ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
2 posters
หน้า 1 จาก 1
sunny- จำนวนข้อความ : 3511
Registration date : 28/06/2008
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
เป็นที่รับรู้กัน ว่าประเทศสิงคโปร์ มีความสัมพันธ์อันดีลึกซึ้งกับครอบครัว ชินวัตร
ง่ายๆเพียงแค่นี้ หากมองกันให้ถูกทาง เราก็จะรู้ได้ว่า แท้จริงแล้วทักษิณ กับ สนธิลิ้ม เป็นพวกเดียวกัน
ประเทศชาติเสียหายนับแสนล้าน รายได้เข้าสิงคโปร์เต็มๆ ทั้งทางเรือ และทางอากาศ
ไงล่ะ ไหนบอกว่า ทักษิณ กับ สนธิลิ้มน่ะ คนละพวกกัน ที่แท้ก็กระเป๋าเดียวกันชัดๆ
แถมยังช่วยกันทำมาหากิน โดยใช้ประเทศชาติเป็นเครื่องมือ
ง่ายๆเพียงแค่นี้ หากมองกันให้ถูกทาง เราก็จะรู้ได้ว่า แท้จริงแล้วทักษิณ กับ สนธิลิ้ม เป็นพวกเดียวกัน
ประเทศชาติเสียหายนับแสนล้าน รายได้เข้าสิงคโปร์เต็มๆ ทั้งทางเรือ และทางอากาศ
ไงล่ะ ไหนบอกว่า ทักษิณ กับ สนธิลิ้มน่ะ คนละพวกกัน ที่แท้ก็กระเป๋าเดียวกันชัดๆ
แถมยังช่วยกันทำมาหากิน โดยใช้ประเทศชาติเป็นเครื่องมือ
sunny- จำนวนข้อความ : 3511
Registration date : 28/06/2008
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
โดยเฉพาะสนามบินสิงคโปร์ ลองไปค้นหาข้อมูลกันดู ว่ามีใครเป็นหุ้นส่วนบ้าง
นึกๆอีกที หรือว่า ประเทศสิงคโปร์มีเอี่ยวในการทำลายชาติของประเทศไทย
เอ!!! หรือว่า ประเทศสิงคโปร์เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของม๊อบพันธมิตรฯ
งั้นที่ม๊อบพันธมิตรฯ ออกมาด่าทักษิณ ก็เป็นการจัดฉาก เพื่อหลอกล่อประเทศและประชาชนในชาติ
ให้ตกอยู่ในวังวน จนประเทศใกล้จะเจ๊ง อ่ะดิ
นึกๆอีกที หรือว่า ประเทศสิงคโปร์มีเอี่ยวในการทำลายชาติของประเทศไทย
เอ!!! หรือว่า ประเทศสิงคโปร์เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของม๊อบพันธมิตรฯ
งั้นที่ม๊อบพันธมิตรฯ ออกมาด่าทักษิณ ก็เป็นการจัดฉาก เพื่อหลอกล่อประเทศและประชาชนในชาติ
ให้ตกอยู่ในวังวน จนประเทศใกล้จะเจ๊ง อ่ะดิ
sunny- จำนวนข้อความ : 3511
Registration date : 28/06/2008
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
แถมขุดคลองเพื่อแยกภาคใต้ก็ได้อีกทั้งขึ้นทั้งล่ิอง เพราะตูยึดภาคใต้ไว้หมดแล้ว
คนใต้ต่อไปเป็นได้แค่คนเปิดประตูโรงแรมครับผม ฉลาดดีมั๊ยเนี่ย
มุสลิมดูเหมือนจะถูกทำให้น่าสงสาร ด้วยการเห็นอกเห็นใจว่าถูกฆ่าสมัยทักษิณเยอะ
แต่ต่อไปจะถูกกวาดเรียบร้อยโรงเรียนคริสต์หมด
.
ใครได้ประโยชน์ดูได้จากสถิติคนเข้าดูเวป
คนใต้ต่อไปเป็นได้แค่คนเปิดประตูโรงแรมครับผม ฉลาดดีมั๊ยเนี่ย
มุสลิมดูเหมือนจะถูกทำให้น่าสงสาร ด้วยการเห็นอกเห็นใจว่าถูกฆ่าสมัยทักษิณเยอะ
แต่ต่อไปจะถูกกวาดเรียบร้อยโรงเรียนคริสต์หมด
.
ใครได้ประโยชน์ดูได้จากสถิติคนเข้าดูเวป
temasek- ผู้มาเยือน
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
ทุนสิงคโปร์ฮุบเกาะภูเก็ต ทั้ง รร.-สนามกอล์ฟมูลค่าหลายหมื่นล.
กลุ่มทุนจากสิงคโปร์ยึดภูเก็ตเกือบครึ่งเกาะ
ทั้งลงทุนเอง-เทกโอเวอร์โรงแรม-สนามกอล์ฟทั่วเกาะหลายหมื่นล้านบาท
จากกลุ่มทุนท้องถิ่นและส่วนกลาง ขณะที่ผู้ประกอบการในภูเก็ตมั่นใจ
ปัญหาทางการทูตระหว่างไทยกับสิงคโปร์
ไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของกลุ่มทุนสิงคโปร์ในภูเก็ตอย่างแน่นอน
กลุ่มทุนจากสิงคโปร์ ถือเป็นกลุ่มทุนต่างชาติอีกกลุ่มหนึ่ง
ที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เช่นเดียวกับกลุ่มทุนชาติอื่นๆ
เพราะภูเก็ตถือว่าเป็นขุมทรัพย์ก้อนใหญ่ที่ต่างชาติทุกชาติต้องการที่จะเข้า
มากอบโกย โดยธุรกิจที่มีการลงทุนก็ไม่แตกต่างจากนักลงทุนชาติอื่นๆ คือ
การลงทุนเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว โรงแรม รีสอร์ท
รวมทั้งธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
เพราะเป็นธุรกิจที่ล้วนสามารถกอบโกยผลกำไรได้อย่างรวดเร็ว
ธุรกิจของกลุ่มทุนสิงคโปร์ในภูเก็ต
ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่คนในภูเก็ตทราบดีเป็นเวลาสิบๆ ปีแล้ว คือ
อาณาจักร “ลากูน่า” โดยบริษัท ลากูน่า บีช รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล จำกัด
ตั้งอยู่ริมหาดเลพัง ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ที่นี่ถือเป็นอาณาจักรของ
“ลากูน่า” โดยแท้ เพราะมีโรงแรมระดับห้าดาวถึง 5 แห่ง ประกอบด้วย
โรงแรมลากูน่า บีช รีสอร์ท โรงแรมดุสิต ลากูน่า บีช รีสอร์ท
โรงแรมดิอลัมมันดา โรงแรมเซอร์ราตัน โรงแรมบันยันทรี
และสนามกอล์ฟบันยันทรี กอล์ฟ คลับ
ทั้งนี้
กลุ่มทุนสิงคโปร์เข้ามาลงทุนพัฒนาที่ดินเหมืองแร่ร้างให้เป็นโรงแรมระดับห้า
ดาว รองรับนักท่องเที่ยวระดับสูงมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว
ยังไม่นับรวมโครงการบ้านหรูที่อยู่ใกล้กับโรงแรมทั้ง 5 แห่ง
ราคาหลังละกว่า 50 ล้านบาท อีกจำนวนมาก
ทำให้มูลค่าทรัพย์สินของกลุ่มลากูน่ามหาศาล
สนามกอล์ฟบลูแคนยอน คันทรี คลับ สนามกอล์ฟชื่อดัง
มูลค่าเกือบหมื่นล้านบาท ที่ ต.ไม้ขาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต
เป็นอีกหนึ่งโครงการที่กลุ่มทุนจากสิงคโปร์เข้ามาลงทุน
โดยการซื้อต่อมาจากกลุ่มทุนท้องถิ่นภูเก็ต
ซึ่งขณะนี้กำลังมีปัญหาเรื่องการฟ้องร้องว่า
ใครมีกรรมสิทธิที่แท้จริงระหว่าผู้ถือหุ้นท้องถิ่นกับกลุ่มทุนสิงคโปร์
นอกจากนี้ยังมีโรงแรมคราวน์พลาซ่า
ที่กลุ่มทุนสิงคโปร์เข้ามาเทกโอเวอร์จากกลุ่มท้องถิ่นภูเก็ต
และในปัจจุบันทางกลุ่มทุนซาอุดิอาระเบียเทกโอเวอร์อีกต่อหนึ่ง
ขณะที่โรงแรมมิลเลเนียนที่กำลังจะเกิดขึ้น 2 แห่ง มีห้องพักประมาณ 400
ห้อง และร้านอาหารอินโดจีนในโครงการจังซีลอน
ศูนย์การค้าขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท บนหาดป่าตอง อ.กะทู้
จ.ภูเก็ต ที่เปิดให้บริการแล้วในขณะนี้ก็เป็นของกลุ่มทุนสิงคโปร์เช่นกัน
ขณะเดียวกันยังโรงแรมอีกหลายแห่ง
ที่ก่อนหน้านี้เป็นของกลุ่มทุนท้องถิ่นในภูเก็ต และทุนจากส่วนกลาง
แต่ขณะนี้กลุ่มทุนสิงคโปร์ได้เข้ามาเทกโอเวอร์ เช่น โรงแรมระดับ 5 ดาว
ที่ตั้งอยู่บริเวณทางขึ้นเขาป่าตองไปยังหาดกะรน โรงแรมที่หาดในหาน
โรงแรมที่หาดกะรน รวมทั้งการลงทุนด้านเรียลเอสเตท
ที่เป็นโครงการบ้านหรูในพื้นที่ภูเก็ต
ที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้สวยงาม,โครงการที่พัฒนาที่ดินที่ แหลมกา
ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต
ที่ทุนสิงคโปร์ได้เข้ามาซื้อที่ดินจากกลุ่มทุนท้องถิ่น
เพื่อสร้างรีสอร์ทและบ้านหรูริมทะเล ที่กำลังจะก่อสร้างในอนาคต
ไม่เว้นแม้แต่โครงการ พัฒนาอ่าวภูเก็ต ที่บริเวณปลายแหลมสะพานหิน
มูลค่ากว่า 60,000 ล้านบาท ที่ยังเป็นโครงการในฝัน
กลุ่มทุนสิงคโปร์ก็สนใจได้เสนอตัวผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตเข้ามาลงทุน
เช่นกัน รวมทั้งโครงการสปอร์ตคอมเพล็กซ์ ศูนย์กีฬา
ที่ได้มีการศึกษาออกแบบแล้วเสร็จ ที่บ้านไม้ขาวท่าฉัตรไชย ต.ไม้ขาว อ.ถลาง
จ.ภูเก็ต ที่มีทั้งศูนย์กีฬาและโรงแรมหรู
ทุนจากสิงคโปร์สนใจที่จะเข้ามาลงทุนเช่นกัน
temasek- ผู้มาเยือน
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวรายหนึ่งในภูเก็ต
ที่คว่ำหวอดเป็นเวลาหลายสิบปี เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า
กลุ่มทุนสิงคโปร์ที่เข้ามาลงทุนในภูเก็ตมีจำนวนมาก
ซึ่งส่วนใหญ่จะลงทุนในธุรกิจโรงแรม โดยการเข้ามาลงทุนใหม่
และเทกโอเวอร์โรงแรมที่ลงทุนโดยทุนท้องถิ่นและทุนส่วนกลาง สนามกอล์ฟ
เรียเอสเตท อุตสาหกรรมทางทะเลที่เป็นโรงงานแปรรูปอาหารทะเล เป็นต้น
“ทุนสิงคโปร์ที่เข้ามาลงทุนในภูเก็ตขณะนี้ไม่น่าจะต่ำกว่า 1 ใน 4
ของการลงทุนในภูเก็ตทั้งหมด ซึ่งมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท”
แหล่งข่าวกล่าวในที่สุด
เชื่อไม่กระทบทุนสิงคโปร์ในภูเก็ต
นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภูเก็ต เนเจอร์ โฮม
จำกัด และกรรมการชมรมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า
ทุนสิงคโปร์ที่เข้ามาลงทุนในภูเก็ตมีเป็นจำนวนมาก
ทั้งที่เป็นการลงทุนขนาดใหญ่และการลงทุนรายขนาดกลาง
โดยส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม รีสอร์ท
และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งความสัมพันธ์ที่มีปัญหาระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสิงคโปร์ที่กำลังเกิด
ขึ้นอยู่ในขณะนี้
คิดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของกลุ่มทุนจากสิงคโปร์และกลุ่มทุนจากชาติ
ต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
ด้านนายเอี่ยม ถาวรว่องวงศ์ ประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า
ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่น่าที่จะกระทบการลงทุนของนักลงทุนจากสิงคโปร์ที่จะเข้า
มาลงทุนในภูเก็ต เพราะเป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นแล้วทั้งนั้น
ส่วนการลงทุนใหม่ ยังไม่มีการเคลื่อนไหวที่หวือหวา
ที่เห็นอยู่ก็มีบ้างในการลงทุนเป็นนายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
ขณะที่นายกฤษฎา ตันสกุล ประธานชมรมโรงแรมหาดป่าตอง กล่าวว่า
ปัญหาที่เกิดขึ้น หากมาตราทางการทูตจบลงแค่นี้
ก็จะไม่มีผลกระทบต่อการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนสิงคโปร์ในภูเก็ต
แต่หากยังมีมาตรการอื่นๆของมาเรื่อยๆ
อาจจะมีผลกระทบต่อการลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างภูเก็ตกับสิงคโปร์ได้
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในโครงการต่างๆ
ของสิงคโปร์ในพื้นที่ภูเก็ตที่ได้มีการลงทุนไม่แล้วนั้น ไม่น่าจะมีปัญหา
ส่วนการลงทุนใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นอาจจะมีผลกระทบบ้างเล็กน้อย
ที่นักลงทุนอาจจะรอดูท่าทีของปัญหาที่เกิดขึ้น
ด้านนายภานุ มาศวงศา อุปนายกฝ่ายตลาดต่างประเทศ
สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า
มั่นใจว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนสิงคโปร์
ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และคงจะไม่กระทบด้านการท่องเที่ยวด้วย
เพราะที่ผ่านมานักลงทุนจากสิงคโปร์ เข้ามาลงทุนในภูเก็ตเป็นจำนวนมาก
ทั้งการลงทุนด้านการท่องเที่ยว สนามกอล์ฟ และเรียลเอสเตท เป็นต้น
ร.ท.ภูมิศักดิ์ หงษ์หยก ประธานชมรมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จังหวัดภูเก็ต
กล่าวว่า นักลงทุนจากสิงคโปร์ที่เข้ามาลงทุนในภูเก็ตมีเป็นจำนวนมาก
ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวกับโรงแรม รีสอร์ท ท่องเที่ยวและเรียลเอสเตท
ซึ่งปัญหาทางการทูตที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสิงคโปร์
ไม่น่าจะที่จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนสิงคโปร์ในภูเก็ต
ที่คว่ำหวอดเป็นเวลาหลายสิบปี เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า
กลุ่มทุนสิงคโปร์ที่เข้ามาลงทุนในภูเก็ตมีจำนวนมาก
ซึ่งส่วนใหญ่จะลงทุนในธุรกิจโรงแรม โดยการเข้ามาลงทุนใหม่
และเทกโอเวอร์โรงแรมที่ลงทุนโดยทุนท้องถิ่นและทุนส่วนกลาง สนามกอล์ฟ
เรียเอสเตท อุตสาหกรรมทางทะเลที่เป็นโรงงานแปรรูปอาหารทะเล เป็นต้น
“ทุนสิงคโปร์ที่เข้ามาลงทุนในภูเก็ตขณะนี้ไม่น่าจะต่ำกว่า 1 ใน 4
ของการลงทุนในภูเก็ตทั้งหมด ซึ่งมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท”
แหล่งข่าวกล่าวในที่สุด
เชื่อไม่กระทบทุนสิงคโปร์ในภูเก็ต
นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภูเก็ต เนเจอร์ โฮม
จำกัด และกรรมการชมรมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า
ทุนสิงคโปร์ที่เข้ามาลงทุนในภูเก็ตมีเป็นจำนวนมาก
ทั้งที่เป็นการลงทุนขนาดใหญ่และการลงทุนรายขนาดกลาง
โดยส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม รีสอร์ท
และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งความสัมพันธ์ที่มีปัญหาระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสิงคโปร์ที่กำลังเกิด
ขึ้นอยู่ในขณะนี้
คิดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของกลุ่มทุนจากสิงคโปร์และกลุ่มทุนจากชาติ
ต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
ด้านนายเอี่ยม ถาวรว่องวงศ์ ประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า
ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่น่าที่จะกระทบการลงทุนของนักลงทุนจากสิงคโปร์ที่จะเข้า
มาลงทุนในภูเก็ต เพราะเป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นแล้วทั้งนั้น
ส่วนการลงทุนใหม่ ยังไม่มีการเคลื่อนไหวที่หวือหวา
ที่เห็นอยู่ก็มีบ้างในการลงทุนเป็นนายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
ขณะที่นายกฤษฎา ตันสกุล ประธานชมรมโรงแรมหาดป่าตอง กล่าวว่า
ปัญหาที่เกิดขึ้น หากมาตราทางการทูตจบลงแค่นี้
ก็จะไม่มีผลกระทบต่อการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนสิงคโปร์ในภูเก็ต
แต่หากยังมีมาตรการอื่นๆของมาเรื่อยๆ
อาจจะมีผลกระทบต่อการลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างภูเก็ตกับสิงคโปร์ได้
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในโครงการต่างๆ
ของสิงคโปร์ในพื้นที่ภูเก็ตที่ได้มีการลงทุนไม่แล้วนั้น ไม่น่าจะมีปัญหา
ส่วนการลงทุนใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นอาจจะมีผลกระทบบ้างเล็กน้อย
ที่นักลงทุนอาจจะรอดูท่าทีของปัญหาที่เกิดขึ้น
ด้านนายภานุ มาศวงศา อุปนายกฝ่ายตลาดต่างประเทศ
สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า
มั่นใจว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนสิงคโปร์
ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และคงจะไม่กระทบด้านการท่องเที่ยวด้วย
เพราะที่ผ่านมานักลงทุนจากสิงคโปร์ เข้ามาลงทุนในภูเก็ตเป็นจำนวนมาก
ทั้งการลงทุนด้านการท่องเที่ยว สนามกอล์ฟ และเรียลเอสเตท เป็นต้น
ร.ท.ภูมิศักดิ์ หงษ์หยก ประธานชมรมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จังหวัดภูเก็ต
กล่าวว่า นักลงทุนจากสิงคโปร์ที่เข้ามาลงทุนในภูเก็ตมีเป็นจำนวนมาก
ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวกับโรงแรม รีสอร์ท ท่องเที่ยวและเรียลเอสเตท
ซึ่งปัญหาทางการทูตที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสิงคโปร์
ไม่น่าจะที่จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนสิงคโปร์ในภูเก็ต
temasek- ผู้มาเยือน
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
พรรคประชาธิปัตย์ (รองหัวหน้าพรรค อลงกรณ์ พลบุตร) ได้เชิญ รศ.ดร.สถาพร เขียววิมล
อดีต ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษา โครงการคลองไทย
(คอคอดกระ) วุฒิสภาบรร ยายเรื่องความเป็นไปได้ของ โครงการขุดคอคอดกระ
กับระบบโลจิสติกส์ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2550 ณ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์
กทม.
temasek- ผู้มาเยือน
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
Independence Day (United States)
In the
games, political speeches and ceremonies, and various other public and
private events celebrating the history, government, and traditions of
the United States.
temasek- ผู้มาเยือน
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
หมากเกมนี้ ฉันก็รู้ ว่าจะต้องลงเอยอย่างไร ไม่ต้องรอ ให้จบเกม ฉันก็พร้อม.....
ไม่ใช่ต่อเพลงนี้ไม่ได้ แต่ท่อนต่อไป ไม่ได้คิดไปตามเพลง แค่นั้น
ไม่ใช่ต่อเพลงนี้ไม่ได้ แต่ท่อนต่อไป ไม่ได้คิดไปตามเพลง แค่นั้น
sunny- จำนวนข้อความ : 3511
Registration date : 28/06/2008
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
ขอถามนิด ว่าเทมาเส็กเป็นนอมินี สนง.ทรัพย์ฯ จริงป่าว....
sin- ผู้มาเยือน
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
sin พิมพ์ว่า:ขอถามนิด ว่าเทมาเส็กเป็นนอมินี สนง.ทรัพย์ฯ จริงป่าว....
ทรัพย์สินส่วนพระองค์--->คริสต์
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์--->ชื่อก็บอกอยู่
ทรัพยากรธรณีวิทยา--->อันนี้หน่วยงานรัฐ
sunny- จำนวนข้อความ : 3511
Registration date : 28/06/2008
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
ในขณะที่ประเทศสิงคโปร์ได้รับผลประโยชน์ไปเต็มๆ กับการที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิได้ถูกปิดตัวลง
ในทางกลับกัน วาติกัน คงนั่งกุมขมับ เพราะไม่รู้ว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯ จะทำให้สนามบินนานาชาติของเมืองหลวงตน ต้องเสื่อมโทรม หมองหม่นมากขนาดไหน
ดูตัวอย่างได้จากสภาพของทำเนียบรัฐบาลที่ กลุ่มผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯ เพิ่งละทิ้งฐานที่มั่นที่ยึดครองมาร่วมเกือบ ๗ เดือน แล้วได้ทำการเคลื่อนย้ายพลเข้าสู่สุวรรณภูมิ คงไม่ต้องบ่งบอกสภาพว่า เลวร้ายขนาดไหน
แต่เชื่อว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯ คงได้ขบคิดถึงปัญหาข้อนี้กับกลุ่มผู้สนับสนุนเบื้องหลังจนได้ข้อยุติแล้ว จึงได้กระทำการดังกล่าว
ใช่ไหมจ๊ะ
ในทางกลับกัน วาติกัน คงนั่งกุมขมับ เพราะไม่รู้ว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯ จะทำให้สนามบินนานาชาติของเมืองหลวงตน ต้องเสื่อมโทรม หมองหม่นมากขนาดไหน
ดูตัวอย่างได้จากสภาพของทำเนียบรัฐบาลที่ กลุ่มผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯ เพิ่งละทิ้งฐานที่มั่นที่ยึดครองมาร่วมเกือบ ๗ เดือน แล้วได้ทำการเคลื่อนย้ายพลเข้าสู่สุวรรณภูมิ คงไม่ต้องบ่งบอกสภาพว่า เลวร้ายขนาดไหน
แต่เชื่อว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯ คงได้ขบคิดถึงปัญหาข้อนี้กับกลุ่มผู้สนับสนุนเบื้องหลังจนได้ข้อยุติแล้ว จึงได้กระทำการดังกล่าว
ใช่ไหมจ๊ะ
sunny- จำนวนข้อความ : 3511
Registration date : 28/06/2008
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
http://www.crownproperty.or.th/about/history.html สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จัด ตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479 และได้ยกฐานะขึ้นเป็นนิติบุคคล เมื่อปี 2491. โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้มีคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย ์ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ โดยตำแหน่งและกรรมการอื่นอีก ไม่น้อยกว่า 4 นาย ซึ่งพระมหากษัตริย์จะได้ทรงแต่งตั้ง และในจำนวนนี้ จะได้ทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หนึ่งคน ให้คณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มีอำนาจหน้าที่ดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจกรรมของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหา กษัตริย์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มีอำนาจหน้าที่ตามคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มอบหมาย เดิม สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ อยู่ในความดูแลรักษาของสำนักงานพระคลังข้างที่ ในสังกัดสำนักพระราชวัง ต่อมา มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการยกเว้นภาษีอากรเกี่ยวกับทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2477 เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2478 โดยบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ได้แบ่งแยกทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
หลังจากนั้น ในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2480 ได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479 เพื่อแบ่งแยก"ทรัพย์สินส่วนพระองค์" "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" และ "ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน" ออกจากกัน โดยเฉพาะ "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงการคลัง และได้จัดตั้งสำนักงานขึ้นโดยให้ชื่อว่า "สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" โดยให้มีฐานะเทียบเท่ากอง สังกัดกรมคลัง (ปัจจุบันคือ กรมธนารักษ์) กระทรวงการคลัง และรับโอนหน้าที่การงานตลอดจนข้าราชการบางส่วนมาจากสำนักงานพระคลังข้างที่ รวมทั้งได้ขอใช้สถานที่ส่วนหนึ่งของสำนักงานพระคลังข้างที่ ในพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ทำการสำนักงานด้วย ต่อมามีการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฯ อีก 2 ครั้ง เพื่อให้เกิดความเหมาะสม โดยประกาศใช้ พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2484 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2484 และ พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2491 เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 โดยยกฐานะสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ขึ้นเป็นนิติบุคคล มีหน้าที่ดูแลรักษาและจัดประโยชน์อันเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า "คณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการอื่นอีกไม่น้อยกว่า 4 นาย ซึ่งพระมหากษัตริย์จะได้ทรงแต่งตั้ง และในจำนวนนี้จะได้ทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระ มหากษัตริย์ 1 ท่าน ให้คณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มีอำนาจหน้าที่ดูแลโดยทั่วไป ซึ่งกิจการของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และให้ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีอำนาจหน้าที่ตามที่ คณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มอบหมาย รวมถึงมีอำนาจลงนามเป็นสำคัญผูกพันสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้ย้ายที่ทำการ 4 ครั้ง โดยครั้งล่าสุด ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2489 ย้ายมาอยู่ที่ "วังลดาวัลย์" หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่า "วังแดง" จนกระทั่งปัจจุบัน และให้ถือเอาวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันสถาปนาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ http://www.crownproperty.or.th/about/organize.html คณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการ ฯพณฯ นายเชาวน์ ณศีลวันต์ องคมนตรี กรรมการ นายสุธี สิงห์เสน่ห์ กรรมการ นายพนัส สิมะเสถียร กรรมการ นายเสนาะ อูนากูล กรรมการ นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา กรรมการ และ ผู้อำนวยการฯ |
แก้ไขล่าสุดโดย att เมื่อ Tue Dec 02, 2008 9:37 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
att- จำนวนข้อความ : 1075
Registration date : 08/10/2008
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
http://www.yipintsoi.com/~aara/artspace_october.html ประวัติการก่อตั้ง โครงการจัดสร้างอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 16 เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2518 โดยเป็นการรวบรวมเงินบริจาคจากประชาชน จำนวนประมาณ 4,000,000 บาท แต่ในปีพ.ศ.2519 ได้เกิด เหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ขึ้น รัฐบาลได้ยึดเงินจำนวนดังกล่าวไป ทำให้โครงการจัดสร้างถูกระงับต่อมาในปีพ.ศ.2532 สมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ประชาชนและองค์กรพัฒนาประชาธิปไตย ได้เรียกร้องให้รื้อฟื้นโครงการขึ้นอีกครั้ง เป็นผลให้รัฐบาลคืน เงินจำนวน 4,000,000 บาทดังกล่าว เพื่อการจัดสร้างอีกครั้งและเพื่อเป็นการจัดรูปแบบการบริหารงานให้มีความชัดเจน ยิ่งขึ้น ในปีพ.ศ.2534จึงได้มีการจัดตั้งมูลนิธิ 14 ตุลาขึ้น เพื่อเป็นองค์กรในการบริหารอนุสรณ์สถาน จากแต่เดิมที่อยู่ในนาม คณะกรรมการจัดสร้างอนุสรณ์สถานฯอย่างไรก็ตาม เมื่อการจัดสร้างได้เริ่มดำเนินการขึ้น กลับพบปัญหาดังนี้ 1.งบประมาณ จำนวน 4,000,000 บาท ไม่เพียงพอที่จะ ใช้ในการจัดสร้าง 2. พื้นที่ที่จะทำการจัดสร้างเป็นที่ดินของทรัพย์สินส่วน พระองค์ ทางมูลนิธิฯ เริ่มเจรจากับสำนักงานทรัพย์สินส่วน พระองค์ แต่ทางสำนักงานฯ ได้อนุญาตให้บริษัท สนามมวย เวทีราชดำเนิน จำกัด ทำการเช่าแล้ว และทางบริษัทฯ ก็ได้ให้ ร้านค้าสลากจำนวนกว่า 100 รายได้เช่าต่อ ต่อมาในปีพ.ศ.2541 ครบวาระ 25 ปี 14 ตุลา คุณ ธีรยุทธ บุญมี (แกนนำ 14 ตุลา) ขึ้นเป็นประธานการจัดงาน และได้ปรึกษากับอดีตนายกรัฐมนตรีอานันท์ ปัญยารชุน เพื่อ ขอจัดสร้างในที่ดินดังกล่าว กับคุณจิรายุ อิศรางกูล ณ อยุธยา (ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระองค์) ทำให้ทาง สำนักงานฯ อนุญาตให้มูลนิธิเช่าที่ดินดังกล่าวเพื่อจัดสร้าง อนุสรณ์สถานได้ และจากการอนุมัติงบประมาณจำนวน 6,000,000 บาท จากกรุงเทพมหานคร (ในสมัยคุณพิจิตต รัตตกุล เป็นผู้ว่าการ) และการบริจาคสิ่งของจากบริษัทเอกชน ต่างๆ ทำให้อนุสรณ์สถานแล้วเสร็จในปีพ.ศ.2544 และสมโภชสถูปในปีพ.ศ.2544 เมื่ออนุสรณ์สถานเปิดให้บริการโดยมีคุณวัฒนชัย วินิจจะกูล เป็นผู้จัดการอนุสรณ์ฯ คุณวัฒนชัยมีแนวความคิด เพิ่มเติมจากนโยบายของมูลนิธิ โดยเปิดให้ประชาชนและ ผู้สนใจใช้พื้นที่ในการประกอบกิจกรรมเพื่อการศึกษาและ วัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับเยาวชนและคนรุ่นใหม่ ทำให้เกิด กิจกรรมต่างๆ รวมถึงกิจกรรมการจัดนิทรรศการศิลปะใน ปัจจุบัน http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=52537 ปลิดชีพ "กุหลาบแก้ว" ฟัน 3 ร่างทรงต่างด้าว http://www.mthai.com/webboard/5/72001.html ความคิดเห็นที่ 54 " ปัจจุบันนี้ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ใน มาตรา 7, มาตรา 10 เนื้อหาว่าด้วย การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช, การปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช หากพิจารณาโดยเคร่งครัดแล้วล่อแหลมต่อสถานะ ขัด, แย้ง กับ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ใน มาตรา 12 และไม่เป็นไปตาม ประเพณีการปกครองคณะสงฆ์ ที่ให้ยึดถือ อาวุโสทางพรรษา ไม่ใช่ อาวุโสทางสมณศักดิ์ เป็นการแก้ไข พลิกหลักการเดิม ตั้งแต่เมื่อ วันที่ 10 มกราคม 2535 ในสมัยรัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน (ที่มีหนึ่งในรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลชื่อ อาสา สารสิน ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ราชเลขาธิการ ที่เป็นคนวัฒนธรรมเดียวกับ บัณฑูร ล่ำซำ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องพอสมควรในส่วนของ มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัย) แต่ก็ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่จะเข้าด้วย 2 มาตราที่พลิกหลักการเดิม เพราะยังไม่เคยมีกรณี สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช อีกเลย หลังปี 2535 มาเริ่มเห็นปัญหาชัดก็ในกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 14 มกราคม 2547 นี้แหละที่เกิดมี การแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช (ตาม มาตรา 10) และมีแนวโน้มในอนาคตว่าจะต้องมี การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช (ตาม มาตรา 7) " เพิ่งทราบว่ากฎหมายถูกแก้สมัย อานันท์ ปันยารชุน(คริสเตียน) เป็นกรรมของพุทธศาสนาจริงๆ |
www.gotomanager.com/news/printnews.aspx%3Fid%3D5436+%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B9%8C+,%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C&hl=th&ct=clnk&cd=3&gl=th&client=firefox-a" target="_blank" rel="nofollow">
att- จำนวนข้อความ : 1075
Registration date : 08/10/2008
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=2932&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai
เส้นทางการเมืองของทักษิณ ชินวัตรจากนิตยสาร ‘อาทิตย์’ ฉบับที่ 919 วันที่ 20 -26 มกราคม 2538
http://www.thaihotweb.com/webboard/show.php?Category=&No=5478
เปิดตัว 5 บริษัทฝรั่งที่เข้ามาโจมตีค่าเงินบาทเมื่อปี 40 ใครเป็นใคร
ลองอ่านดู
วันที่ 2 กรกฎาคม 2550 ก็ครบ 10 ปี
วิกฤติเศรษฐกิจพอดี ปีที่ชาติล่มสลายทางเศรษฐกิจ
ทำให้ต้องหวนคิดถึงบริษัทฝรั่งที่เข้ามาถล่มค่าเงินบาทในไทยและเข้ามาเกี่ยว
พันโยงใยในปรส. เลยอยากเตือนความจำและจำกันให้ดี
โดยเฉพาะคนที่อยากจะเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศอีกครั้ง
1.โกลแมนแซค( ว่ากันว่าบริษัทของพ่อบุณธรรมนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ สมัยเรียนอยู่เมืองนอก
ต่อมาเป็นผู้ชนะประมูลสินเชื่อธุรกิจ 1ของการประมูลสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใน
ปรส.)
2.จี.อี.แคปปิตอล(เป็นผู้ชนะประมูลสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มูลค่ากว่า
10,000 ล้านบาท บริษัทนี้มีนายอานันท์นั่งเป็นประธานที่ปรึกษาให้กับบริษัทเอเชีย-แปซิฟิค
ของบริษัทแม่ จี.อี. )
3.มอแกนสแตนเลย์
4.เลย์แมน(ที่ปรึกษาวาณิชธนกิจ ของ ปรส.โดยมีนายอมเรศ เป็นประธานปรส.
นายอมเรสคือ 1 ในแก๊งนายอานันท์และก็เป็นเพื่อนนักเรียนอังกฤษกันคนนึงใน ดีเอสไอ
ทำให้คดี ปรส.ไม่คืบมาจนวันนี้)
5.เจ พี มอร์แกน (นายกรณ์ จาติกวณิช เคยนั่งเป็นบอสใหญ่แล้วออกมาเล่นการเมืองสังกัดพรรคประชาธิปัตย์
วันนี้ปากออกมาพูดเรื่องนโยบายเศรษฐกิจของพรรคที่จะใช้หาเสียงในอนาคตว่าจะ
บริหารบ้านเมืองอย่างไร)
http://www.drpunya.com/boardphp/show.php3?which=1557
อยากให้พวกเราช่วยกันอ่านบทความใน biznews
ของกรุงเทพธุรกิจหน่อยครับแล้ววิจารย์ด้วยครับ
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=mscc2&topic=1076&page=56
นอกจากนั้น
บริษัทโกลด์ มานแซค และ เลแมน
บราเดอร์ ที่เข้ามาซื้อสินทรัพย์ของ
ปรส.ที่กลุ่มบุค
คลส่วนหนึ่งได้ประเคนให้ ไปทำให้ประเทศชาติต้อง
ขาดทุนไปจำนวนมากเมื่อครั้งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจนั้น
ก็เป็นบริษัทในเครือของ
จอร์จ โซรอส เช่นเดียวกัน
อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น
หุ้นตัวล่าสุดที่ท่านเจ้าสัวเพิ่งตักเข้าพอร์ต คือ หุ้น DTC
เหตุเพราะโกลด์แมน แซคส์ ขายหุ้นโรงแรมดุสิตธานี คืนให้ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย
จำนวน 26.7 ล้านหุ้น ที่ราคา 38 บาท
http://nonlaw.com/powdo3.html
ท่านเจ้าสัวชาตรีจึงขอแบ่งเอาไว้ 4.25 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 5%
รวมกับของเดิมทำให้มีหุ้นรวม 4.32 ล้านหุ้น หรือ 5.09% มูลค่าปัจจุบันก็ประมาณ 180
ล้านบาท
att- จำนวนข้อความ : 1075
Registration date : 08/10/2008
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
http://gotoknow.org/blog/model2/166283
หมู่บ้านช้าง (๑๑)
ลูกชาย : พ่อเคยบอกว่ากฎหมายไม่ใช่ความยุติธรรมแต่เป็นเพียงเครื่องมือที่นำไปสู่ความ
ยุติธรรมเท่านั้นพ่อกำลังบอกว่าแนวความคิดตะวันตกมองสาระสำคัญของธรรมาภิบาลหลัก ๆ
ตรงที่ท้ายที่สุดต้องถูกต้องตามกฎหมายและกฎหมายจะนำไปสู่ความชอบธรรม
คุณธรรมและจริยธรรมเองใช่ไหมครับ
พ่อจน : ใช่แล้วลูก เป้าหมายสูงสุดคือต้องชอบด้วยกฎหมาย
กรณีของบริษัทเอนรอนนั้นชัดเจนมากเพราะขั้นตอนในการบริหารจัดการอยู่ภายใต้
กฎระเบียบของตลาดหุ้นภายใต้การกำกับดูแลของ กลต.
และถูกต้องตามกฎหมายของหมู่บ้านอินทรีย์ทั้งหมดแต่สุดท้ายก็ล้มละลายเพราะ
ว่าผู้บริหารขาดคุณธรรมและจริยธรรม คิดเอาแต่ได้เป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ผลประโยชน์ของพวกพ้องเป็นสำคัญโดยไม่สนใจ
ว่าวิธีการว่าจะได้มาอย่างไร จะเห็นได้ว่าอย่างที่ พ่อเคยบอกพฤติกรรมของมนุษย์เมื่อไปมีกิจกรรมกับส่วนใด ๆ
ของเศรษฐกิจแล้วควบคุมได้ยากแม้กระทั่งกฎหมายก็ไม่สามารถที่จะครอบคลุม
พฤติกรรมของมนุษย์ได้ทั้งหมด
ลูกชาย : อย่างที่เรียกว่าเป็นช่องว่างของกฎหมาย
พ่อจน : กฎกติกา ทุกอย่างมีช่องว่างหมด สิ่งที่จะอุดช่องว่างนั้นได้คือศีลธรรม
คุณธรรมและจริยธรรม ดังนั้น ธรรมาภิบาลของหมู่บ้านเราที่ควรยึดเป็นหลักก็คือ ต้องมีศีลธรรม คุณธรรม
และจริยธรรม เป็นแก่นหัวใจหลักหรือเป็นเป้าหมายหลักเลย
เพราะถ้ายึดหลักถูกต้องตามกฎหมายเป็นหลักอย่างเดียวแล้วก็ไม่อาจบรรลุถึง
หัวใจสำคัญของหลักธรร-มาภิบาลได้ เนื่องจากกฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือในการนำไปสู่ความยุติธรรมเท่านั้น
บางครั้งเครื่องมือไม่ทำงานหรือทำงานไม่มีประสิทธิภาพก็สามารถเปลี่ยนแปลง
ปรับ หรือแก้ไขได้ หรือว่าสังคมต้องการให้ไปแก้ตรงหลักศีลธรรม คุณธรรม
และจริยธรรมให้ถูกต้องตามหลักกฎหมายอย่างนั้นหรือ?
ลูกชาย : แต่อาจจะมีคนแย้งว่าถ้ายึดตามหลักแบบนั้นเป็นหลักมันไม่ชัดเจนเหมือนตัวบทกฎหมาย
เพราะถ้าเป็นตัวกฎหมายสามารถบอกได้เลยว่าถูกหรือผิด
พ่อจน : ก่อนอื่นต้องให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า ถ้าทำถูกต้องตามหลักศีลธรรม คุณธรรม
และจริยธรรมแล้วสิ่งนั้นย่อมชอบด้วยกฎหมาย แต่ถ้าทำถูกต้องตามกฎหมายแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะชอบด้วยศีลธรรม
คุณธรรมและจริยธรรม ถ้าสังคมเข้าใจกันตามนี้แล้ว สังคมต้องดำเนินไปตามกฎหมายโดยมีศีลธรรมนำหน้า ดัง
ที่ลูกเห็นนับตั้งแต่การเกิดวิกฤตเศรษฐกิจของหมู่บ้านเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๐ เป็นต้นมาจะมีหลาย ๆ ฝ่าย
ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชนออกมาพูดถึงหลักธรรมาภิบาลกันมากอย่างในหมู่บ้านช้างของเรา กรณีที่น่าศึกษาอย่างยิ่งคือ
กรณีของการดำเนินการขายทรัพย์สินขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.)
ลูกชาย : ที่ครั้งนั้นมีการเรียกกันว่าเป็น “ขบวนการปล้นหมู่บ้าน” ครั้งมโหฬารในประวัติศาสตร์
เออพ่อช่วยเล่าที่มาที่ไปให้ฟังอีกครั้งได้ไหมครับ
พ่อจน : ได้ซิลูกนี่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกรณีที่คลาสสิกที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่งของกลุ่มคนที่
เรียกตัวเองว่ามีธรรมาภิบาล (ตามกระแสตะวันตก) ของหมู่บ้านช้างของเรา
ลูกชาย : วัตถุประสงค์ของการตั้งองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) จริง ๆ แล้วเพื่ออะไรครับ
พ่อจน : องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.)
ถูกจัดตั้งขึ้นภายหลังจากมีการทยอยสั่งหยุดกิจการของ ๕๘ สถาบันการเงินเป็นการชั่วคราว
(รัฐบาลพลเอกชวลิต) โดยเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ มีการออกพระราชกำหนดการปฏิรูป
ระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๔๐ (ปรส.) ขึ้น
โดยในขณะนั้นให้หน่วยงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ตามมาตราที่ ๗
เพื่อดำเนินการกับบริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ถูกระงับการ
ดำเนินการตามคำสั่งขอรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง (นายทนง ) โดยมีรายละเอียดคือ
๑. แก้ไขฟื้นฟูฐานะของบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ
๒. ช่วยเหลือผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้สุจริตของบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินการ
๓. ชำระบัญชีบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินกิจการในกรณีที่บริษัทดังกล่าวไม่อาจดำเนินกิจการต่อไปได้
แต่ยังไม่ทันดำเนินการแยกหนี้ดีหนี้เสียได้แล้วเสร็จก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองซะก่อน
โดยพลเอกชวลิต ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๐
เนื่องจากทนต่อกระแสกดดันไม่ไหว โดยนายชวน ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อมา
ลูกชาย : ที่ช่วงนั้นมีเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองเกิดขึ้นหลายเหตุการณ์รวมถึงเกิด
กลุ่มงูเห่า ที่เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่สำคัญในช่วงนั้นด้วย
att- จำนวนข้อความ : 1075
Registration date : 08/10/2008
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
พ่อจน: บางครั้งในช่วงที่เกิดปัญหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมาในหมู่บ้านเพื่อที่จะแก้
ปัญหานั้นให้คลี่คลายทำให้คนส่วนใหญ่ของหมู่บ้านมองข้ามความชอบธรรมบางอย่าง
ไป ก็เหมือนกับ กรณีกลุ่มงูเห่า ที่ลูกพูดถึงในตอนนั้นขุนพลทางเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งนำโดยนายธารินทร์ และนายศุภชัย เป็นบุคคลที่กระแสสังคมเรียกร้องเป็นอย่างมาก
เปรียบเสมือนสินค้าจำเป็นและมีคุณภาพของหมู่บ้านช้างของเราในขณะนั้นที่ได้
รับการประกันคุณภาพจากยี่ห้อประชาธิปัตย์รวมถึงความโดเด่นของตัวสินค้าทั้ง
สองเองด้วย ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องลงทุนในการทำการตลาดมากนักก็ประสบผลสำเร็จ
อย่างถล่มทลาย เนื่องจากกระสังคมในตอนนั้นมองว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพรรคความหวังใหม่โดย
มีพลเอกชวลิต เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลที่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
(วิกฤตการเงิน) ทำให้หมู่บ้านช้างของเราต้องลอยตัวค่าเงินบาท
มีผลให้ต้องเดินเข้าสู่อ้อมกอดของกองทุนการเงินระหว่างหมู่บ้าน (Moobaan Monetary Fund--MMF)
ซึ่งถือได้ว่าเป็นโปรแกรมหฤโหด กอร์ปกับมีกระแสกดดันและต่อต้านพลเอกชวลิต
ยงใจยุทธ จากชนชั้นกลางและนักธุรกิจย่านสีลม
จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
โดยกระแสสังคมได้มอบความไว้วางใจให้กับขุนพลทางเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์
ในการกอบกู้เศรษฐกิจที่ดิ่งเหวเพื่อให้กลับขึ้นสู่ปากเหวอีกครั้ง
โดยในตอนนั้นทุกคนถือว่าเรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วนสุด
โดยกระแสสังคมมองข้ามในเรื่องของความชอบธรรมทางการเมืองว่าวิธีการที่ได้มา
ของพรรคประชาธิปัตย์ว่ามีความถูกต้องชอบธรรมเพียงใด
แต่คำตอบมุ่งตรงไปที่ขุนพลที่จะมากอบกู้เศรษฐกิจมากกว่า
จึงเสมือนถือว่าเป็นความชอบธรรมที่ได้แรงหนุนจากกระแสสังคมเป็นองค์ประกอบ
สำคัญ แต่แล้วภายใต้การบริหารของนายกชวน หลีกภัย ซึ่งนำโดยสองขุนพล (หนึ่งมีอำนาจโดยนายธารินทร์
เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและอีกหนึ่งตรายางโดยนายศุภชัย เป็นรองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) ทางเศรษฐกิจกลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
โดยมีเรื่องความโปร่งใสของ ปรส. เป็นคำถามที่ยังคาใจของคนหลาย ๆ คน
ลูกชาย : เหมือน
ที่พ่อเคยบอกไว้การช่วงชิงอำนาจทำให้ความไม่ชอบธรรมกลายเป็นความชอบธรรมได้
หรือความชอบธรรมอาจกลายเป็นความไม่ชอบธรรมได้ เลยนะครับ
แล้วหลังจากที่นายธารินทร์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
การดำเนินการของ ปรส. เป็นอย่างไรครับพ่อ
พ่อจน: หลัง
จากที่รัฐบาลนายกชวน ได้เข้ามาบริหารหมู่บ้านเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.
๒๕๔๐ โดยมีนายธารินทร์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ปรากฎว่าได้สั่งปิดสถาบันการเงินเป็นการถาวร ๕๖ แห่ง
และให้ดำเนินการได้เพียง ๒ แห่ง และได้มีการดำเนินการโอนทรัพย์สินในสถาบันการเงินทั้ง ๕๖ แห่ง
ไปให้กับองค์การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) เพื่อดำเนินการขายทรัพย์สินเหล่านั้น
โดยที่สินทรัพย์ทั้งหมดมีมูลค่าทางบัญชีประมาณ ๖๗๗,๖๔๕.๑๕ ล้านบาท
แต่ขายได้เพียง ๑๘๕,๒๖๓.๖๗ ล้านบาทเท่านั้น
เบ็ดเสร็จแล้วเป็นการขาดทุนมโหราฬถึง ๔๙๒,๓๘๑.๔๘ ล้านบาท
ลูกชาย : โอ้โหขาดทุน เกือบ ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ถือว่าเป็นการขาดทุนที่มากมายจริง ๆ
แล้วสาเหตุหลัก ๆ ของการขาดทุนครั้งนั้นเนื่องมาจากอะไรครับ
ปัญหานั้นให้คลี่คลายทำให้คนส่วนใหญ่ของหมู่บ้านมองข้ามความชอบธรรมบางอย่าง
ไป ก็เหมือนกับ กรณีกลุ่มงูเห่า ที่ลูกพูดถึงในตอนนั้นขุนพลทางเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งนำโดยนายธารินทร์ และนายศุภชัย เป็นบุคคลที่กระแสสังคมเรียกร้องเป็นอย่างมาก
เปรียบเสมือนสินค้าจำเป็นและมีคุณภาพของหมู่บ้านช้างของเราในขณะนั้นที่ได้
รับการประกันคุณภาพจากยี่ห้อประชาธิปัตย์รวมถึงความโดเด่นของตัวสินค้าทั้ง
สองเองด้วย ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องลงทุนในการทำการตลาดมากนักก็ประสบผลสำเร็จ
อย่างถล่มทลาย เนื่องจากกระสังคมในตอนนั้นมองว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพรรคความหวังใหม่โดย
มีพลเอกชวลิต เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลที่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
(วิกฤตการเงิน) ทำให้หมู่บ้านช้างของเราต้องลอยตัวค่าเงินบาท
มีผลให้ต้องเดินเข้าสู่อ้อมกอดของกองทุนการเงินระหว่างหมู่บ้าน (Moobaan Monetary Fund--MMF)
ซึ่งถือได้ว่าเป็นโปรแกรมหฤโหด กอร์ปกับมีกระแสกดดันและต่อต้านพลเอกชวลิต
ยงใจยุทธ จากชนชั้นกลางและนักธุรกิจย่านสีลม
จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
โดยกระแสสังคมได้มอบความไว้วางใจให้กับขุนพลทางเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์
ในการกอบกู้เศรษฐกิจที่ดิ่งเหวเพื่อให้กลับขึ้นสู่ปากเหวอีกครั้ง
โดยในตอนนั้นทุกคนถือว่าเรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วนสุด
โดยกระแสสังคมมองข้ามในเรื่องของความชอบธรรมทางการเมืองว่าวิธีการที่ได้มา
ของพรรคประชาธิปัตย์ว่ามีความถูกต้องชอบธรรมเพียงใด
แต่คำตอบมุ่งตรงไปที่ขุนพลที่จะมากอบกู้เศรษฐกิจมากกว่า
จึงเสมือนถือว่าเป็นความชอบธรรมที่ได้แรงหนุนจากกระแสสังคมเป็นองค์ประกอบ
สำคัญ แต่แล้วภายใต้การบริหารของนายกชวน หลีกภัย ซึ่งนำโดยสองขุนพล (หนึ่งมีอำนาจโดยนายธารินทร์
เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและอีกหนึ่งตรายางโดยนายศุภชัย เป็นรองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) ทางเศรษฐกิจกลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
โดยมีเรื่องความโปร่งใสของ ปรส. เป็นคำถามที่ยังคาใจของคนหลาย ๆ คน
ลูกชาย : เหมือน
ที่พ่อเคยบอกไว้การช่วงชิงอำนาจทำให้ความไม่ชอบธรรมกลายเป็นความชอบธรรมได้
หรือความชอบธรรมอาจกลายเป็นความไม่ชอบธรรมได้ เลยนะครับ
แล้วหลังจากที่นายธารินทร์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
การดำเนินการของ ปรส. เป็นอย่างไรครับพ่อ
พ่อจน: หลัง
จากที่รัฐบาลนายกชวน ได้เข้ามาบริหารหมู่บ้านเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.
๒๕๔๐ โดยมีนายธารินทร์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ปรากฎว่าได้สั่งปิดสถาบันการเงินเป็นการถาวร ๕๖ แห่ง
และให้ดำเนินการได้เพียง ๒ แห่ง และได้มีการดำเนินการโอนทรัพย์สินในสถาบันการเงินทั้ง ๕๖ แห่ง
ไปให้กับองค์การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) เพื่อดำเนินการขายทรัพย์สินเหล่านั้น
โดยที่สินทรัพย์ทั้งหมดมีมูลค่าทางบัญชีประมาณ ๖๗๗,๖๔๕.๑๕ ล้านบาท
แต่ขายได้เพียง ๑๘๕,๒๖๓.๖๗ ล้านบาทเท่านั้น
เบ็ดเสร็จแล้วเป็นการขาดทุนมโหราฬถึง ๔๙๒,๓๘๑.๔๘ ล้านบาท
ลูกชาย : โอ้โหขาดทุน เกือบ ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ถือว่าเป็นการขาดทุนที่มากมายจริง ๆ
แล้วสาเหตุหลัก ๆ ของการขาดทุนครั้งนั้นเนื่องมาจากอะไรครับ
att- จำนวนข้อความ : 1075
Registration date : 08/10/2008
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
พ่อจน: ถือได้ว่าเป็นการขาดทุนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านช้างของเราเลยก็ว่าได้
ถ้าจะพูดถึงสาเหตุหลัก ๆ แล้ว
ประการแรก การปิดสถาบันการเงิน ๕๖ แห่ง และที่สำคัญไม่รู้จักแยกทรัพย์สินที่ดี (Good Assets)
ออกมาจากสินทรัพย์ที่ไม่ดี (Bad Assets)ทันที เพื่อที่จะรักษามูลค่าของตัวสินทรัพย์ไว้กับ
จับสินทรัพย์ทั้งสองใส่ในกระสอบเดียวกัน (เหมือนกับเวลาไปซื้อสินค้ากระสอบแถวชายแดนมาขาย
ที่มีการใส่ทั้งสินค้าดีและ ไม่ดีรวมกันแล้วแต่ว่าใครจะโชคดี) คละเคล้าเข้าด้วยกันทำให้สินทรัพย์ที่ดีค่อย ๆ เน่าลงไปด้วย
ทั้งที่จริงแล้วเวลาที่จะปิดสถาบันการเงินไหน ต้องรีบแยกสินทรัพย์ดีออกมาก่อนทันที
หรือที่พวกตะวันตกเรียกว่า P&A (Purchase And Assumption Method)
เพราะของดีจะต้องรีบแก้ไขก่อนถ้าหากปล่อยไว้นานจะกลายเป็นของเสียได้
และที่สำคัญพวกกองทุนการเงินระหว่างหมู่บ้าน (IMF) โดยนายลินด์เกรนและนายโจเซฟสัน
ที่เขียนยุทธศาสตร์และเสนอยุทธวิธีในการแก้ไขปัญหา
เมื่อเห็นว่าแผนยุทธศาสตร์และวิธีการล้มเหลวแทนที่จะเปลี่ยนวิธีการ
กลับปล่อยเลยตามเลย และยังเสนอแนะให้จ้างที่ปรึกษาของ ธนาคารนานาหมู่บ้าน
ที่เป็นพรรคพวกของนายลินด์เกรนและนายโจเซฟสันให้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาและรับเงินไปอีกจำนวนมากมาย
ประการที่สอง การร่างพระราชกำหนดตั้ง ปรส. นั้น ทำโดยไม่รอบคอบเนื่องจากร่างกฎหมายให้ ปรส.
มีหน้าที่ขายสินทรัพย์อย่างเดียวโดยไม่ให้ประนอมหนี้และยังกำหนดว่าต้องขายให้หมดภายในปี พ.ศ. ๒๕๔๑
(ซึ่งเกิดขึ้นตอนที่นายทนง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่ภายหลังที่นายธารินทร์
มารับไม้ต่อก็ไม่ได้มีการแก้ไขกลับปล่อยเลยตายเลย) จนมองได้ว่าการเกิดของ ปรส.แฝงไปด้วยวาระซ่อนเร้น
และเป็นแหล่งกอบโกยผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจจากการที่กระทรวงการคลังแต่งตั้งให้นายมานิตย์
(อดีตเป็นอธิบดีกรมธนารักษ์) เป็นผู้ร่างกฎหมายนี้ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหมู่บ้านช้าง
เพราะคนพวกนี้เป็นผู้ชำนาญการกฎหมายศุลกากร ไม่รู้เรื่องสถาบันการเงิน
แม้กระทั่งติดต่อขอตัวอย่างกฎหมายที่ MMF ใช้กับหมู่บ้านสวีเดนและหมู่บ้านจังโก้
ก็ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจาก MMF ด้วยก็เลยเขียนให้เป็นหน่วยงานให้ขายสินทรัพย์
และชำระหนี้ให้กับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน โดยไม่ต้องให้มีอำนาจในการประนอมหนี้
เพราะคนร่างกฎหมายไม่เข้าใจขบวนการขั้นตอนและเป็นเรื่องยุ่งยาก
เลยกลายเป็นว่า ปรส.เป็นนายหน้าขายสินทรัพย์เพียงเท่านั้น
ประการที่สาม การ แต่งตั้งบุคคลที่มาดำรงตำแหน่งใน ปรส. เป็นการแต่งตั้งบุคคลที่ใกล้ชิด
กับกลุ่มของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายธารินทร์ ) ที่สำคัญบุคคลเหล่านั้นยังขาดประสบการณ์
ไม่ว่าจะเป็น นายธวัชชัย โดยพื้นฐานแล้วป็นอาจารย์มาก่อน นายบุญรักษ์ เป็นข้าราชการมาก่อน
ถึงแม้ว่าจะเคยอยู่ธนาคารกรุงเทพและธนาคารออมสินมาก่อน แต่ทั้งสองท่านยังขาดประสบการณ์
ก็เลยต้องพึ่งข้อมูลและการเสนอแนะของธนาคารแห่งหมู่บ้านช้างเป็นหลัก
เป็นผลให้ก่อเกิดความผิดพลาดในการไม่แยกสินทรัพย์ดีออกจากสินทรัพย์ไม่ดี
ก่อนในทันที นายวิชรัตน์ ไม่เคยอยู่ในแวดวงภาคการเงินที่ใหญ่มาก่อน มิหนำซ้ำตอนที่ทำงานอยู่กับ NOMURA
เขาต้องถูกผู้บริหารระดับสูงของบริษัทขอร้องให้ออกเพราะว่าทำงานไม่เป็น นายอมเรศ บุคคล
ที่ชอบมองว่าคนอื่นในหมู่บ้านช้างโง่กว่าตนเสมอบูชาแนวความคิดตะวันตกเป็นที่ตั้งมีคาถาประจำตัว
คือ โปร่งใสและมีธรรมาภิบาล (แบบตะวันตก) รวมถึงนายมนตรี เจนวิทย์การด้วย
ซึ่งบุคคลเหล่านี้เข้ามาได้เนื่องจากมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายธารินทร์ )
และผู้ว่าการธนาคารแห่งหมู่บ้านช้าง (ม.ร.ว.จัตุมงคล ) ในขณะนั้น
ประการที่สี่ หลักเกณฑ์ในการประมูลขายสินทรัพย์ของ ปรส. ถูกมองว่าไม่โปร่งใสโดยที่
(๑.) ไม่ให้ลูกหนี้เข้าประมูล
(๒.) จัดสินทรัพย์เป็นกองใหญ่ทำให้ผู้ที่จะสามารถเข้าไปประมูลมีน้อยรายโดยเฉพาะคนในหมู่บ้านช้าง
เปรียบเสมือนเป็นการเปิดโอกาสให้กับต่างหมู่บ้านโดยเฉพาะตะวันตก
(๓.) จัดข้อมูลลูกหนี้โดยผู้เชี่ยวชาญจากต่างหมู่บ้าน ทำให้มูลค่าของหลักประกัน
และการประเมินความสามารถในการชนะต่ำกว่าที่ควรจะเป็น กอร์ปกับเอกสารข้อมูลของสินทรัพย์
และข้อมูลลูกหนี้ไม่สมบูรณ์ทำให้ราคาสินทรัพย์ที่ดีเสียไปด้วย ส่วนด้านลูกหนี้ไม่มีการแยกหนี้ดีหนี้เสีย
(๔.) ในการประมูลสินทรัพย์ตอนต้น ๆ ปรส.ไม่อนุญาตให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.)
เข้าร่วมประมูลทำให้เกิดการแข่งขันน้อยกว่าที่ควร
(๕.) ในการประมูลสินทรัพย์ในตอนต้น ๆ ปรส. ได้มีนโยบายห้ามลูกหนี้ไปตกลงประนอมหนี้กับผู้ประมูล
ณ ราคาที่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของยอดเงินคงค้างภายใน 6 เดือน และที่สำคัญคือ ปรส. ไปจ้างที่ปรึกษา
ชาวต่างหมู่บ้านในราคาที่สูง และยังปล่อยให้บริษัทที่มีความเกี่ยวพันกับบริษัทที่ปรึกษาเหล่านั้นเข้ามา
ประมูลสินทรัพย์ ปรส. ได้ แล้วปรส. ยังจะท่องคำว่าโปร่งใสและธรรมาภิบาลได้อย่างเต็มปากอีกหรือ?
ประการที่ห้า รัฐบาลบูชาตะวันตกทั้งความคิดและจิตวิญญาณรวมถึงเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ
ทำให้เกิดความสงใสในเรื่องของความโปร่งใสและธรรมาภิบาล (ที่ภาครัฐและคนใน ปรส. ท่องเป็นคาถาวิเศษในขณะนั้น)
เนื่องจากว่ากลุ่มบริษัทที่ประมูลทรัพย์สินไปได้ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทที่มี ผู้บริหารที่นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์
และ ม.ร.ว.จัตุมงคล เทิดทูลบูชา ไม่ว่าจะเป็น กลุ่ม GE CAPITAL ที่มีอดีตประธานกรรมการบริษัท
ที่ชื่อ Jack Welch ที่ ม.ร.ว.จัตุมงคล เทิดทูลบูชาคนนี้มากในหลักการบริหาร โดยประมูล ปรส.
ได้ไป ๒ ครั้ง และก็เป็นเจ้าของ ASIA FINANCE ที่แอบไปติดต่อลูกหนี้ให้ฝากเงินโดยไม่มีดอกเบี้ย
เพื่อจะได้ซื้อหนี้คืนโดยจ่ายค่าหัวคิวให้กับ GE CAPITAL โดย บิ๊กบอสของจีอีในหมู่บ้านอินทรีย์ขณะนั้น
เป็นเพื่อนสนิทของนายอานันท์ ปันยารชุน ส่วนประธานกรรมการของจีอี ในหมู่บ้านช้างขณะนั้นคือนายวีรพงษ์
ถ้าจะพูดถึงสาเหตุหลัก ๆ แล้ว
ประการแรก การปิดสถาบันการเงิน ๕๖ แห่ง และที่สำคัญไม่รู้จักแยกทรัพย์สินที่ดี (Good Assets)
ออกมาจากสินทรัพย์ที่ไม่ดี (Bad Assets)ทันที เพื่อที่จะรักษามูลค่าของตัวสินทรัพย์ไว้กับ
จับสินทรัพย์ทั้งสองใส่ในกระสอบเดียวกัน (เหมือนกับเวลาไปซื้อสินค้ากระสอบแถวชายแดนมาขาย
ที่มีการใส่ทั้งสินค้าดีและ ไม่ดีรวมกันแล้วแต่ว่าใครจะโชคดี) คละเคล้าเข้าด้วยกันทำให้สินทรัพย์ที่ดีค่อย ๆ เน่าลงไปด้วย
ทั้งที่จริงแล้วเวลาที่จะปิดสถาบันการเงินไหน ต้องรีบแยกสินทรัพย์ดีออกมาก่อนทันที
หรือที่พวกตะวันตกเรียกว่า P&A (Purchase And Assumption Method)
เพราะของดีจะต้องรีบแก้ไขก่อนถ้าหากปล่อยไว้นานจะกลายเป็นของเสียได้
และที่สำคัญพวกกองทุนการเงินระหว่างหมู่บ้าน (IMF) โดยนายลินด์เกรนและนายโจเซฟสัน
ที่เขียนยุทธศาสตร์และเสนอยุทธวิธีในการแก้ไขปัญหา
เมื่อเห็นว่าแผนยุทธศาสตร์และวิธีการล้มเหลวแทนที่จะเปลี่ยนวิธีการ
กลับปล่อยเลยตามเลย และยังเสนอแนะให้จ้างที่ปรึกษาของ ธนาคารนานาหมู่บ้าน
ที่เป็นพรรคพวกของนายลินด์เกรนและนายโจเซฟสันให้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาและรับเงินไปอีกจำนวนมากมาย
ประการที่สอง การร่างพระราชกำหนดตั้ง ปรส. นั้น ทำโดยไม่รอบคอบเนื่องจากร่างกฎหมายให้ ปรส.
มีหน้าที่ขายสินทรัพย์อย่างเดียวโดยไม่ให้ประนอมหนี้และยังกำหนดว่าต้องขายให้หมดภายในปี พ.ศ. ๒๕๔๑
(ซึ่งเกิดขึ้นตอนที่นายทนง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่ภายหลังที่นายธารินทร์
มารับไม้ต่อก็ไม่ได้มีการแก้ไขกลับปล่อยเลยตายเลย) จนมองได้ว่าการเกิดของ ปรส.แฝงไปด้วยวาระซ่อนเร้น
และเป็นแหล่งกอบโกยผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจจากการที่กระทรวงการคลังแต่งตั้งให้นายมานิตย์
(อดีตเป็นอธิบดีกรมธนารักษ์) เป็นผู้ร่างกฎหมายนี้ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหมู่บ้านช้าง
เพราะคนพวกนี้เป็นผู้ชำนาญการกฎหมายศุลกากร ไม่รู้เรื่องสถาบันการเงิน
แม้กระทั่งติดต่อขอตัวอย่างกฎหมายที่ MMF ใช้กับหมู่บ้านสวีเดนและหมู่บ้านจังโก้
ก็ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจาก MMF ด้วยก็เลยเขียนให้เป็นหน่วยงานให้ขายสินทรัพย์
และชำระหนี้ให้กับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน โดยไม่ต้องให้มีอำนาจในการประนอมหนี้
เพราะคนร่างกฎหมายไม่เข้าใจขบวนการขั้นตอนและเป็นเรื่องยุ่งยาก
เลยกลายเป็นว่า ปรส.เป็นนายหน้าขายสินทรัพย์เพียงเท่านั้น
ประการที่สาม การ แต่งตั้งบุคคลที่มาดำรงตำแหน่งใน ปรส. เป็นการแต่งตั้งบุคคลที่ใกล้ชิด
กับกลุ่มของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายธารินทร์ ) ที่สำคัญบุคคลเหล่านั้นยังขาดประสบการณ์
ไม่ว่าจะเป็น นายธวัชชัย โดยพื้นฐานแล้วป็นอาจารย์มาก่อน นายบุญรักษ์ เป็นข้าราชการมาก่อน
ถึงแม้ว่าจะเคยอยู่ธนาคารกรุงเทพและธนาคารออมสินมาก่อน แต่ทั้งสองท่านยังขาดประสบการณ์
ก็เลยต้องพึ่งข้อมูลและการเสนอแนะของธนาคารแห่งหมู่บ้านช้างเป็นหลัก
เป็นผลให้ก่อเกิดความผิดพลาดในการไม่แยกสินทรัพย์ดีออกจากสินทรัพย์ไม่ดี
ก่อนในทันที นายวิชรัตน์ ไม่เคยอยู่ในแวดวงภาคการเงินที่ใหญ่มาก่อน มิหนำซ้ำตอนที่ทำงานอยู่กับ NOMURA
เขาต้องถูกผู้บริหารระดับสูงของบริษัทขอร้องให้ออกเพราะว่าทำงานไม่เป็น นายอมเรศ บุคคล
ที่ชอบมองว่าคนอื่นในหมู่บ้านช้างโง่กว่าตนเสมอบูชาแนวความคิดตะวันตกเป็นที่ตั้งมีคาถาประจำตัว
คือ โปร่งใสและมีธรรมาภิบาล (แบบตะวันตก) รวมถึงนายมนตรี เจนวิทย์การด้วย
ซึ่งบุคคลเหล่านี้เข้ามาได้เนื่องจากมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายธารินทร์ )
และผู้ว่าการธนาคารแห่งหมู่บ้านช้าง (ม.ร.ว.จัตุมงคล ) ในขณะนั้น
ประการที่สี่ หลักเกณฑ์ในการประมูลขายสินทรัพย์ของ ปรส. ถูกมองว่าไม่โปร่งใสโดยที่
(๑.) ไม่ให้ลูกหนี้เข้าประมูล
(๒.) จัดสินทรัพย์เป็นกองใหญ่ทำให้ผู้ที่จะสามารถเข้าไปประมูลมีน้อยรายโดยเฉพาะคนในหมู่บ้านช้าง
เปรียบเสมือนเป็นการเปิดโอกาสให้กับต่างหมู่บ้านโดยเฉพาะตะวันตก
(๓.) จัดข้อมูลลูกหนี้โดยผู้เชี่ยวชาญจากต่างหมู่บ้าน ทำให้มูลค่าของหลักประกัน
และการประเมินความสามารถในการชนะต่ำกว่าที่ควรจะเป็น กอร์ปกับเอกสารข้อมูลของสินทรัพย์
และข้อมูลลูกหนี้ไม่สมบูรณ์ทำให้ราคาสินทรัพย์ที่ดีเสียไปด้วย ส่วนด้านลูกหนี้ไม่มีการแยกหนี้ดีหนี้เสีย
(๔.) ในการประมูลสินทรัพย์ตอนต้น ๆ ปรส.ไม่อนุญาตให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.)
เข้าร่วมประมูลทำให้เกิดการแข่งขันน้อยกว่าที่ควร
(๕.) ในการประมูลสินทรัพย์ในตอนต้น ๆ ปรส. ได้มีนโยบายห้ามลูกหนี้ไปตกลงประนอมหนี้กับผู้ประมูล
ณ ราคาที่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของยอดเงินคงค้างภายใน 6 เดือน และที่สำคัญคือ ปรส. ไปจ้างที่ปรึกษา
ชาวต่างหมู่บ้านในราคาที่สูง และยังปล่อยให้บริษัทที่มีความเกี่ยวพันกับบริษัทที่ปรึกษาเหล่านั้นเข้ามา
ประมูลสินทรัพย์ ปรส. ได้ แล้วปรส. ยังจะท่องคำว่าโปร่งใสและธรรมาภิบาลได้อย่างเต็มปากอีกหรือ?
ประการที่ห้า รัฐบาลบูชาตะวันตกทั้งความคิดและจิตวิญญาณรวมถึงเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ
ทำให้เกิดความสงใสในเรื่องของความโปร่งใสและธรรมาภิบาล (ที่ภาครัฐและคนใน ปรส. ท่องเป็นคาถาวิเศษในขณะนั้น)
เนื่องจากว่ากลุ่มบริษัทที่ประมูลทรัพย์สินไปได้ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทที่มี ผู้บริหารที่นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์
และ ม.ร.ว.จัตุมงคล เทิดทูลบูชา ไม่ว่าจะเป็น กลุ่ม GE CAPITAL ที่มีอดีตประธานกรรมการบริษัท
ที่ชื่อ Jack Welch ที่ ม.ร.ว.จัตุมงคล เทิดทูลบูชาคนนี้มากในหลักการบริหาร โดยประมูล ปรส.
ได้ไป ๒ ครั้ง และก็เป็นเจ้าของ ASIA FINANCE ที่แอบไปติดต่อลูกหนี้ให้ฝากเงินโดยไม่มีดอกเบี้ย
เพื่อจะได้ซื้อหนี้คืนโดยจ่ายค่าหัวคิวให้กับ GE CAPITAL โดย บิ๊กบอสของจีอีในหมู่บ้านอินทรีย์ขณะนั้น
เป็นเพื่อนสนิทของนายอานันท์ ปันยารชุน ส่วนประธานกรรมการของจีอี ในหมู่บ้านช้างขณะนั้นคือนายวีรพงษ์
att- จำนวนข้อความ : 1075
Registration date : 08/10/2008
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
กลุ่ม GOLDMAN SACHS ประมูล ปรส. ได้พร้อมกับกลุ่มจีอี มีผู้บริหารระดับสูงชื่อ Kerrigan
เป็นที่เทิดทูนบูชาของนายธารินทร์ สมัยที่เขาเรียนอยู่ HARVARD โดยที่นายโรเบริต รูบิน
รมว.กระทรวงการคลังของหมู่บ้านอินทรีย์ (ผู้ ที่ให้ยาหอมเศรษฐกิจหมู่บ้านช้างของเรา
ทุกครั้งที่มีโอกาส จนรัฐบาลโดยเฉพาะนายธารินทร์ เทิดทูลบูชาอีกคน) ขณะนั้นก็เคยดำรงตำแหน่ง
เป็นหัวหน้านักค้าเงินของวาณิชธนกิจที่ชื่อว่า GOLDMAN SACHS ถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญตลาดเงินตราคนหนึ่ง
ของตลาดนานาหมู่บ้าน
ลูกชาย : การที่บริษัทเหล่านั้นมาประมูลไปได้เป็นเพียงเพราะว่าผู้บริหารเหล่านั้น
เป็นฮีโร่ในใจของผู้มีอำนาจขณะนั้น มันจะไม่เป็นการมองโดยอคติเกินไปหรือครับ
เพราะว่าทุกคนก็ต้องมีฮีโร่ในใจเป็นของตัวเองอยู่แล้วเป็นธรรมดา
พ่อจน: ใช่แล้วลูกถ้าเรามองเพียงแค่นั้นก็เป็นการอคติเกินไป แต่เผอิญอีกว่าทั้ง
GE CAPITAL และ GOLDMAN SACHS ทั้งคู่ประมูลได้ในราคาที่ต่ำมาก
มิหนำซ้ำทั้งกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งหมู่บ้านช้างแทนที่จะล้มประมูลแล้ว
ประมูลใหม่กลับบอกให้เจรจาขอแบ่งกำไร
และที่สำคัญพวกที่ชอบอ้างว่าตัวเองโปร่งใสและมีธรรมาภิบาลเป็นเครื่องหมาย
การค้าอย่างนายอมเรศ นายมนตรี และนายวิชรัตน์
ได้ทำการโกหกและเอื้อประโยชน์แก่บริษัทต่างหมู่บ้านไว้คือ
ในการประมูลครั้งสุดท้าย ได้กำหนดว่าจะประมูลในวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ.
๒๕๔๑ แต่นาย ธารินทร์ ให้เลื่อนไปอีกเพื่อที่จะได้ราคาที่ดีขึ้น
โดยตกลงก็จะเป็นวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นวันเปิดซอง
เมื่อเปิดซองออกมาทุกกองไม่มีปัญหา ยกเว้นกองที่ ๑๙,๒๐,๒๑ และ ๒๒ ที่ GOLDMAN SACHS และ GE CAPITAL
เข้าร่วมประมูลในราคาที่ต่ำเกินไป และในวันเดียวกันนั้นเอง นายอมเรศ ได้ออกมายอมรับว่า
การประมูลนั้นล้มเหลวในกองที่ ๑๙,๒๐,๒๑ และ ๒๒ แล้วนายอมเรศ ได้บอกอีกว่า ๒-๓ วัน
จะแจ้งให้ทราบว่าจะทำอย่างไรกับกองเหล่านี้ ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นนายวิชรัตน์
ก็ได้คุยกับ GE CAPITAL และ GOLDMAN SACHS โดยนายวิชรัตน์ ใจดีจะแยกจะยกกอง ๑๗, ๑๓
และ ๒๕ เพิ่มเติมให้ด้วย แต่บอร์ด ปรส. บอกว่าถ้าเป็นอย่างนี้คงรับไม่ได้
นายวิชรัตน์ ก็เลยอ้างว่า เขาได้ไปสัญญากับพวกตะวันตกไว้แล้วว่าจะให้กอง ๑๙, ๒๐ และ ๒๒ บอร์ด ปรส.
ก็เลยต้องคล้อยตาม ปรส. โดยนายอมเรศ และนายมนตรี ก็เลยคุยกับ GE CAPITAL และ GOLDMAN SACHS
ว่าทางตะวันตกจะช่วยได้อย่างไรบ้าง ที่จะทำให้ดูดี ซึ่งทางตะวันตกก็บอกว่าเป็น Profit Sharing ก็แล้วกัน
แล้วนายอมเรศ นายมนตรี นายวิชรัตน์ และบอร์ดของ ปรส. อีกบางคน
ก็เลยอัญเชิญให้บริษัททั้งสองเขียนเงื่อนไขมาว่า จะเอายังไงก็ได้ โดยเขียนบนหัวกระดาษ ปรส.
ซึ่งทุกอย่างเป็นการตั้งเงื่อนไขและเขียนสัญญาโดยชาวตะวันตกเองทั้งนั้น
(หรือเรียกได้ว่าเป็นการชงเอง กินเอง นั่นเอง) และสัญญาที่เขียนโดยผู้จะเข้ามาประมูลเอง (จีอี และโกล์ดแมน แซค)
ก็เขียนเสร็จ มีการเซ็นสัญญากันในวันศุกร์ที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ แต่ ปรส. โดยนายอมเรศ นายมนตรี
และนายวิชรัตน์ กลับออกมาชี้แจงว่า จะเซ็นสัญญากับผู้ที่ประมูลได้ในวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๒
และในระหว่างนี้จนถึงวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๒ จะเรียก จีอี และโกลด์แมน มาเจรจาต่อรอง
ถือได้ว่าเป็นการโกหกและแหกตาคนในหมู่บ้าน ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า เซ็นไปแล้ว
ตั้งแต่วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ นี่แหละความโปร่งใสและธรรมาภิบาลที่ท่องเป็นคาถา
และชอบเอามาอ้างของคนพวกนั้น แอบตกลงกับบริษัทต่างหมู่บ้านทำให้หมู่บ้านตัวเองเสียหาย
กลัวสังคมจะรู้ก็เลยปกปิดข่าว ใครถามก็หาว่าคนเหล่านั้นไม่รู้เรื่องและมีการดูถูกเหยียดหยาม
ว่าถ้าไม่ให้บริษัทต่างหมู่บ้านมาซื้อ (ในราคาถูกเหมือนโดนปล้น) แล้วคนในหมู่บ้านมีปัญญาซื้อเหรอ
(ทั้ง ๆ ที่เงื่อนไขเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทต่างหมู่บ้านแต่กีดกันคนหมู่บ้านช้างด้วยกันเอง)
นี่นะหรือพวกที่เรียกตัวเองว่าโปร่งใสและมีธรรมาภิบาลมากกว่าคนอื่น?
เป็นที่เทิดทูนบูชาของนายธารินทร์ สมัยที่เขาเรียนอยู่ HARVARD โดยที่นายโรเบริต รูบิน
รมว.กระทรวงการคลังของหมู่บ้านอินทรีย์ (ผู้ ที่ให้ยาหอมเศรษฐกิจหมู่บ้านช้างของเรา
ทุกครั้งที่มีโอกาส จนรัฐบาลโดยเฉพาะนายธารินทร์ เทิดทูลบูชาอีกคน) ขณะนั้นก็เคยดำรงตำแหน่ง
เป็นหัวหน้านักค้าเงินของวาณิชธนกิจที่ชื่อว่า GOLDMAN SACHS ถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญตลาดเงินตราคนหนึ่ง
ของตลาดนานาหมู่บ้าน
ลูกชาย : การที่บริษัทเหล่านั้นมาประมูลไปได้เป็นเพียงเพราะว่าผู้บริหารเหล่านั้น
เป็นฮีโร่ในใจของผู้มีอำนาจขณะนั้น มันจะไม่เป็นการมองโดยอคติเกินไปหรือครับ
เพราะว่าทุกคนก็ต้องมีฮีโร่ในใจเป็นของตัวเองอยู่แล้วเป็นธรรมดา
พ่อจน: ใช่แล้วลูกถ้าเรามองเพียงแค่นั้นก็เป็นการอคติเกินไป แต่เผอิญอีกว่าทั้ง
GE CAPITAL และ GOLDMAN SACHS ทั้งคู่ประมูลได้ในราคาที่ต่ำมาก
มิหนำซ้ำทั้งกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งหมู่บ้านช้างแทนที่จะล้มประมูลแล้ว
ประมูลใหม่กลับบอกให้เจรจาขอแบ่งกำไร
และที่สำคัญพวกที่ชอบอ้างว่าตัวเองโปร่งใสและมีธรรมาภิบาลเป็นเครื่องหมาย
การค้าอย่างนายอมเรศ นายมนตรี และนายวิชรัตน์
ได้ทำการโกหกและเอื้อประโยชน์แก่บริษัทต่างหมู่บ้านไว้คือ
ในการประมูลครั้งสุดท้าย ได้กำหนดว่าจะประมูลในวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ.
๒๕๔๑ แต่นาย ธารินทร์ ให้เลื่อนไปอีกเพื่อที่จะได้ราคาที่ดีขึ้น
โดยตกลงก็จะเป็นวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นวันเปิดซอง
เมื่อเปิดซองออกมาทุกกองไม่มีปัญหา ยกเว้นกองที่ ๑๙,๒๐,๒๑ และ ๒๒ ที่ GOLDMAN SACHS และ GE CAPITAL
เข้าร่วมประมูลในราคาที่ต่ำเกินไป และในวันเดียวกันนั้นเอง นายอมเรศ ได้ออกมายอมรับว่า
การประมูลนั้นล้มเหลวในกองที่ ๑๙,๒๐,๒๑ และ ๒๒ แล้วนายอมเรศ ได้บอกอีกว่า ๒-๓ วัน
จะแจ้งให้ทราบว่าจะทำอย่างไรกับกองเหล่านี้ ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นนายวิชรัตน์
ก็ได้คุยกับ GE CAPITAL และ GOLDMAN SACHS โดยนายวิชรัตน์ ใจดีจะแยกจะยกกอง ๑๗, ๑๓
และ ๒๕ เพิ่มเติมให้ด้วย แต่บอร์ด ปรส. บอกว่าถ้าเป็นอย่างนี้คงรับไม่ได้
นายวิชรัตน์ ก็เลยอ้างว่า เขาได้ไปสัญญากับพวกตะวันตกไว้แล้วว่าจะให้กอง ๑๙, ๒๐ และ ๒๒ บอร์ด ปรส.
ก็เลยต้องคล้อยตาม ปรส. โดยนายอมเรศ และนายมนตรี ก็เลยคุยกับ GE CAPITAL และ GOLDMAN SACHS
ว่าทางตะวันตกจะช่วยได้อย่างไรบ้าง ที่จะทำให้ดูดี ซึ่งทางตะวันตกก็บอกว่าเป็น Profit Sharing ก็แล้วกัน
แล้วนายอมเรศ นายมนตรี นายวิชรัตน์ และบอร์ดของ ปรส. อีกบางคน
ก็เลยอัญเชิญให้บริษัททั้งสองเขียนเงื่อนไขมาว่า จะเอายังไงก็ได้ โดยเขียนบนหัวกระดาษ ปรส.
ซึ่งทุกอย่างเป็นการตั้งเงื่อนไขและเขียนสัญญาโดยชาวตะวันตกเองทั้งนั้น
(หรือเรียกได้ว่าเป็นการชงเอง กินเอง นั่นเอง) และสัญญาที่เขียนโดยผู้จะเข้ามาประมูลเอง (จีอี และโกล์ดแมน แซค)
ก็เขียนเสร็จ มีการเซ็นสัญญากันในวันศุกร์ที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ แต่ ปรส. โดยนายอมเรศ นายมนตรี
และนายวิชรัตน์ กลับออกมาชี้แจงว่า จะเซ็นสัญญากับผู้ที่ประมูลได้ในวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๒
และในระหว่างนี้จนถึงวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๒ จะเรียก จีอี และโกลด์แมน มาเจรจาต่อรอง
ถือได้ว่าเป็นการโกหกและแหกตาคนในหมู่บ้าน ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า เซ็นไปแล้ว
ตั้งแต่วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ นี่แหละความโปร่งใสและธรรมาภิบาลที่ท่องเป็นคาถา
และชอบเอามาอ้างของคนพวกนั้น แอบตกลงกับบริษัทต่างหมู่บ้านทำให้หมู่บ้านตัวเองเสียหาย
กลัวสังคมจะรู้ก็เลยปกปิดข่าว ใครถามก็หาว่าคนเหล่านั้นไม่รู้เรื่องและมีการดูถูกเหยียดหยาม
ว่าถ้าไม่ให้บริษัทต่างหมู่บ้านมาซื้อ (ในราคาถูกเหมือนโดนปล้น) แล้วคนในหมู่บ้านมีปัญญาซื้อเหรอ
(ทั้ง ๆ ที่เงื่อนไขเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทต่างหมู่บ้านแต่กีดกันคนหมู่บ้านช้างด้วยกันเอง)
นี่นะหรือพวกที่เรียกตัวเองว่าโปร่งใสและมีธรรมาภิบาลมากกว่าคนอื่น?
att- จำนวนข้อความ : 1075
Registration date : 08/10/2008
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
ลูกชาย : ถือได้ว่าเป็นการร่วมกันโกงครั้งยิ่งใหญ่เลยนะครับ
โดยมีคนในหมู่บ้านของเราเป็นเจ้าภาพคอยเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนต่างหมู่บ้าน
ให้เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ แต่ทุกวันนี้ปัญหาการคอรัปชั่นในหมู่บ้านของเรา
รู้สึกว่าจะตรวจสอบได้ยากมากขึ้นทุกทีนะครับ
พ่อจน: ตราบใดที่ช่องว่างระหว่างความเจริญทางด้านวัตถุกับจิตใจยังห่างกัน
เมื่อนั้นรูปแบบของการคอรัปชั่นยิ่งพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพราะคนส่วนใหญ่แสวงหาความมั่งคั่งด้านวัตถุ
เพื่อที่จะให้ได้มาด้วยสิ่งเหล่านั้นแล้ว รูปแบบของการคอรัปชั่นก็จะพัฒนาควบคู่ไปด้วย
รูปแบบการคอรัปชั่นตั้งแต่อดีตเรื่อยมาจนปัจจุบันไม่มียุคไหนจะน่ากลัวเท่ากับปัจจุบัน
เพราะถ้าหากเป็นเมื่อก่อนการโกงจะเป็นในลักษณะที่ติดสินบนให้เงินใต้โต๊ะ การกินหัวคิว
(ขอส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์) ซึ่งการคอรัปชั่นแบบนี้เป็นลักษณะการโกงกิน
แต่ปัจจุบันรูปแบบการคอรัปชั่นพัฒนาไปเป็น การคอรัปชั่นเชิงนโยบาย
ซึ่งรูปแบบนี้เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ซับซ้อนตรวจสอบได้ยากและที่สำคัญ
อันตรายกว่าเดิมเยอะ ถ้าแบบเดิมเรียกว่าการโกงกิน แบบใหม่นี้ควรเรียกว่า
การโกงกินแบบบูรณาการ คือ เป็นการโกงกินที่รวมศูนย์โดยผู้มีอำนาจในการบริหารจัดการ
แล้วกระจายผลประโยชน์ให้กับญาติพี่น้องและพันธมิตรกลุ่มทุนของตัวเองโดยอาศัยนโยบายของ
ภาครัฐเป็นเครื่องมือและเป็นกลไกขับเคลื่อน
ลูกชาย : แล้วนโยบายที่เอื้อประโยชน์กับกลุ่มผู้มีอำนาจพวกนี้ส่วนมากเป็นนโยบายแบบไหนครับ
พ่อจน : จุดเริ่มต้นของการโกงแบบนี้จะเริ่มต้นจากการแสวงหาอำนาจแบบเบ็ดเสร็จให้กับตัวเอง
และพรรคพวกก่อนโดยอำนาจที่ได้มามีทั้งผ่านและไม่ผ่านกระบวนการทางประชาธิปไตย
เมื่อก่อนจะเป็นในรูปแบบที่ไมผ่านกระบวนการประชาธิปไตยมากกว่าอาจจะเป็นการ
ปฏิวัติ รัฐประหาร ยึดอำนาจโดยเผด็จการทางทหาร แต่การได้มาซึ่งอำนาจแบบนี้จะไม่ยั่งยืน
จนมาถึงหลังจากยุคที่หมู่บ้านหมีขาวล่มสลายเป็นการล่มสลายไปพร้อมกับลัทธิคอมมิวนิสต์
ทำให้ลัทธิประชาธิปไตยเบ่งบานเต็มที่และคลอบคลุมไปทุกหมู่บ้าน การแสวงหาอำนาจต่าง ๆ
ต้องผ่านกระบวนการประชาธิปไตยจึงจะเรียกว่าเป็นการได้มาซึ่งความชอบธรรมของอำนาจ
ถ้าเป็นหมู่บ้านของเราแล้วนโยบายที่สร้างฐานอำนาจให้กับผู้นำมากที่สุด คือ นโยบายประชานิยม (Populism)
โดยมีคนในหมู่บ้านของเราเป็นเจ้าภาพคอยเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนต่างหมู่บ้าน
ให้เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ แต่ทุกวันนี้ปัญหาการคอรัปชั่นในหมู่บ้านของเรา
รู้สึกว่าจะตรวจสอบได้ยากมากขึ้นทุกทีนะครับ
พ่อจน: ตราบใดที่ช่องว่างระหว่างความเจริญทางด้านวัตถุกับจิตใจยังห่างกัน
เมื่อนั้นรูปแบบของการคอรัปชั่นยิ่งพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพราะคนส่วนใหญ่แสวงหาความมั่งคั่งด้านวัตถุ
เพื่อที่จะให้ได้มาด้วยสิ่งเหล่านั้นแล้ว รูปแบบของการคอรัปชั่นก็จะพัฒนาควบคู่ไปด้วย
รูปแบบการคอรัปชั่นตั้งแต่อดีตเรื่อยมาจนปัจจุบันไม่มียุคไหนจะน่ากลัวเท่ากับปัจจุบัน
เพราะถ้าหากเป็นเมื่อก่อนการโกงจะเป็นในลักษณะที่ติดสินบนให้เงินใต้โต๊ะ การกินหัวคิว
(ขอส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์) ซึ่งการคอรัปชั่นแบบนี้เป็นลักษณะการโกงกิน
แต่ปัจจุบันรูปแบบการคอรัปชั่นพัฒนาไปเป็น การคอรัปชั่นเชิงนโยบาย
ซึ่งรูปแบบนี้เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ซับซ้อนตรวจสอบได้ยากและที่สำคัญ
อันตรายกว่าเดิมเยอะ ถ้าแบบเดิมเรียกว่าการโกงกิน แบบใหม่นี้ควรเรียกว่า
การโกงกินแบบบูรณาการ คือ เป็นการโกงกินที่รวมศูนย์โดยผู้มีอำนาจในการบริหารจัดการ
แล้วกระจายผลประโยชน์ให้กับญาติพี่น้องและพันธมิตรกลุ่มทุนของตัวเองโดยอาศัยนโยบายของ
ภาครัฐเป็นเครื่องมือและเป็นกลไกขับเคลื่อน
ลูกชาย : แล้วนโยบายที่เอื้อประโยชน์กับกลุ่มผู้มีอำนาจพวกนี้ส่วนมากเป็นนโยบายแบบไหนครับ
พ่อจน : จุดเริ่มต้นของการโกงแบบนี้จะเริ่มต้นจากการแสวงหาอำนาจแบบเบ็ดเสร็จให้กับตัวเอง
และพรรคพวกก่อนโดยอำนาจที่ได้มามีทั้งผ่านและไม่ผ่านกระบวนการทางประชาธิปไตย
เมื่อก่อนจะเป็นในรูปแบบที่ไมผ่านกระบวนการประชาธิปไตยมากกว่าอาจจะเป็นการ
ปฏิวัติ รัฐประหาร ยึดอำนาจโดยเผด็จการทางทหาร แต่การได้มาซึ่งอำนาจแบบนี้จะไม่ยั่งยืน
จนมาถึงหลังจากยุคที่หมู่บ้านหมีขาวล่มสลายเป็นการล่มสลายไปพร้อมกับลัทธิคอมมิวนิสต์
ทำให้ลัทธิประชาธิปไตยเบ่งบานเต็มที่และคลอบคลุมไปทุกหมู่บ้าน การแสวงหาอำนาจต่าง ๆ
ต้องผ่านกระบวนการประชาธิปไตยจึงจะเรียกว่าเป็นการได้มาซึ่งความชอบธรรมของอำนาจ
ถ้าเป็นหมู่บ้านของเราแล้วนโยบายที่สร้างฐานอำนาจให้กับผู้นำมากที่สุด คือ นโยบายประชานิยม (Populism)
att- จำนวนข้อความ : 1075
Registration date : 08/10/2008
Re: ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการที่สุวรรณภูมิถูกปิด
http://www.gotomanager.com/resources/default.aspx?id=309&g=mgrm
http://www.gotomanager.com/resources/default.aspx?id=44&g=mgrm
http://www.mthai.com/webboard/5/97954.html
หนังสือ"จีอี"ถึง"ทักษิณ" แจงปมฉาวเครื่องซีทีเอ็กซ์
*บริษัทจีอี, เท็กซัส
สหรัฐอเมริกา
12 พ.ค.48
กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
ตามที่สื่อมวลชนในประเทศไทยได้ให้ความสนใจอย่างยิ่งต่อการเสนอซื้อขาย
เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด CTX 9000 จากบริษัท จีอี
เพื่อติดตั้งในสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
และได้มีการรายงานข่าวที่อาจสร้างความ
เข้าใจคลาดเคลื่อนหรือมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
เกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของบริษัท อินวิชั่น เทคโนโลยีส์ อิงค์
ก่อนที่บริษัทจะถูกรวมกิจการกับบริษัท จีอี นั้น
บริษัทจีอีรู้สึกเสียใจที่การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนเป็นไปในลักษณะที่บิด
เบือนผลตรวจสอบของบริษัทอินวิชั่นฯ
รวมทั้งมีการรายงานข่าวที่ผิดพลาดว่าการตรวจสอบของอินวิชั่นฯพบว่ามีเจ้า
หน้าที่ไทยได้รับการจ่ายเงินอย่างไม่ถูกต้อง ดังนั้น
จึงมีความจำเป็นที่บริษัทจะต้องมีหนังสือเพื่อชี้แจ้งข้อมูลที่ถูกต้อง
ดังนี้
บริษัท จีอี ได้เข้าควบรวมกิจการกับอินวิชั่นฯ
ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้จัดหาเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด
สำหรับการติดตั้งในสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม 2547
ซึ่งก่อนหน้าที่บริษัทจีอี จะเข้าควบรวมกิจการกับอินวิชั่นฯนั้น
ได้มีการรายงานโดยแหล่งที่ไม่เปิดเผยว่า
ในการดำเนินธุรกรรมการขายของอินวิชั่นฯ ในประเทศไทยนั้น
มีความเป็นไปได้ว่า อาจมีการจ่ายเงินอย่างไม่ถูกต้อง
ซึ่งจีอีได้แจ้งให้อินวิชั่นฯทราบเกี่ยวกับข้อหาดังกล่าว
และอินวิชั่นฯได้ดำเนินการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมการซื้อขาย
ต่างๆ ในต่างประเทศ รวมทั้งพฤติกรรมของพนักงาน ที่ปรึกษา
และผู้จำหน่ายบางคนที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยและประเทศอื่นๆ
โดยจีอีเข้าร่วมในการตรวจสอบด้วย
ในระหว่างการตรวจสอบนั้น
อินวิชั่นฯไม่ได้ทำการสัมภาษณ์หรือปรึกษาเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยแต่อย่างใด
และไม่ได้คำนึงถึงการวิเคราะห์ต้นทุนภายในของบริษัท
ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่(NBIA) ที่ได้มีการรายงานเมื่อวันที่ 21
มกราคม 2548
ทั้งนี้
อินวิชั่นฯได้รายงานผลการตรวจสอบภายในให้แก่เจ้าหน้าที่บังคับกฎหมายของ
สหรัฐทราบ ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่บังคับกฎหมายของสหรัฐ ว่า
อินวิชั่นฯจะรับผิดชอบต่อการกระทำของลูกจ้าง ตัวแทนและผู้จำหน่ายของบริษัท
และยอมรับข้อความที่ระบุไว้ในข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการซื้อขายใน
ประเทศไทย จีน และฟิลิปปินส์ มีความถูกต้อง
ถึงแม้ว่าข้อตกลงดังกล่าวจะสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐสรุปว่า
อินวิชั่นฯได้ละเมิดกฎหมายการทุจริตในต่างประเทศของสหรัฐ (the U.S.
Foreign Corrupt Practices Act–FCPA) ก็ตาม แต่การละเมิดข้อกฎหมาย FCPA
นั้นไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า
เจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้รับหรือยอมรับข้อเสนอรับเงินที่พึงมิชอบ
สำหรับการตรวจสอบที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยนั้น
อินวิชั่นฯไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทยได้รับเงินที่พึงมิชอบหรือรับ
ข้อเสนอการจ่ายเงินอย่างไม่ถูกต้องแต่อย่างใด
ซึ่งผลการตรวจสอบดังกล่าวนั้นไม่ขัดต่อการที่ทางการสหรัฐ มีข้อสรุปว่า
อินวิชั่นฯได้ทำการละเมิดกฎหมายสหรัฐ
ภายใต้กฎหมายสหรัฐ ถือว่าบริษัทต่างๆ ได้ทำการละเมิดกฎหมาย FCPA
หากพบว่ามีการเสนอหรือสัญญาว่าจะให้เงินที่ไม่ถูกต้อง
แม้จะไม่มีหลักฐานปรากฏชัดว่ามีรับเงินดังกล่าวจริง
ในความเป็นจริงบริษัทสหรัฐอาจถูกข้อหาว่าละเมิดกฎหมายสหรัฐได้
โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานว่า มีการรับเงินโดยเจ้าหน้าที่ต่างประเทศ
ดังปรากฏในเอกสาร "Lay-person’s Guid to the FCPA
Statute"(ปรับปรุงเมื่อเดือนธันวาคม 2547) ซึ่งหาได้ในเว็บไซต์(http://www.usdai.gov/criminal/fraud/fcpa/daidocb.htm)
เอกสารดังกล่าวระบุว่า "ภายใต้ FCPA นั้น
การทุจริตไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์
การเสนอหรือการสัญญาว่าจะให้ในทางทุจริตนั้นสามารถเข้าข่ายการละเมิดกฎหมาย
ได้"
ข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่บังคับกฎหมายของสหรัฐอนุญาตให้จีอีสามารถดำเนินการขาย
ตรงกับหน่วยงานของรัฐบาลไทย
ซึ่งบริษัทเชื่อว่าการขายเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด CTX 9000
ให้กับท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่โดยตรง
จะเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย
ซึ่งจีอีพร้อมที่จัดส่งและเตรียมความเรียบร้อยในการจัดหาอุปกรณ์ การขนส่ง
การติดตั้ง การตรวจสอบ รวมทั้งการดำเนินการต่างๆ ที่จำเป็น
โดยผ่านบริษัทไทยที่จดทะเบียนในฐานะบริษัทลูกของจีอีโดยตรง
ทั้งนี้ จีอี ได้มีการหารือกับผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐ
ประจำประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างสม่ำเสมอ
รวมทั้งกับเอกอัครราชทูตบอยส์ด้วย
โดยสถานเอกอัครราชทูตได้เสนอแนะให้มีการขายครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด CTX
9000 กับสนามบินนานานาชาติสุวรรณภูมิหรือหน่วยงานของรัฐบาลไทยโดยตรง
ซึ่งแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่บังคับกฎหมายของสหรั
ภายหลังที่ได้มีการเปิดเผยผลตรวจสอบของอินวิชั่นฯว่าการขายตรงนั้นสามารถ
ดำเนินการได้
ทั้งนี้
จีอีรู้สึกเสียใจที่การรายงานข่าวเกี่ยวกับผลการตรวจสอบของบริษัทอินวิชั่นฯ
เกี่ยวกับพฤติกรรมของพนักงาน ตัวแทนและผู้จัดจำหน่ายของบริษัท
ได้ถูกบิดเบือนในการรายงายข่าว ทั้งนี้
จีอีรู้สึกชื่นชมต่อการที่บริษัทได้ดำเนินความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วม
กันกับประเทศไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา
และหวังว่าหนังสือฉบับนี้จะทำให้ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการขาย
เครื่องมือให้กับสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิมีความชัดเจนและถูกต้อง
ทั้งนี้ บริษัทหวังที่จะยังคงความสัมพันธ์อันดีกับสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิและรัฐบาลไทยต่อไป
ด้วยความเคารพ
เอ หลุยส์ ปาร์เกอร์
ผู้บริหารเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ
**เพื่อทราบ :
เอกอัครราชทูตลาฟ เอล บอยส์
สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายมาร์ก เอฟ เมนเดอวัน
รองผู้บริหาร ฝ่ายกระทำผิด แผนกอาญา กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ
นายไมเคิล เจ เดลานี
ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจสถานเอกอัครราชทูสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย
จาก มติชนรายวัน
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0102150548&day=2005/05/15
http://www.gotomanager.com/resources/default.aspx?id=44&g=mgrm
http://www.mthai.com/webboard/5/97954.html
หนังสือ"จีอี"ถึง"ทักษิณ" แจงปมฉาวเครื่องซีทีเอ็กซ์
*บริษัทจีอี, เท็กซัส
สหรัฐอเมริกา
12 พ.ค.48
กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
ตามที่สื่อมวลชนในประเทศไทยได้ให้ความสนใจอย่างยิ่งต่อการเสนอซื้อขาย
เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด CTX 9000 จากบริษัท จีอี
เพื่อติดตั้งในสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
และได้มีการรายงานข่าวที่อาจสร้างความ
เข้าใจคลาดเคลื่อนหรือมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
เกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของบริษัท อินวิชั่น เทคโนโลยีส์ อิงค์
ก่อนที่บริษัทจะถูกรวมกิจการกับบริษัท จีอี นั้น
บริษัทจีอีรู้สึกเสียใจที่การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนเป็นไปในลักษณะที่บิด
เบือนผลตรวจสอบของบริษัทอินวิชั่นฯ
รวมทั้งมีการรายงานข่าวที่ผิดพลาดว่าการตรวจสอบของอินวิชั่นฯพบว่ามีเจ้า
หน้าที่ไทยได้รับการจ่ายเงินอย่างไม่ถูกต้อง ดังนั้น
จึงมีความจำเป็นที่บริษัทจะต้องมีหนังสือเพื่อชี้แจ้งข้อมูลที่ถูกต้อง
ดังนี้
บริษัท จีอี ได้เข้าควบรวมกิจการกับอินวิชั่นฯ
ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้จัดหาเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด
สำหรับการติดตั้งในสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม 2547
ซึ่งก่อนหน้าที่บริษัทจีอี จะเข้าควบรวมกิจการกับอินวิชั่นฯนั้น
ได้มีการรายงานโดยแหล่งที่ไม่เปิดเผยว่า
ในการดำเนินธุรกรรมการขายของอินวิชั่นฯ ในประเทศไทยนั้น
มีความเป็นไปได้ว่า อาจมีการจ่ายเงินอย่างไม่ถูกต้อง
ซึ่งจีอีได้แจ้งให้อินวิชั่นฯทราบเกี่ยวกับข้อหาดังกล่าว
และอินวิชั่นฯได้ดำเนินการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมการซื้อขาย
ต่างๆ ในต่างประเทศ รวมทั้งพฤติกรรมของพนักงาน ที่ปรึกษา
และผู้จำหน่ายบางคนที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยและประเทศอื่นๆ
โดยจีอีเข้าร่วมในการตรวจสอบด้วย
ในระหว่างการตรวจสอบนั้น
อินวิชั่นฯไม่ได้ทำการสัมภาษณ์หรือปรึกษาเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยแต่อย่างใด
และไม่ได้คำนึงถึงการวิเคราะห์ต้นทุนภายในของบริษัท
ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่(NBIA) ที่ได้มีการรายงานเมื่อวันที่ 21
มกราคม 2548
ทั้งนี้
อินวิชั่นฯได้รายงานผลการตรวจสอบภายในให้แก่เจ้าหน้าที่บังคับกฎหมายของ
สหรัฐทราบ ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่บังคับกฎหมายของสหรัฐ ว่า
อินวิชั่นฯจะรับผิดชอบต่อการกระทำของลูกจ้าง ตัวแทนและผู้จำหน่ายของบริษัท
และยอมรับข้อความที่ระบุไว้ในข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการซื้อขายใน
ประเทศไทย จีน และฟิลิปปินส์ มีความถูกต้อง
ถึงแม้ว่าข้อตกลงดังกล่าวจะสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐสรุปว่า
อินวิชั่นฯได้ละเมิดกฎหมายการทุจริตในต่างประเทศของสหรัฐ (the U.S.
Foreign Corrupt Practices Act–FCPA) ก็ตาม แต่การละเมิดข้อกฎหมาย FCPA
นั้นไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า
เจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้รับหรือยอมรับข้อเสนอรับเงินที่พึงมิชอบ
สำหรับการตรวจสอบที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยนั้น
อินวิชั่นฯไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทยได้รับเงินที่พึงมิชอบหรือรับ
ข้อเสนอการจ่ายเงินอย่างไม่ถูกต้องแต่อย่างใด
ซึ่งผลการตรวจสอบดังกล่าวนั้นไม่ขัดต่อการที่ทางการสหรัฐ มีข้อสรุปว่า
อินวิชั่นฯได้ทำการละเมิดกฎหมายสหรัฐ
ภายใต้กฎหมายสหรัฐ ถือว่าบริษัทต่างๆ ได้ทำการละเมิดกฎหมาย FCPA
หากพบว่ามีการเสนอหรือสัญญาว่าจะให้เงินที่ไม่ถูกต้อง
แม้จะไม่มีหลักฐานปรากฏชัดว่ามีรับเงินดังกล่าวจริง
ในความเป็นจริงบริษัทสหรัฐอาจถูกข้อหาว่าละเมิดกฎหมายสหรัฐได้
โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานว่า มีการรับเงินโดยเจ้าหน้าที่ต่างประเทศ
ดังปรากฏในเอกสาร "Lay-person’s Guid to the FCPA
Statute"(ปรับปรุงเมื่อเดือนธันวาคม 2547) ซึ่งหาได้ในเว็บไซต์(http://www.usdai.gov/criminal/fraud/fcpa/daidocb.htm)
เอกสารดังกล่าวระบุว่า "ภายใต้ FCPA นั้น
การทุจริตไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์
การเสนอหรือการสัญญาว่าจะให้ในทางทุจริตนั้นสามารถเข้าข่ายการละเมิดกฎหมาย
ได้"
ข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่บังคับกฎหมายของสหรัฐอนุญาตให้จีอีสามารถดำเนินการขาย
ตรงกับหน่วยงานของรัฐบาลไทย
ซึ่งบริษัทเชื่อว่าการขายเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด CTX 9000
ให้กับท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่โดยตรง
จะเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย
ซึ่งจีอีพร้อมที่จัดส่งและเตรียมความเรียบร้อยในการจัดหาอุปกรณ์ การขนส่ง
การติดตั้ง การตรวจสอบ รวมทั้งการดำเนินการต่างๆ ที่จำเป็น
โดยผ่านบริษัทไทยที่จดทะเบียนในฐานะบริษัทลูกของจีอีโดยตรง
ทั้งนี้ จีอี ได้มีการหารือกับผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐ
ประจำประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างสม่ำเสมอ
รวมทั้งกับเอกอัครราชทูตบอยส์ด้วย
โดยสถานเอกอัครราชทูตได้เสนอแนะให้มีการขายครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด CTX
9000 กับสนามบินนานานาชาติสุวรรณภูมิหรือหน่วยงานของรัฐบาลไทยโดยตรง
ซึ่งแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่บังคับกฎหมายของสหรั
ภายหลังที่ได้มีการเปิดเผยผลตรวจสอบของอินวิชั่นฯว่าการขายตรงนั้นสามารถ
ดำเนินการได้
ทั้งนี้
จีอีรู้สึกเสียใจที่การรายงานข่าวเกี่ยวกับผลการตรวจสอบของบริษัทอินวิชั่นฯ
เกี่ยวกับพฤติกรรมของพนักงาน ตัวแทนและผู้จัดจำหน่ายของบริษัท
ได้ถูกบิดเบือนในการรายงายข่าว ทั้งนี้
จีอีรู้สึกชื่นชมต่อการที่บริษัทได้ดำเนินความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วม
กันกับประเทศไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา
และหวังว่าหนังสือฉบับนี้จะทำให้ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการขาย
เครื่องมือให้กับสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิมีความชัดเจนและถูกต้อง
ทั้งนี้ บริษัทหวังที่จะยังคงความสัมพันธ์อันดีกับสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิและรัฐบาลไทยต่อไป
ด้วยความเคารพ
เอ หลุยส์ ปาร์เกอร์
ผู้บริหารเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ
**เพื่อทราบ :
เอกอัครราชทูตลาฟ เอล บอยส์
สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายมาร์ก เอฟ เมนเดอวัน
รองผู้บริหาร ฝ่ายกระทำผิด แผนกอาญา กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ
นายไมเคิล เจ เดลานี
ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจสถานเอกอัครราชทูสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย
จาก มติชนรายวัน
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0102150548&day=2005/05/15
att- จำนวนข้อความ : 1075
Registration date : 08/10/2008
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|