย่อหน้าที่ 7 นายกฯ ต้องบอกว่า “ท่านเป็นห่วงเป็นใยทางภาคใต้ อยากให้ภาคใต้สงบ และพูดต่อว่าองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ นั้นก็มีความห่วงพระราชหฤทัยอย่างมาก ต้องการให้เกิดสันติสุข แล้วพระองค์ท่านเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา แล้วตัวนายกฯ จะน้อมรับพระราชดำรัส เข้าถึง เข้าใจ พัฒนา เข้ามารับใช้” ซึ่งเมื่อถึงเวลาออกอากาศจริง ไม่มีข้อความในย่อหน้านี้ ซึ่งไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใด นายกฯอาจไม่รู้ หรือว่าอาจจะเข้าใจผิด ไม่ได้กล่าวหาเขา

“ในสุนทรพจน์ตัวจริงที่อ่าน แล้วมีวิดีโอเทปออกมา อัดเทปมาเรียบร้อยแล้วไม่มีย่อหน้าที่ 7 ย่อหน้า 1 ถึง 8 เหมือนกันเป๊ะเลย แต่ 7 หายไป ผมไม่รู้ฝีมือใคร อาจจะเป็นฝีมือคนซึ่งเป็นวิชามารเก่งก็ได้ หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ ผมเพียงแต่ตั้งข้อสังเกต ผมไม่ได้กล่าวหาใคร” นายสนธิ กล่าว
Admin
Admin
Webmaster
Webmaster

จำนวนข้อความ : 384
Registration date : 22/06/2008

http://nonlaw.7forum.net

ขึ้นไปข้างบน Go down

ถวายคืนพระราชอำนาจ โดยสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2548 Empty Re: ถวายคืนพระราชอำนาจ โดยสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2548

ตั้งหัวข้อ  Admin Tue Sep 09, 2008 2:08 am

หลังจากนั้น นายสนธิได้เชิญชวนประชาชนที่มาชมรายการฯ ให้ยืนตรง ก่อนที่จะถวายความเคารพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ เปิดกรวยธูป เทียน แล้วอ่านคำอารัมภบทเพื่อแสดงหลักการและเหตุผล ในการถวายสัตย์ปฏิญาณ ความว่า

“ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม สถานการณ์ของประเทศไทย ณ บัดนี้ เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าวิกฤตกำลังเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน ทั้งวิกฤตทางสังคม วิกฤตทางจริยธรรม วิกฤตทางเศรษฐกิจ และวิกฤตทางการเมือง เป็นวิกฤตที่ไม่อาจขจัดปัดเป่าได้ด้วยระบอบการเมืองและคณะผู้นำทางการเมืองที่ดำรงอยู่ ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ประเด็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ได้รับการหยิบยกขึ้นมาอภิปรายในสังคมไทยอย่างกว้างขวางในลักษณะไม่เคยปรากฏมาก่อน นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ หากแต่เป็นสัจธรรมที่ว่า เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำไร้คุณธรรม เมื่อนั้นประชาชนจะถวิลหาพระเจ้าอยู่หัว เพราะพระเจ้าอยู่หัวของพสกนิกรชาวไทย คือใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯ ทรงอยู่ในราชสมบัติมาต่อเนื่องยาวนาน ไม่แพ้กษัตริย์พระองค์ใดในโลก รวมแล้ว 59 ปีเต็ม นับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2489 ปีหน้าจะครบ 60 ปีเต็ม จึงทำให้ทรงรู้ ทรงเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ในบ้านเมืองมาตลอด เป็นแหล่งสะสมประสบการณ์ของบ้านเมืองไว้มากที่สุด มากกว่ารัฐสภา มากกว่ารัฐบาล ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯ ไม่ได้ทรงมีบารมีขึ้นมาจากทฤษฎีการเมืองใด หากแต่โดยการปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งปวงเพื่อพสกนิกร

ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯ ทรงพิสูจน์พระองค์แล้วว่าเป็นสัจจะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯ ทรงยุติวิกฤติในบ้านเมืองลงได้หลายครั้งหลายหน นับตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 สงครามการเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย สงครามกับความยากจนผ่านโครงการพระราชดำริต่างๆ เหตุการณ์ 17-20 พฤษภาคม 2535 และที่สำคัญที่สุดก็คือ การพระราชทานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ ที่พิจารณาอย่างถึงที่สุดแล้ว คือฉันทมติกรุงรัตนโกสินทร์ ที่หากได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจังทั้งสังคมแล้ว ภายใต้การนำของรัฐบาลที่มีจิตสำนึกแล้ว ย่อมเป็นอาวุธอันทรงพลานุภาพ สามารถต่อกรกับฉันทมติกรุงวอชิงตันได้

ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองในอดีตที่ก่อให้เกิดการนำแนวคิดของระบอบกึ่งประธานาธิบดีมาผสมผสานในโครงการสร้างพื้นฐานทางการเมืองของประเทศไทยโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ด้วยมาตรการหลายๆ ประการที่มอบอำนาจ เอกสิทธิ์ และอภิสิทธิ์ให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงบังคับผู้สมัคร ส.ส.ให้ต้องสังกัดพรรคการเมือง และการให้ย้ายออกจากพรรคการเมืองทำได้ยากขึ้นนั้น เมื่อนำมาใช้ในประเทศไทย ภายใต้สภาพสังคมวิทยาทางการเมืองที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเงื่อนไขเดิม กล่าวคือ ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ ระหว่างชนบทกับเมือง วัฒนธรรมระบบอุปถัมภ์ที่หยั่งรากลึก และการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ เมื่อประกอบส่วนเข้ากับลัทธิเสรีนิยมใหม่ ที่นำพาลัทธิบริโภคนิยมเข้าครอบงำจิตสำนึก และจิตวิญญาณของคนไทย รวมทั้งวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ที่เปลี่ยนแปลงภูมิศาสตร์ ภูมิรัฐศาสตร์ของกลุ่มทุนในประเทศไทย ทำให้การเมืองใหม่กลายเป็นการเมืองผูกขาดของเงินที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทำให้รัฐบาลที่มาจากพันธมิตรกลุ่มทุนใหม่เป็นรัฐบาลที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ทำให้ผู้นำของรัฐบาลใหม่ที่มาจากพันธมิตรของกลุ่มทุนใหม่ เป็นผู้นำที่เต็มไปด้วยความอหังการมะมังการ เย่อหยิ่ง จองหอง และไม่สนใจขนบประเพณีใดๆ กับทั้งมีพฤติกรรมในลักษณะละเมิดพระราชอำนาจมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา

กลุ่มทุนผูกขาดที่เข้าครองอำนาจรัฐได้ใช้อำนาจรัฐนั้น ปกป้องและขยายฐานทางธุรกิจของตนเองด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง และบิดเบือนการใช้อำนาจหลากหลายรูปแบบ รวมทั้งฉ้อฉลนำทรัพย์สมบัติของแผ่นดินมาแบ่งปันกันในหมู่พวกพ้องโดยอาศัยนวัตกรรมของลัทธิเสรีนิยมใหม่จนก่อให้เกิดสภาพผูกขาดทางธุรกิจ ที่จะเป็นวัฏจักรนำไปสู่การผูกขาดทางการเมืองให้กระชับแน่นขึ้นอีก

วัฏจักรอุบาทว์ใหม่นี้จะยุติลงได้ด้วยหลักราชประชาสมาสัย ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน อันเป็นหลักนิติธรรมดั่งเดิมของระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทย

เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า กลุ่มทุนผูกขาดที่เข้ามาครองอำนาจรัฐต้องการสร้างหลักนิติธรรมใหม่ขึ้นมาเพื่อลบล้างหลักนิติธรรมเดิมที่ว่าด้วย ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนนี้ลง โดยให้รัฐบาลที่อ้างว่ามาจากความชอบธรรม จากการชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่วไปเข้ามาแทรกอยู่ตรงกลาง

ปวงข้าพระพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธรัฐบาลภายใต้เงื่อนไขที่ว่า รัฐบาลยังเป็นตัวแทนของประชาชน ตราบเท่าที่รัฐบาลยังยึดมั่นในครองแห่งธรรม ตราบเท่าที่รัฐบาลนั้นยังคงซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน และตราบเท่าที่รัฐบาลนั้นสัตย์ซื่อในคำปฏิญาณที่มีไว้ให้กับใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท รัฐบาลนั้นยังเป็นตัวแทนของประชาชน

สถานการณ์ของชาติบ้านเมืองในเวลานี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกระบวนการแก้ไข ปรับปรุงรายละเอียดของรัฐธรรมนูญด้วยแนวทางสันติวิธี และชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดการถวายพระราชอำนาจคืนแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ในการพระราชทานผู้นำในการปฏิรูปการเมือง เพื่อดำเนินการจัดโครงสร้างองค์กรทางการเมืองใหม่ ผ่านการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ที่อย่างน้อยจะต้องมีสารัตถะไม่บังคับผู้สมัคร ส.ส.สังกัดพรรคการเมือง ไม่มีมาตรการทำลายพรรคขนาดเล็ก นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง และจัดระบบที่มาของวุฒิสภาเสียใหม่ไม่ให้เป็นช่องทางแทรกแซงของพรรคการเมืองทั้งหมด รวมทั้งจะต้องมีมาตรการพิเศษเฉพาะหน้าเพื่อการขจัดคอร์รัปชั่นในโครงการใหญ่ ให้เป็นผลเป็นรูปธรรม

โครงสร้างทางการเมืองใหม่ที่มาจากการพระราชทานผู้นำในการปฏิรูปการเมืองของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทนี้ ประชาชนทั้งประเทศจะเป็นผู้ออกเสียงเป็นประชามติก่อนประกาศใช้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักของราชประชาสมาศรัย เป็นความอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ”
Admin
Admin
Webmaster
Webmaster

จำนวนข้อความ : 384
Registration date : 22/06/2008

http://nonlaw.7forum.net

ขึ้นไปข้างบน Go down

ถวายคืนพระราชอำนาจ โดยสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2548 Empty Re: ถวายคืนพระราชอำนาจ โดยสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2548

ตั้งหัวข้อ  Admin Tue Sep 09, 2008 2:09 am

หลังจากนั้น นายสนธิได้ขอเสียงปรบมือจากประชาชนผู้ชมรายการฯ หากไม่ขัดข้องในคำอารัมภบทข้างต้น ซึ่งทุกคนได้ปรบมือพร้อมกัน หลังจากนั้น นายสนธิได้กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณ ดังนี้

“ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า ... (นายสนธิ ลิ้มทองกุล)... จะดำเนินการต่อสู้อย่างสุดความสามารถด้วยแนวทางสันติวิธี และโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดการถวายพระราชอำนาจคืนแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯ ในการพระราชทานผู้นำ ในการปฏิรูปการเมือง เพื่อดำเนินการจัดโครงสร้างองค์กรทางการเมืองใหม่ ผ่านการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เพื่อมุ่งหวังจรรโลงระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยภายใต้พระมหากษัตริย์เป็นประมุข ให้มีเสถียรภาพ มั่นคง ก่อเกิดประโยชน์สุขต่อปวงประชากร และตัดช่องทางการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวให้กับกลุ่มการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงกลุ่มเดียว

ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า นับจากนี้เป็นต้นไปจะร่วมแรงร่วมใจ สองแขน สองมือ หนึ่งสมอง ผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียว เพื่อนำประเทศไทยถวายคืนแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯ เพื่อทรงใช้ร่วมกับประชาชน ตามหลักราชประชาสมาสัย อันเป็นหลักนิติธรรมดั้งเดิมแห่งระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทยโดยเร็ววัน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ”


รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ครั้งที่ 8 ได้จบลงด้วยการที่ประชาชนร่วมกันร้องเพลงสดุดีมหาราชา เสียงดังกระหึ่มหอประชุม ส่วนรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ครั้งต่อไป (ครั้งที่ 9) ยังคงจัดที่สวนลุมพินีเช่นเดิม

(อ่าน รายละเอียด “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 8 "สนธิ"นำถวายสัตย์ คืนพระราชอำนาจแด่ในหลวง )

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000156655
Admin
Admin
Webmaster
Webmaster

จำนวนข้อความ : 384
Registration date : 22/06/2008

http://nonlaw.7forum.net

ขึ้นไปข้างบน Go down

ถวายคืนพระราชอำนาจ โดยสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2548 Empty Re: ถวายคืนพระราชอำนาจ โดยสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2548

ตั้งหัวข้อ  Admin Tue Sep 09, 2008 2:15 am

เมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ถวายสัตย์ กล่าวคำปฏิญาณไว้ดังข้างต้น ว่าจะกระทำการคืนพระราชอำนาจให้ในหลวง

แล้วทำไม ในสถานการณ์ ณ ตอนนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ถึงได้ชี้นำประชาชน ให้ทำการ"เลือกข้าง" ซึ่งบ่งบอกถึงความต้องการสร้างความแตกแยกให้กับสังคมไทย

ทำไม ในวันนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ถึงไม่เลือกปฏิบัติ อย่างเช่นที่เคยทำมาในอดีต

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ย้ำตลอดเวลาว่า สิ่งที่กระทำนั้น เพื่อรักษาซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์

เราเชื่อว่า หากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ปฏิบัติอย่างเช่นที่เคยทำมาแต่ในครั้งอดีต สถานการณ์จะไม่รุนแรง จนอาจก่อให้เกิดความแบ่งแยกเช่นในปัจจุบัน
Admin
Admin
Webmaster
Webmaster

จำนวนข้อความ : 384
Registration date : 22/06/2008

http://nonlaw.7forum.net

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน


 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ