Any Doc!!!!
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

ชีวิตนี้ช่างสั้นนัก รักกันไว้ดีไหม ?

Go down

ชีวิตนี้ช่างสั้นนัก รักกันไว้ดีไหม ? Empty ชีวิตนี้ช่างสั้นนัก รักกันไว้ดีไหม ?

ตั้งหัวข้อ  sunny Sat Nov 01, 2008 9:55 pm

ชีวิตนี้ช่างสั้นนัก รักกันไว้ดีไหม ? 03-06-2008_12


เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ชีวิตก่อรูปเป็นความเปลี่ยนแปลง
ไม่ว่าจะถูกตีตราว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่
หรือถูกตราหน้าว่าเป็นคนที่ไร้เกียรติในสังคม
แต่สุดท้ายทุกชีวิตก็จะกลับคืนสู่ดิน
หรือกลายเป็นธาตุธุลีเล็กๆ ที่วันหนึ่งก็จะถูกลืม
โดยมีความตายเป็นจุดจบของชีวิตทางร่างกายที่ได้มา


ท่ามกลางการเกิด แก่ เจ็บ ตายที่กำลังหมุนไปอยู่ทุกขณะ มีสิ่งหนึ่งที่น่าตกใจในชีวิตของเรา คือความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน ซึ่งนับวันจะลุกลามเป็นเชื้อโรคร้ายที่ยากจะเยียวยา

สิ่งที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตร่วมกันก็คือ เราไม่สามารถสัมผัสกับความสุขที่มอบให้แก่กันได้เลย หน้ากากที่ไม่ต้องการจะสวมใส่ จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่คนเราเริ่มถามหา เราจึงเรียกคนเดี๋ยวนี้ว่า "ชอบสวมหน้ากากเข้าหากัน" ซึ่งอยู่ที่ว่าใครจะมีหน้ากากที่มีรูปลักษณ์อย่างไร

บางคนมีใบหน้าที่สวยงาม เราก็ยอมรับว่าเขาดูดีในขณะที่สวมบทบาทนั้น แต่บางคนก็ปรากฏกายในรูปของปีศาจร้าย จึงทำให้เกิดภาพที่ติดอยู่ในความรู้สึกว่าเขาเป็นคนไม่ดี

แต่เมื่อสรุปที่ความเป็นหน้ากากแล้ว ก็มีคำตอบอยู่ที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากที่สวยงามหรือคล้ายปีศาจร้าย แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาก็ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริงของคนเราอยู่ดี

เมื่อความจริงไม่ถูกเปิดเผย สิ่งที่ได้รับจากบุคคลรอบข้างก็จัดว่าเป็นความหลอกลวงเช่นเคย ซึ่งเป็นภาพของเชื้อโรคร้ายที่นับวันจะแผ่ขยาย หากเราไม่ช่วยกันทำลายให้หมดไป

อย่างไรก็ดี ถ้ารู้จักมองในมุมที่ก่อให้เกิดคุณค่าร่วมกัน รู้จักมองความจริงแล้วทำให้ความหยิ่งในใจลดลง สัจธรรมของชีวิตฟ้องให้รู้ว่า ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม หนึ่งชีวิตที่ได้มานั้นช่างสั้นนัก เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของสรรพสิ่งที่หมุนเวียนมาเจอกัน

แต่ไฉนเล่า เราจึงชอบมองคนอื่นด้วยสายตาที่เหยียดหยามหมิ่นแคลน โดยไม่รู้จักมองด้วยความเมตตาอารีที่มีต่อกัน เพราะชีวิตช่างสั้นเกินกว่าที่จะตะโกนบอกใครว่า "เรานี่แหละจะอยู่ค้ำฟ้าได้"

เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ชีวิตก่อรูปเป็นความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะถูกตีตราว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หรือถูกตราหน้าว่าเป็นคนที่ไร้เกียรติในสังคม แต่สุดท้ายทุกชีวิตก็จะกลับคืนสู่ดิน หรือกลายเป็นธาตุธุลีเล็กๆที่วันหนึ่งก็จะถูกลืม โดยมีความตายเป็นจุดจบของชีวิตทางร่างกายที่ได้มา

ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องกลับมาทบทวนชีวิตครั้งใหม่ของเราทุกคนว่า โลกที่อยู่อาศัยร่วมกันนี้ เราจะอยู่แบบญาติดีหรือจะข่มเหงบีฑาต่อกันอย่างไม่มีวันจบ ?
sunny
sunny

จำนวนข้อความ : 3511
Registration date : 28/06/2008

ขึ้นไปข้างบน Go down

ชีวิตนี้ช่างสั้นนัก รักกันไว้ดีไหม ? Empty Re: ชีวิตนี้ช่างสั้นนัก รักกันไว้ดีไหม ?

ตั้งหัวข้อ  sunny Sat Nov 01, 2008 9:55 pm

เราควรถามตัวเองให้มากขึ้นว่า เบียดเบียนกันแล้วได้อะไรขึ้นมา หรือเป็นเพียงต้องการเอาชนะกันเท่านั้น ?
แต่สุดท้ายไม่ว่าใครจะเป็นผู้แพ้หรือชนะ ทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ ล้วนชื่อว่าเป็นผู้แพ้ด้วยกันทั้งสิ้น เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนกระทบถึงกัน

แต่ถ้าทำความเข้าใจชีวิตให้รอบด้าน เราจะเริ่มเข้าใจว่าระหว่างการทะเลาะเบาะแว้งแล้วก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการรักษามิตรภาพที่ได้มานี้ สิ่งไหนมนุษย์ตัวน้อยๆ เช่นเราควรทำมากกว่ากัน ? เป็นการสร้างคำถาม เพื่อตอบให้กระจ่างอย่างคนที่มีเยื่อใยในชีวิตบ้าง ก่อนที่จะต้องโบกมือลาโลกนี้ไป แม้อาจจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม

โปรดถามตัวเองให้มากว่า ทะเลาะกันแล้วเราได้อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง นอกจากความโหดร้ายที่กลายเป็นเครื่องมือประหัตประหารพวกเราเอง ?

และสุดท้ายเราเหลืออะไรที่สามารถเก็บไว้เป็นที่ระลึก แล้วทำให้ชีวิตภูมิใจในการเกิดมาบ้าง ? คำตอบอยู่ที่ใจของเราทุกคน

มีชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ชอบนำดอกไม้มาบูชาพระที่วัดเป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังหอบหิ้วดอกไม้และผลไม้ เพื่อมาถวายพระเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา

ทันทีที่เขาเดินมาถึงประตูวิหาร ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งมาชนเข้าอย่างจัง ทำให้ดอกไม้และผลไม้ร่วงกระจัดกระจายไปทั่วพื้น เขาจึงพูดโต้ตอบไปด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวว่า
"ทำไมไม่ดูตาม้าตาเรือซะมั้ง เห็นไหมดอกไม้และผลไม้ร่วงหมดแล้ว"
"ฉันขอโทษที่ไม่ทันระวัง" ชายผู้วิ่งมาชนกล่าวคำขอโทษ
"ขอโทษแล้วมันได้อะไรขึ้นมา"
"ก็ฉันไม่ทันระวัง และก็ขอโทษแล้ว ถ้าไม่ให้อภัยแล้วท่านจะทำอย่างไรล่ะ"

พอชายคนที่วิ่งมาชนพูดไม่ให้เกียรติแก่ตน ยิ่งทำให้ชายผู้ถือดอกไม้และผลไม้โมโหยิ่งขึ้น ทั้งสองจึงเกิดการต่อปากต่อคำกันด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวมากกว่าเดิม

ในขณะที่ทั้งสองกำลังเถียงกันอยู่นั้น หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็เดินผ่านมา เห็นต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมที่จะให้อภัยหรือยอมความ จึงถามถึงเหตุที่ทำให้ทั้งสองทะเลาะกัน พอทราบรายละเอียดทั้งหมดแล้ว จึงกล่าวเตือนสติว่า

"การวิ่งไปชนคนอื่นนั้น เป็นเรื่องไม่สมควร ส่วนการที่คนอื่นขอโทษแล้วไม่รู้จักให้อภัย ก็เป็นเรื่องไม่สมควรเช่นเดียวกัน การแสดงออกทั้งสองลักษณะนี้ เป็นนิสัยของคนที่ไร้สติ แต่การรู้จักยอมรับความผิดด้วยความจริงใจ และการรู้จักให้อภัยที่มาจากใจ ทั้งสองอย่างนี้เป็นนิสัยของผู้มีปัญญา"
sunny
sunny

จำนวนข้อความ : 3511
Registration date : 28/06/2008

ขึ้นไปข้างบน Go down

ชีวิตนี้ช่างสั้นนัก รักกันไว้ดีไหม ? Empty Re: ชีวิตนี้ช่างสั้นนัก รักกันไว้ดีไหม ?

ตั้งหัวข้อ  sunny Sat Nov 01, 2008 9:56 pm

เมื่อคนทั้งสองได้ฟังคำเตือนของหลวงพ่อ จึงได้ยุติการทะเลาะกัน และก้มหน้ารับฟังคำสอนจากท่าน ด้วยความรู้สึกสำนึกผิดต่อการกระทำที่ตัวเองแสดงออกไป เมื่อหลวงพ่อเห็นว่าทั้งคู่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว จึงกล่าวให้ข้อคิดว่า

"คนเราเกิดมาชีวิตหนึ่งนี้ มีหลายอย่างที่ต้องทำอีกเยอะ เช่นการรู้จักปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง และมิตรสหายผู้เป็นที่รักของเรา แม้ในด้านเศรษฐกิจ ก็ควรรู้จักระมัดระวังในการจับจ่าย ในด้านครอบครัว ก็ต้องรู้จักรักษาน้ำใจต่อบุคคลที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ในด้านจิตใจ ก็ควรรู้จักอบรมจิตใจของตนให้สูงยิ่งขึ้น ต้องรู้จักสร้างอุดมการณ์ที่มีความดีเป็นเครื่องประดับชีวิต ถ้าทำได้เช่นนี้ ชีวิตที่เกิดมาจึงชื่อว่ามีคุณค่าในตัวเอง เพราะถ้าคิดดูให้ดี การที่เรามาทะเลาะกันเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย กลับทำลายความดีที่มีอยู่ในจิตใจของตนเองแล้ว มันเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าเลย รังแต่จะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้นเอง"

แล้วเราล่ะ... เรียนรู้ที่จะให้ชีวิตหนึ่งที่ได้มาเพียงน้อยนิดนี้อย่างคนที่เห็นคุณค่าของตัวเองหรือยัง ? ทุกอย่างเริ่มต้นได้ หากเรารู้จักทบทวนความผิดพลาดที่แล้วมา และรู้จักแก้ไขอย่างคนที่รักตัวเองมากกว่าเดิม

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ชีวิตนี้ช่างสั้นนัก รักกันไว้ดีไหม ? Yaimai
จากหนังสือชีวิตวันนี้ที่วุ่นวายมีที่พักใจหรือยัง
โดย: ชุติปัญโญ
sunny
sunny

จำนวนข้อความ : 3511
Registration date : 28/06/2008

ขึ้นไปข้างบน Go down

ชีวิตนี้ช่างสั้นนัก รักกันไว้ดีไหม ? Empty Re: ชีวิตนี้ช่างสั้นนัก รักกันไว้ดีไหม ?

ตั้งหัวข้อ  tang may Mon Nov 03, 2008 12:36 pm

เห็นท่าน sunny เล่าถึงหนังสือ ก็นึกได้เล่มหนึ่ง เห็นหน้าปก ซื้อมาด้วย แต่ยังไม่ได้อ่าน
เพราะเดาแบบส่งเดชว่าในนั้น เขียนยังไง บางเวลาก็ไม่อยากปลง

หนังสือชื่อ เสียดาย คนตายไม่ได้อ่าน

แต่คิดว่าจะน่าเสียดายกว่ามากนัก หากคนเป็นที่อ่านแล้ว ยังคิดไม่เป็น แบบที่หนังสือ
พยายามช่วย ใช้คำว่าช่วยนั่นก็คือ หนังสือแนวธรรมะ มักจะพยายามเขียนให้คน
คิดได้ ปลงตก แล้วก็ ใช้ชีวิตอยู่อย่างที่ไม่เป็นทุกข์ ทั้งต่อตนเอง และ คนรอบตัว ทั้งใกล้ หรือ ไกล

ที่มองว่าทุกข์ เพราะมองอย่างนี้ค่ะ... สมมติติดสุข อยากรวย แต่ไม่เลือกวิธี เพราะคิดว่าหากมีดังที่ต้องการแล้วมันจะสุข มีที่ว่าก็คือ ทรัพย์สมบัติ ซึ่งคือ ของนอกกาย และ นำไปด้วยไม่ได้ในตอนที่ตาย และคิดว่าหากนำไปด้วย ก็อาจไม่มีที่ใช้ และ ไม่มีประโยชน์ ด้วยค่ะ

วิจารณ์ทั้งๆ ที่ไม่ได้อ่านทำได้ไง ก็คิดว่าแนวทางที่ท่านผู้เขียนหนังสือนั้นคงเป็นแบบที่สอนให้ใช้ชีวิต
อยู่บนโลกนี้อย่างที่ไม่เป็นทุกข์มากไป เนื่องจากเคยอ่านหนังสือของท่านมาบ้างแล้ว

tang may
ผู้มาเยือน


ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน


 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ