จาก ฅน...สู่ ควาย
2 posters
หน้า 1 จาก 1
จาก ฅน...สู่ ควาย
พยัญชนะ ฅ เป็นพยัญชนะไทยตัวอักษรที่ ๕ ในบรรดาพยัญชนะไทยทั้งสิ้น ๔๔ ตัวอักษร
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทย
นอกจากเกิดการปฏิวัติระบอบทางการเมืองแล้ว
ยังเกิดการปฏิวัติทางภาษาไทยขึ้นอีกด้วย
sunny- จำนวนข้อความ : 3511
Registration date : 28/06/2008
Re: จาก ฅน...สู่ ควาย
ปี พ.ศ.๒๔๗๕ มีการปรับเปลี่ยนภาษาไทยที่ใช้
โดยเฉพาะเปลี่ยน คำว่า ฅน
จากปกติเดิมใช้พยัญชนะ ฅ ซึ่งเป็นพยัญชนะอักษรตัวที่ ๕
เปลี่ยนเป็นใช้พยัญชนะ ค ควาย ซึ่งเป็นพยัญชนะตัวอักษรที่ ๔
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เราจะพบว่า มีการปฏิวัติ รัฐประหารเกิดขึ้นในประเทศไทยบ่อยครั้ง
เราจะพบได้ทั่วไปว่า ควาย จะมีแต่ผู้นำ ไม่มีกษัตริย์
การปฏิวัติ รัฐประหารที่เกิดขึ้น
ก็ไม่ต่างอะไรกับ ควาย ที่ต้องการเป็นผู้นำจ่าฝูง
โดยเฉพาะเปลี่ยน คำว่า ฅน
จากปกติเดิมใช้พยัญชนะ ฅ ซึ่งเป็นพยัญชนะอักษรตัวที่ ๕
เปลี่ยนเป็นใช้พยัญชนะ ค ควาย ซึ่งเป็นพยัญชนะตัวอักษรที่ ๔
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เราจะพบว่า มีการปฏิวัติ รัฐประหารเกิดขึ้นในประเทศไทยบ่อยครั้ง
เราจะพบได้ทั่วไปว่า ควาย จะมีแต่ผู้นำ ไม่มีกษัตริย์
การปฏิวัติ รัฐประหารที่เกิดขึ้น
ก็ไม่ต่างอะไรกับ ควาย ที่ต้องการเป็นผู้นำจ่าฝูง
sunny- จำนวนข้อความ : 3511
Registration date : 28/06/2008
Re: จาก ฅน...สู่ ควาย
จงอย่าได้แปลกใจ
ว่าทำไมในปัจจุบัน เราจึงเห็น ควาย ที่อยู่ในรูปของ คน
เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยน ฅน
โดยนำตัวอักษร ค ไปใส่ในตำแหน่งแทนตัวอักษร ฅ นั่นเอง
ต้องโทษคนที่ปรับเปลี่ยนตัวอักษรไทย
และบังคับให้ใช้ในปัจจุบัน
เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่า
บุคคลนั้น ได้หยาม ฅนไท โดยเปรียบเทียบดั่ง ควาย
มิเช่นนั้นแล้ว
เหตุใด จึงต้องนำ ค ควาย มาใช้แทน ฅ ฅน
ว่าทำไมในปัจจุบัน เราจึงเห็น ควาย ที่อยู่ในรูปของ คน
เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยน ฅน
โดยนำตัวอักษร ค ไปใส่ในตำแหน่งแทนตัวอักษร ฅ นั่นเอง
ต้องโทษคนที่ปรับเปลี่ยนตัวอักษรไทย
และบังคับให้ใช้ในปัจจุบัน
เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่า
บุคคลนั้น ได้หยาม ฅนไท โดยเปรียบเทียบดั่ง ควาย
มิเช่นนั้นแล้ว
เหตุใด จึงต้องนำ ค ควาย มาใช้แทน ฅ ฅน
sunny- จำนวนข้อความ : 3511
Registration date : 28/06/2008
Re: จาก ฅน...สู่ ควาย
คนที่ทำอะไรด้วยใจไม่บริสุทธิ์ ต้องได้รับผลตอบแทน ในแบบที่เขาทำตัวมา
จะเป็นกรรมหรือไม่ก็ไม่อาจบอกได้ค่ะ รู้แต่ว่า คนคิดไม่ดี ไม่มีวันได้รับสิ่งที่ดีแบบถาวรเป็นอันขาด
ในวันที่เขายังมีฐานะทางสังคม มีอำนาจ มีความร่ำรวย ก็มีแต่คนห้อมล้อม
ซึ่งเขาคิดว่านั่นคือสิ่งที่เป็นสุข
หากวันใดที่เขาไร้ซึ่งสิ่งเหล่านั้น เขาจึงจะได้รู้ความแตกต่างระหว่าง ความสุขที่แท้จริง กับความสุขจอมปลอม
เมื่อวันนั้นมาถึง เขาก็จะได้รู้จักกับความทุกข์ ที่ทั้งชีวิตเขานั่นแหละ ได้สร้างมันให้กับผู้อื่น ว่าเป็นเช่นไร
ควาย ไม่โง่อย่างที่คนพยายามยัดเยียด คนไทยก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พยายามฟาดฟันกันทางความคิด
ควายทำตามที่เจ้านายฝึกมันมา ต้องบอกว่ามันเป็นสัตว์ที่มีระเบียบวินัย และรู้จักหน้าที่ต่างหาก
ในขณะที่คน มีทางเลือกหลากหลาย ให้ทำดี ทำไม่ดี แต่คนบางคนยังเลือกที่จะทำไม่ดี
ก็ต้องถามกลับว่า ระหว่างคนโง่ กับ คนเลว อย่างไหนทำลาย สังคมได้มากกว่ากัน
หากให้ตอบก็ต้องบอกว่า คนโง่ อาจเป็นเหยื่อคนเลว ในการทำลายล้าง
คนเลว คือ ต้นคิดในการทำลายล้าง หากโลกนี้มีแต่คนโง่ แล้วไม่มีคนเลว การทำลายล้าง
ย่อมไม่เกิดขึ้น จริงมั้ยจริง (ถามแบบสนธิลิ้มชอบถาม)
แต่ที่สุดของความน่ากลัว คือ การที่ให้คนมีอำนาจเป็นคนโง่ แถมด้วยเลว เลวปนโง่
อันนี้สิ โลกกี่ใบก็ไม่พอมือ
จะเป็นกรรมหรือไม่ก็ไม่อาจบอกได้ค่ะ รู้แต่ว่า คนคิดไม่ดี ไม่มีวันได้รับสิ่งที่ดีแบบถาวรเป็นอันขาด
ในวันที่เขายังมีฐานะทางสังคม มีอำนาจ มีความร่ำรวย ก็มีแต่คนห้อมล้อม
ซึ่งเขาคิดว่านั่นคือสิ่งที่เป็นสุข
หากวันใดที่เขาไร้ซึ่งสิ่งเหล่านั้น เขาจึงจะได้รู้ความแตกต่างระหว่าง ความสุขที่แท้จริง กับความสุขจอมปลอม
เมื่อวันนั้นมาถึง เขาก็จะได้รู้จักกับความทุกข์ ที่ทั้งชีวิตเขานั่นแหละ ได้สร้างมันให้กับผู้อื่น ว่าเป็นเช่นไร
ควาย ไม่โง่อย่างที่คนพยายามยัดเยียด คนไทยก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พยายามฟาดฟันกันทางความคิด
ควายทำตามที่เจ้านายฝึกมันมา ต้องบอกว่ามันเป็นสัตว์ที่มีระเบียบวินัย และรู้จักหน้าที่ต่างหาก
ในขณะที่คน มีทางเลือกหลากหลาย ให้ทำดี ทำไม่ดี แต่คนบางคนยังเลือกที่จะทำไม่ดี
ก็ต้องถามกลับว่า ระหว่างคนโง่ กับ คนเลว อย่างไหนทำลาย สังคมได้มากกว่ากัน
หากให้ตอบก็ต้องบอกว่า คนโง่ อาจเป็นเหยื่อคนเลว ในการทำลายล้าง
คนเลว คือ ต้นคิดในการทำลายล้าง หากโลกนี้มีแต่คนโง่ แล้วไม่มีคนเลว การทำลายล้าง
ย่อมไม่เกิดขึ้น จริงมั้ยจริง (ถามแบบสนธิลิ้มชอบถาม)
แต่ที่สุดของความน่ากลัว คือ การที่ให้คนมีอำนาจเป็นคนโง่ แถมด้วยเลว เลวปนโง่
อันนี้สิ โลกกี่ใบก็ไม่พอมือ
tang may- ผู้มาเยือน
Re: จาก ฅน...สู่ ควาย
ควายไม่ใช่สัตว์ที่โง่ค่ะ
เพียงแต่ควาย ต้องมีการจัดระเบียบ ควบคุม มีผู้นำ ผู้สอนค่ะ ถึงทำได้
แต่คนไม่ต้องให้ใครมานำ มาสอน เราสามารถใช้ปัญญาเราเอง ในการคิด ตัดสินใจ กระทำ
หากแต่ใครที่ต้องมีใครมาบอกให้ทำ หรือนำให้ทำ ก็ไม่ได้หมายความว่า คนๆนั้นโง่---> ใช่ไหมคะ
เพียงแต่ควาย ต้องมีการจัดระเบียบ ควบคุม มีผู้นำ ผู้สอนค่ะ ถึงทำได้
แต่คนไม่ต้องให้ใครมานำ มาสอน เราสามารถใช้ปัญญาเราเอง ในการคิด ตัดสินใจ กระทำ
หากแต่ใครที่ต้องมีใครมาบอกให้ทำ หรือนำให้ทำ ก็ไม่ได้หมายความว่า คนๆนั้นโง่---> ใช่ไหมคะ
sunny- จำนวนข้อความ : 3511
Registration date : 28/06/2008
Re: จาก ฅน...สู่ ควาย
คำว่า เป็นตัวของตัวเอง ทำได้ยากยิ่ง
หากเมื่อใดที่เราเป็นตัวของตัวเอง ได้มากที่สุด เมื่อนั้น คงถูกชี้นำได้ยาก แต่คนละเรื่องกับการมีอัตตา
หรือ ดื้อรั้นนะคะ
ตามความเห็นของดิฉันคิดว่า เมื่อพูดถึงการเป็นตัวของตัวเอง มันเป็นภาพที่ออกมาในแง่ดีค่ะ
เช่น เรามีฐานะ ที่เป็นคนหาเช้ากินค่ำ ก็พอใจในจุดนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะขี้เกียจทำงาน รักสบาย เพื่อให้อยู่ไปวันๆ นะคะ เราทำเต็มที่ ในสายอาชีพ รับผิดชอบมันเต็มตัว โดยไม่ต้องคิดว่า ทำแล้วไม่รวยสักที ต้องหาช่องทางทำอย่างผู้อื่นเขาบ้าง เพื่อให้มีฐานะทัดเทียมเขา มีบ้านคันใหญ่ แต่งตัวดี ๆ กินอาหารหรูๆ นอกบ้าน
ได้ทุกวัน ด้วยวิธีการหาเงินที่ไม่ถูกต้อง
เมื่อเราทำงานที่รับผิดชอบอย่างเต็มกำลังความสามารถ ได้ผลตอบแทนที่คิดว่าเหมาะสมแล้ว คำว่าเหมาะสมก็วัดยาก เพราะแต่ละคนไม่เท่ากัน เอาเป็นว่าเมื่อเราคิดว่า เราได้สมควรแล้ว ก็พอใจตรงนั้น หากคิดจะทำอะไร
นอกเหนือนั้น ก็ควรจะต้องให้ความสำคัญงานหลักเป็นลำดับต้นก่อน จากนั้นก็ค่อยคิดอย่างอื่นต่อไป จะทำอะไร
ก็อย่าให้เสียงานหลักของเรา หากเราไม่พอใจงานตรงนั้น ก็หางานใหม่ค่ะ อย่าไปทำด้วยความเบื่อหน่ายแล้วก็ไม่คิดจะพอใจในสิ่งที่มีอยู่สักที
หากคนเรายังไม่อาจเป็นตัวของตัวเองได้เต็มร้อย ก็ยากที่จะหลุดพ้นจากภาวะ โดนชี้นำ
เพราะเราต้องพึ่งพาเขาในด้านต่างๆ อาจทำให้เสียความเป็นตัวเองไป บางครั้งจำเป็นต้องโอนอ่อนตามผู้ชี้นำ
ซึ่งมีอยู่มากมาย
ไม่ได้ใช่เพราะคนไทยเราโง่ อย่างที่พยายามสาดใส่กันอยู่นะ แต่เพราะเราติดนิสัยขี้เกรงใจมากกว่า
เรารักษาหน้าคนที่เคยช่วยเรามา แล้วเราก็ต้องพึ่งพาเขา จึงทำให้กลายเป็นเหมือนกับว่า เราคิดเองไม่ได้
หากเมื่อใดที่เราเป็นตัวของตัวเอง ได้มากที่สุด เมื่อนั้น คงถูกชี้นำได้ยาก แต่คนละเรื่องกับการมีอัตตา
หรือ ดื้อรั้นนะคะ
ตามความเห็นของดิฉันคิดว่า เมื่อพูดถึงการเป็นตัวของตัวเอง มันเป็นภาพที่ออกมาในแง่ดีค่ะ
เช่น เรามีฐานะ ที่เป็นคนหาเช้ากินค่ำ ก็พอใจในจุดนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะขี้เกียจทำงาน รักสบาย เพื่อให้อยู่ไปวันๆ นะคะ เราทำเต็มที่ ในสายอาชีพ รับผิดชอบมันเต็มตัว โดยไม่ต้องคิดว่า ทำแล้วไม่รวยสักที ต้องหาช่องทางทำอย่างผู้อื่นเขาบ้าง เพื่อให้มีฐานะทัดเทียมเขา มีบ้านคันใหญ่ แต่งตัวดี ๆ กินอาหารหรูๆ นอกบ้าน
ได้ทุกวัน ด้วยวิธีการหาเงินที่ไม่ถูกต้อง
เมื่อเราทำงานที่รับผิดชอบอย่างเต็มกำลังความสามารถ ได้ผลตอบแทนที่คิดว่าเหมาะสมแล้ว คำว่าเหมาะสมก็วัดยาก เพราะแต่ละคนไม่เท่ากัน เอาเป็นว่าเมื่อเราคิดว่า เราได้สมควรแล้ว ก็พอใจตรงนั้น หากคิดจะทำอะไร
นอกเหนือนั้น ก็ควรจะต้องให้ความสำคัญงานหลักเป็นลำดับต้นก่อน จากนั้นก็ค่อยคิดอย่างอื่นต่อไป จะทำอะไร
ก็อย่าให้เสียงานหลักของเรา หากเราไม่พอใจงานตรงนั้น ก็หางานใหม่ค่ะ อย่าไปทำด้วยความเบื่อหน่ายแล้วก็ไม่คิดจะพอใจในสิ่งที่มีอยู่สักที
หากคนเรายังไม่อาจเป็นตัวของตัวเองได้เต็มร้อย ก็ยากที่จะหลุดพ้นจากภาวะ โดนชี้นำ
เพราะเราต้องพึ่งพาเขาในด้านต่างๆ อาจทำให้เสียความเป็นตัวเองไป บางครั้งจำเป็นต้องโอนอ่อนตามผู้ชี้นำ
ซึ่งมีอยู่มากมาย
ไม่ได้ใช่เพราะคนไทยเราโง่ อย่างที่พยายามสาดใส่กันอยู่นะ แต่เพราะเราติดนิสัยขี้เกรงใจมากกว่า
เรารักษาหน้าคนที่เคยช่วยเรามา แล้วเราก็ต้องพึ่งพาเขา จึงทำให้กลายเป็นเหมือนกับว่า เราคิดเองไม่ได้
MI-6- จำนวนข้อความ : 956
Registration date : 14/10/2008
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|